The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 663-664
DND.663 – ตะเพิดศัตรู
“หลิงเอ๋อ!”
หัวหน้าผู้เป็นพ่อของนางจะใจเย็นลงอยู่ได้อย่างไรเมื่อลูกสาวตกอยู่ในอันตราย?
เขาเคลื่อนไหวในทันทีผ้าคลุมล่องหนถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างของอีกสามคนที่เผยตัว
“มีคนอื่นอยู่อีกจริงๆด้วย”
พอเขาปรากฏตัวก็มีสายลมรุนแรงสองสายพุ่งเข้ามาจากทั้งสองด้าน
ทั้งสองคนมีพลังที่แข็งแกร่งที่เป็นของแค่ภูติเท่านั้นพวกเขาคือกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวง
ชายวัยกลางคนตกตะลึงแต่เขาก็รีบโต้ตอบเขาฟันมือแต่ละข้างไปยังทั้งสองคน วายุที่สร้างจากพลังชีวิตพุ่งเข้าไปต้านทั้งสองเอาไว้
ปั้ง!ปั้ง!
ชายวัยกลางคนป้องกันทั้งสองได้ทันโชคดีที่พลังของสองฝ่ายเท่ากัน
“ปล่อยข้านะ!”
ภูติสองคนที่มีแก้วสามดวงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
พวกเขาพบว่าพลังชีวิตของคนตรงหน้านั้นแปลกมากพลังต้านทานยังคงเหลืออยู่ นั่นทำให้พวกเขาหนีไม่พ้น!
“ยิ่งเฉิงไปช่วยหลิงเอ๋อ”
หัวหน้าถ่วงเวลาสองคนนี้เอาไว้เพื่อให้ยิ่งเฉิงมีโอกาสได้เคลื่อนไหวเขารู้ว่ายิ่งเฉิงรับมือกับกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงไม่ได้
ยิ่งเฉิงหนักใจมากแต่เมื่อเห็นว่ากึ่งภูติสองคนถูกถ่วงเอาไว้เขาก็เตรียมจะลงมือ
แต่ตอนนั้นเขาก้าวถอยหลังไปราวกับตระหนักหนึ่งอะไรบางอย่าง เหงื่อเย็นๆซึมออกมาจากหน้าผาก เขาดูหวาดกลัวกับความว่างเปล่ารอบๆ เขากำลังหวาดวิตก
ศัตรูลอบโจมตีมาแล้วสองครั้งแล้วจะมีครั้งที่สามอีกไหมล่ะ?
“ยิ่งเฉิงทำอะไรของเจ้า? ทำไมยังไม่ช่วยหลิงเอ๋ออีก?”
หัวหน้ากัดฟันแน่นมีเสียงกระดูกแตกดังมาจากแขนทั้งสองข้าง บอกได้เลยว่ายากมากที่เขาจะรับมือกับกึ่งภูติทั้งสองคนพร้อมกัน!
ยิ่งเฉิเพิ่งยืนนิ่งเมื่อหลิงเอ๋อถูกจับตัวไปความลังเลปรากฏฬบแววตา ความกลัวในใจขัดขวางไม่ให้เขาก้าวไปข้างหน้า ท้ายสุดเขาก็หันกลับไปและยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เขาซ่อนตัวเพื่อไม่ให้ถูกศัตรูพบ
“ยิ่งเฉิงเจ้า…”
เมื่อหัวหน้ารู้ว่ายิ่งเฉิงนั้นหวาดกลัวและเลือกที่จะทิ้งหลิงเอ๋อเพื่อปกป้องตัวเองเขาก็เสียใจมาก
“อ๊าา!”
เสียงร้องแหลมของหลิงเอ๋อดังไม่หยุดนางกำลังจะถูกชายหนุ่มชุดสีอำพันประทุษร้าย
“แม่สาวน้อยเจ้าค่อยไปร้องแบบนี้บนเตียงก็ได้นะ”
ชายชุดสีอำพันหัวเราะเขาใช้พลังทั้งหมดลากนางออกมา
แต่แม้จะแข็งแกร่งเขาก็มิอาจลากหลิงเอ๋อมาได้ มันแปลกมาก!
“ใครน่ะ?ใครจับมือข้า? ออกมา!”
ชายชุดอำพันตัวแข็งทื่อเขาตะโกน
ตาเปล่าของเขามองเห็นรอยมือที่ข้อมือเหมือนกับเขาถูกบางคนดึงมือเอาไว้ไม่ให้ลากหลิงเอ๋อไปไกลกว่านี้แต่เขาก็ไม่ใครว่ามีใคร คนผู้นี้จะต้องล่องหนอยู่!
“พี่ยิ่งเฉิงช่วยข้าด้วย!”
หลิงเอ๋อดีใจมากที่คิดว่ายิ่งเฉิงมาช่วยนางแต่ไม่นานนางก็ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยมาแทน รอยยิ้มของนางหายไป…
“ยิ่งเฉิงรึ?มันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ข้าแค่ตามน้ำมาช่วยเท่านั้น ถึงข้าจะอ่อนแอก็เถอะ”
เสียงนี้ไม่ใช่ยิ่งเฉิงแต่เป็นของซือหยู!
ซือหยูเปิดผ้าคลุมล่องหนเมื่อพูดจบผมสีเงินยาวพริ้วไหวตามแรงลมปิดหน้าไปครึ่งใบ แต่มันก็มิอาจบดบังแววตาลึกล้ำที่ดูเหมือนกับมีดวงดาราภายในนั้นได้ เส้นผมของเขาเองก็มิได้บดบังความหล่อเหลาในใบหน้าเลย
มือข้างหนึ่งของเขาไพล่หลังอยู่ขณะที่อีกข้างดึงข้อมือของศัตรูเอาไว้ท่าทางเรียบเฉยสบายๆของเขาทำให้เขาราวกับภาพเขียนอันงดงามที่หยุดนิ่ง
เขาราวกับเทพเจ้าที่ลงมาจากฟ้าเขามิใช่แค่สง่างามและรูปหล่อแต่ยังแข็งแกร่งมากและมีพลังที่น่ากลัวซ่อนเอาไว้
“ไปให้พ้น”
ซือหยูพลิกฝ่ามือชายชุดอำพันร้องด้วยความเจ็บปวด เขากระเด็นไปเกือบลี้ราวกับถูกโยนเล่น
เขากระแทกเข้ากับก้อนศิลาอกของเขาฉีกสะบั้น ดวงตาหม่นแสงลง เขาหายใจเฮือกสุดท้ายและหมดลมหายใจ ก้อนศิลาที่เขากระแทกกลายเป็นฝุ่นผงฝังศพของเขา
กึ่งภูติที่มีแก้วสองดวงถูกซือหยูสังหารเพียงพลิกฝ่ามือ!และมันเกิดขึ้นเพียงลมหายใจเดียว! ทุกคนที่ได้เห็นตัวแข็งทื่อไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู
หลิงเอ๋อคิดอะไรไม่ออกนางมองชายอมตะชุดขาวตรงหน้าที่ผมสีเงินโบกสะบัดไปมา หัวใจนางเต้นแรง นางรู้สึกอีกว่าซือหยูคือคนที่มาจากคำนานยุคโบราณ
เพราะเขาทั้งสง่าสูงส่ง ดูลึกลับ ทั้งยังมีพลังมหาศาล ทั้งหมดทั้งมวลขับส่งให้เขาดูไม่เหมือนกับคนของโลกนี้เลย
เพียงแค่มองซือหยูก็ทำให้นางรู้สึกต่ำต้อยและนางมิใช่คนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้ ทุกคนที่นี่รู้สึกราวกับว่าเขาคือเทพไร้เทียมทานที่อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์! เขาดูไม่เหมือนกับมนุษย์เลย!
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หัวหน้าหน่วยที่ใช้พลังทั้งหมดรับมือกับกึ่งภูติสองคนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้สติ
ซือหยูผละมือทั้งสองไพล่หลังและยิ้มเบาๆมองไปทางขวาเขาเห็นภูติระดับหนึ่งที่เป็นผู้นำ ภูติคนนั้นราวกับจำซือหยูได้ เขาหันหนีไปทันที
ซือหยูยิ้มเบาๆอีกครั้งเขาแค่เดินไปหาชายวัยกลางคนแทนที่จะไล่ตามภูติที่หนีออกไป
“ท่านบาดเจ็บหรือไม่?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชายวัยกลางคนระวังตัวหรือว่าเพราะความน่าเกรงขามของซือหยูแต่เขาถอยหลังไปหลายก้าวเมื่อซือหยูเดินเข้ามา เขาตัวสั่นกลัวเมื่อมองซือหยู เขาไม่กระพริบตาแม้สักครั้ง เขารู้สึกราวกับว่าคนตรงหน้ามิใช่คนธรรมดาที่ไม่สำคัญ แต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่จากที่ไหนสักแห่ง
“ท่านหัวหน้าท่านบาดเจ็บหรือไม่?”
ซือหยูถามอีกครั้ง
ชายวัยกลางคนกลับมาได้สติเมื่อซือหยูถามอีกครั้งเขารีบตอบ
“อ๊ะขะ ข้าไม่เป็นไร…”
แม้แต่คนที่เฉลียวฉลาดอย่างเขาก็ตกใจเพราะซือหยูคำพูดของเขาติดขัด!
“ถ้าท่านไม่เป็นไปเราก็ไปยอดเขากันเถอะพวกมันมีจำนวนมากนัก ข้าคนเดียวจัดการพวกมันไม่ไหวหรอก”
ซือหยูพูด
ถ้าหากมีร้อยคนพุ่งเข้าใส่แม้ว่าเขาจะใช้ทุกวิถีทางและทุกวิชาก็อาจจะเอาตัวไม่รอด เป็นการดีที่เขาจะหนีไปโดยเร็ว
ชายวัยกลางคนตัวสั่นเมื่อได้ยินซือหยูจากนั้นเขาจึงหยิบลูกแก้วมาอีกครั้ง
“ไว้ใจข้าได้เลย”
ฟึ่บ!
เมื่อเห็นว่ารอดพ้นอันตรายยิ่งเฉิงที่หน้าซีดได้ถอดผ้าคลุมออกและจับมือชายวัยกลางคนเอาไว้ หัวหน้ามองเขาอย่างเย็นชาและคิดในใจ…เจ้าจะต้องชดใช้!
“ท่านใต้เท้า!ขอบคุณที่ช่วยลูกสาวข้า เราจะไปที่ยอดเขาเดี๋ยวนี้…”
ซือหยูพยักหน้าอย่างใจเย็นเขาหันไปและยิ้มเบาๆให้หลิงเอ๋อ
“แม่นางหลิงเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เขาพูดและยื่นมือไปหานาง
หลิงเอ๋อไม่คุ้นเคยกับรอยยิ้มเช่นนี้แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ารอยยิ้มนี้มีพลังอันลึกลับที่น่าหลงใหล หลิงเอ๋อตกอยู่ในภวังค์ หัวใจนางเต้นแรงขึ้น
“ไปจับตัวมันมันคือ…”
ภูติที่เป็นผู้นำที่เพิ่งจะหนีตะโกนเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกลัว
เมื่อได้ยินคำสั่งเหล่าทหารจากต่างโลกพุ่งเข้าใส่ซือหยูราวกับน้ำเชี่ยวกราก หลิงเอ๋อยังคงเหม่อลอย ซือหยูขมวดคิ้วเบาๆ…
หลิงเอ๋อจะใจลอยเกินไปแล้ว!ไม่คิดเลยว่านางจะมาเหม่อในเวลาแบบนี้! ต้องขอบคุณพ่อนางที่นางยังรอดมาได้ถึงตอนนี้!
“โทษทีนะ”
เขาไม่มีทาเลือกซือหยูใช้พลังดึงหลิงเอ๋อมาหาเขา
เขาดึงนางมาในอ้อมแขนและจับเอวนางเพื่อไม่ให้มีเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าไปสู่ยอดเขาร่างหวานหอมให้สัมผัสราวกับปุยนุ่นและอกอันอวบอิ่มได้กดลงบนตัวของเขา กลิ่นหอมของนางแล่นผ่านจมูก
น่าเสียดายที่ซือหยูไม่มีเวลาจะเสพมันไปมากกว่านี้เมื่อทั้งคู่สัมผัสกันหัวหน้าก็ปล่อยพลังลงในลูกแก้ว ลูกแก้วเปล่งแสงโอบล้อมเขาและคนที่สัมผัสตัว ยิ่งเฉิง ซือหยูและหลิงเอ๋อจึงถูกแสงโอบล้อมเอาไว้ด้วย
พวกเขาผ่านลูแก้วทั้งเก้าเข้าไปเสียงตอนที่เข้าไปในม่านพลังนั้นทำให้เจ็บหูอยู่เล็กน้อย
เมื่อเขามองรอบๆด้วยเนตรวิญญาณก็พบคนจำนวนมหาศาลพวกเขาอยู่ในศูนย์การค้าที่กลางเมือง
ทหารยืนเรียงรายสามแถวแต่ละคนมีพลังอยู่มาก แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดก็เป็นภูติที่มีแก้วสองดวง
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
เมื่อพวกซือหยูปรากฏตัวเสียงที่เหมือนโซ่ตรวนดังขึ้นพร้อมกัน โซ่เก้าเส้นพุ่งมาจากทุกทิศทางและรัดตัวซือหยูกับคนที่เหลือไว้แน่น
โซ่นี้ทำจากวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมซือหยูบอกได้เลยว่ามันไม่แข็งแรงน้อยไปกว่าวัตถุดิบที่ใช้สร้างเรือรบของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ ไม่มีใครทำลายมันได้แน่
แต่ซือหยูไม่ได้ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากนักลำดับยักย้ายของเรือรบพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เองก็มีทหารมากมายปกป้องเอาไว้ แต่ทหารของอาณาจักรทมิฬที่มายืนเฝ้าที่นี่นั้นเยอะกว่าของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เป็นสิบเท่า
“หัวหน้าหน่วยข่าวกรองหลิงเจี้ยนหลิว…กลับมารายงานภารกิจ”
หัวหน้าหน่วยหยิบเอาตราออกมาจากเสื้อตรานี้มีพลังพิเศษอยู่ภายใน เป็นไปไม่ได้ที่จะลอกเลียนแบบ
เหล่าทหารหยิบตราขึ้นไปมองดู
“ตราไม่ใช่ของปลอม”
หนึ่งในทหารบินไปส่งข่าวทันที
ซือหยูยอมรับกับความรัดกุมเช่นนี้ถ้าหากมีใครอยากจะมาที่นี่ นอกจากจะต้องมีตรายืนยันแล้วยังต้องมีทหารส่งตราไปให้ผู้นำยอมรับอีก การป้องกันนี้ซับซ้อนและช่วยยืนยันความปลอดภัย
ลำดับลูกแก้วทั้งเก้าเป็นแค่เหตุผลอย่างหนึ่งที่อาณาจักรทมิฬอยู่รอดมาได้ยาวนานแต่เรื่องสำคัญที่สุดคือพวกเขาระวังตัวอยู่เสมอ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ควรจะเรียนรู้จากคนเหล่านี้
ไม่นานรอบๆก็มืดลงวิหคที่คล้ายวิหคเพลิงสามตัวลากรถเลื่อนบินผ่านมา ที่รถเลื่อนมีภาพเขียนหัวสัตว์ป่าอยู่ด้วย
แววตาของหัวหน้าหน่วยข่าวกรองไม่ได้เปลี่ยนไปแต่ซือหยูยังคงกังวล
“เจ้าจะปล่อยหลิงเอ๋อได้รึยัง?”
เสียงไม่พอใจดังขึ้นมายิ่งเฉิงที่เมื่อครู่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจต่อหน้าซือหยูกลับตำหนิเขา
ซือหยูวางนางลงโดยไม่แม้แต่มองเขาหรือหลิงเอ๋อเขาเพียงเอามือไพล่หลังเอาไว้ราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
หลิงเอ๋อหน้าแดงเมื่อซือหยูวางนางลงนางหายใจหอบหลายครั้งเพราะนางกังวลใจอยู่ตลอดที่ถูกกอดมานาน อกของนางขยับขึ้นลงไม่หยุด นางชาไปทั่วตัว นั่นยิ่งทำให้หน้านางแดงยิ่งกว่าเดิม
นางมองไปยังแผ่นหลังที่สง่างามของซือหยูนางรู้สึกราวกับมองไม่เห็นความจริง นางคิดว่าทั้งหมดอาจจะเป็นความฝัน
“หลิงเอ๋อเจ้าเป็นอะไรไหม? ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเลย”
ยิ่งเฉิงเดินเข้ามาใกล้หลิงเอ๋อเขาพยายามจะขวางระหว่างนางกับซือหยู
เมื่อหลิงเอ๋อถูกบดบังสายตาและได้ยินคำพูดเป็นห่วงเป็นใยจอมปลอมก็โกรธมาก
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าไม่ต้องลำบากมาช่วยข้า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้เพราะเขาช่วยเขาไว้”
ยิ่งเฉิงอับอายเมื่อได้ยินคำพูดของนางที่โกรธแค้นเขารู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้นางผิดหวังอย่างมาก
การพยายามอธิบายรังแต่จะทำให้นางไม่ชอบเขามากยิ่งขึ้นเขาจึงแค่ยิ้มและถอยกลับไปหาหัวหน้าหน่วย
“ท่านหัวหน้าไม่ต้องกังวลพวกผู้นำรู้ความสัมพันธ์ของข้ากับท่านแล้ว แม้ว่าจ้าวแห่งความมืดคนไหนจะมีข้อขัดแย้งกับจ้าวแห่งความมืดที่ท่านรับใช้ เขาก็จะไม่หาเรื่องท่านเพราะต้องนับถือข้า”
หัวหน้าหน่วยที่ยังโกรธเก็บซ่อนความแค้นเอาไว้เขาไม่ควรจะทำให้ใครไม่พอใจในตอนนี้ เขาจึงฝืนตัวเองให้ยิ้มรับ
DND.664 – ผู้นำทัพต้องห้าม
เมื่อรถเลื่อนมาถึงเท้าใหญ่ๆของวิหคเพลิงได้จรดลงพื้นด้วยพลังมหาศาล แม้แต่ซือหยูที่ยืนอยู่ไกลก็รู้สึกว่าพื้นสั่น
พลังอันรุนแรงทำให้ฝุ่นบนพื้นลอยขึ้นมาทุกคนหรี่ตาเพื่อหลบ
“ท่านผู้นำหลง”
ทหารสองคนโค้งคำนับต้อนรับพร้อมกัน
เสียงของเหล่าทหารทับซ้อนเป็นเสียงเดียวพวกเข้าเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์แบบ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะนับถือชายคนนี้มาก หรือถ้าไม่ใช่เช่นนั้นก็คงด้วยความกลัว
คนรอบๆที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนเดินหลบไปพวกเขาหลีกทางจนโล่งกว้างทั้งๆที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่
สาวใช้ที่อ่อนโยนงดงามสองคนเดินมาที่รถเลื่อนด้วยความตื่นเต้นแต่ละคนถือร่มและยืนหน้าประตูด้วยความนอบน้อม
ไม่นานก็มีคนก้าวออกมาจากรถเลื่อนอย่างไม่รีบร้อนชายวัยกลางคนสวมชุดที่ดูยิ่งใหญ่ เขามีมงกุฎสีม่วงบนศีรษะ เขาเดินมาอย่างผู้ทรงอำนาจ ในมือทั้งสองไพล่หลังเอาไว้
ใบหน้าของเขาดูธรรมดาสิ่งเดียวที่ต้องสายตาผู้คนก็คือดวงตาของเขา
เขามีดวงตาสีอำพันเข้มที่คล้ายกับดวงตาของอสรพิษมันทำให้คนหนาวสั่นเมื่อถูกมอง ทุกคนที่ถูกเขาจ้องมองล้วนรู้สึกว่าถูกสัตว์ร้ายเล็งเป้า
“ลุกขึ้น”
เมื่อเขาเดินออกมาก็ขมวดคิ้วเบาๆ
เหล่าทหารกล้ายืนขึ้นมาเมื่อเขาสั่งแต่พวกเขาก็ยังก้มหน้าและไม่ขยับตัว
ซือหยูแปลกใจและแอบส่ายหน้าช่างเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่นัก!
เขาเคยเห็นภูติหลายคนจากทัพต่างโลกแต่เขาก็ไม่เคยเห็นคนที่นิยมชมชอบการแสดงเช่นนี้มาก่อน!
“ส่งเสียงเอะอะอะไรกัน?”
ชายวัยกลางคนถามอย่างเรียบเฉยแม้เขาจะได้ข่าวเรื่องการมาของหน่วยข่าวกรองแล้ว เขาก็แสร้งทำเป็นไปไม่รู้อะไร
ทหารสองคนไม่กล้าจะบ่นและเริ่มเล่าเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้งพอถึงตอนนั้นเขาจึงมองไปยังสี่คนที่ถูกโซ่มัดรวมถึงหลิงเจี้ยนหลิว
“เอ๋?พวกเขามารายงานข่าวนี่ เพิ่งกลับมาจากการทำภารกิจรึ?”
เขาถาม
ชายคนนี้ทำราวกับเพิ่งจะได้เห็นหลิงเจี้ยนหลิวหลิงเจี้ยนหลิวแอบเค้นกราม ชายวัยกลางคนคนผู้นี้ก็คือผู้นำทัพต้องห้าม หลงควน
ทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของทัพต้องห้ามที่นี่ทั้งคู่มีตำแหน่งรองผู้บัญชาการเทียบเท่ากัน แต่พวกเขาก็ไม่เคยไปกันได้ดี
นั่นก็เพราะสามปีก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกๆในทวีปเฉินหลงหลงควนนั้นมีพรสวรรค์สูงกว่า เขายังได้รับการหนุนหลังของคนตำแหน่งสูงในตำหนักเจ็ดจ้าวด้วย
ดังนั้นเขาจึงได้ผ่านภัยพิบัติมาและกลายเป็นภูติระดับหนึ่งเขายังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำทัพ
จากนั้นหลิงเจี้ยนหลิวจึงถูกลดบทบาทลงไป โชคดีที่หลิงเจี้ยนหลิวรู้จักผู้อาวุโสของตำหนักเจ็ดจ้าวอยู่บ้าง เขาจึงได้รับตำแหน่งในหน่วยข่าวกรอง นั่นหมายความว่าเขาจะได้เลี่ยงการเจอหลงควนด้วย
เขาจึงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตามปกตินั้นยากที่หลงควนจะหาเรื่องเขาได้ ดังนั้นจึงมีเวลาแบบนี้เท่านั้นที่หลงควนจะมีโอกาสมาสร้างความวุ่นวาย
“ผู้นำหลงข้อมีเรื่องสำคัญจะรายงานต่อตำหนักเจ็ดจ้าว หวังว่าท่านจะให้พวกเราไปโดยเร็ว ทั้งเจ้าและข้ารับผิดชอบโอกาสทองของสงครามไม่ได้หรอกนะ”
หลิงเจี้ยนหลิวพูดอย่างมีเหตุผลและไร้ความเกรงกลัว
หลงควนสายตาเย็นชาลงเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายแต่ที่ใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มอันไร้อารมณ์
เขาตอบ
“เจ้าพูดถูกเพราะเจ้าเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง เจ้ามีอิสระ! ไปสิ”
แกร๊ง
โซ่ตรวจถูกปลดเขาเป็นอิสระในทันที หลิงเจี้ยนหลิวดึงตัวหลิงเอ๋อและกำลังจะออกไป
“เราจะไปแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนเป็นเรื่องสำคัญที่หัวหน้าหน่วยหลิงต้องรายงานสิ่งที่เจอ ดังนั้นเจ้าไปได้ แต่ยิ่งเฉิงกับหลิงเอ๋อต้องอยู่ที่นี่ ข้าต้องการให้ทั้งสองอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายศัตรูเพื่อจะได้เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น”
ผู้นำหลงพูด
ยิ่งเฉิงไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาเลยเขาแอบดีใจกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน นั่นก็เพราะหลงควนเป็นสามีของป้าเขาที่รู้มาโดยตลอดว่ายิ่งเฉิงชอบพอหลิงเอ๋อ
เขาขอให้ทั้งสองอยู่โดยบอกว่าเพื่อที่จะรับฟังพฤติกรรมของข้าศึกแต่แผนที่แท้จริงก็คือการให้ยิ่งเฉิงกับหลิงเอ๋อได้ใช้เวลาร่วมกัน ให้สายสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่หลิงเจี้ยนหลิวก็บอกได้ในทันทีว่าหลงควนคิดจะทำอะไร
หลิงเจี้ยนหลิวขมวดคิ้วเมื่อพูด
“ผู้นำหลงยิ่งเฉิงคนเดียวก็พอแล้ว หลิงเอ๋อยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเดินทาง นางต้องพัก”
หลงควนหัวเราะเบาๆ
“หัวหน้าหน่วยหลิงไม่ต้องห่วงพวกเราเพียงแค่จะถามคำถามง่ายๆกับนาง นางจะไม่ถูกกดดัน เองล่ะ พาตัวพวกเขาไป เราจะช้าไม่ได้ ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจ”
คำสั่งเช่นนี้ทำให้หลิงเจี้ยนหลิวโกรธแค้นแต่เขาทำอะไรไม่ได้ เขามิอาจปฏิเสธข้ออ้างของหลงควนในเรื่องพฤติกรรมของข้าศึก
“ข้าไม่อยากจะไปกับเจ้า!”
หลิงเอ๋อตะโกนเมื่อเห็นแววตาของยิ่งเฉิงนางขยะแขยงที่เขาไม่เข้ามาช่วยนางเมื่อครู่ นางแตะปลายเท้ากับพื้นเตรียมจะบินไปกับหลิงเจี้ยนหลิว
ปั้ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระทืบเท้าดังขึ้นหลงควนกระทืบเท้าเสียงดัง แรงกระแทกทำให้พื้นสั่น
หลงควนที่หัวเราะเมื่อครู่สีหน้าจริงจังขึ้นมา
“อะไรกัน!ทัพต้องห้ามต้องดูแลความปลอดภัยของอาณาจักรทมิฬ ถ้าเจ้าปฏิเสธ ก็แสดงว่าเจ้าไม่เห็นทัพต้องห้ามในสายตาเลยสินะ?”
หลิงเอ๋อไม่เคยถูกตำหนิเช่นนี้พลังระดับภูติของหลงควนยังทำให้นางตกใจขนขยับไม่ได้
หลิงเจี้ยนหลิวโกรธจัดเพราะหลงควนกำลังรังแกลูกสาวของเขาต่อหน้าต่อตา หลงควนทำไปเพื่อให้เขาไม่พอใจและยังทำให้เขาอับอาย
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มิเช่นนั้นหลงควนก็อาจจะใช้เรื่องนี้เป็นชนวนใส่ร้ายเขา
นอกซะจากว่ามีคนเต็มใจจะทำมันแทนเขาเอง…
“ทัพต้องห้ามรึ…หืมทัพต้องห้ามมันยิ่งใหญ่เช่นนั้นเชียวรึ? เจ้าก็แค่ให้คนจากข้างนอกกลับมารายงานสถานการณ์ของข้าศึก อาณาจักรทมิฬเลี้ยงดูให้พวกเจ้ากลายเป็นพวกขี้ขลาดแบบนี้รึ?”
เสียงอันเย็นชาดังมาจากกรงเหล็กผู้พูดคือชายหนุ่มผมสีเงิน
เขาเดินมือไพล่หลังออกมาและเหลือบมองรอบๆเขาไม่ปิดบังความผิดหวังในใบหน้า
“ทีแรกข้าคิดว่าอาณาจักรทมิฬจะเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของทวีปเฉินหลงแต่ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะคิดถึงสิ่งที่ไม่คู่ควรเช่นนี้ออกมา!”
เขาไม่ปิดบังใบหน้าดูถูก
“แม้แต่สุนัขยังรับรู้ได้ดีกว่าพวกเจ้าว่าศัตรูมายืนอยู่ที่หน้าบ้าน!แล้วพวกเจ้าเล่า? พวกเจ้าไม่รู้เรื่องศัตรูที่กำลังเผชิญหน้าอยู่เลยรึ! นอกจากจะกลัวการเผชิญหน้า ไม่ขับไล่พวกมันออกไป แต่พวกเจ้าก็ยังขังตัวเองแล้วรังแกคนของตัวเองอยู่แบบนี้!”
“เจ้ามีหน้าที่ทำอะไรกัน?เจ้าต้องปกป้องคนอาณาจักรทมิฬตอนที่เจอกับความทุกข์ยาก หรือทำตัวสูงส่งแต่หวาดกลัวศัตรูแล้วรังแกพวกเดียวกันอย่างนี้?”
คำถามอย่างต่อเนื่องทำให้ทหารทัพต้องห้ามมองซือหยูด้วยความตกใจไม่มีใครเคยพูดกับทัพต้องห้ามแบบนี้มาก่อน!
ทัพต้องห้ามทำหน้าที่คุ้มกันอาณาจักรทมิฬดังนั้นคนของทัพต้องห้ามจึงมีสิทธิ์ที่จะลงโทษทุกคน ทุกคนจึงหวาดกลัวทัพต้องห้าม
ทหารของทัพต้องห้ามหลายคนหน้าแดงพวกเขาคิดในใจว่าพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าศัตรูอยู่ที่หน้าบ้านของตน
แน่นอนว่ามีบางคนที่สอดส่องศัตรูในทุกวันหลงควนเพียงแค่ใช้ข้ออ้างนี้ทำให้ยิ่งเฉิงกับหลิงเอ๋อได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น
แต่ไม่มีใครพูดมันออกมาเพราะพวกเขามิอาจเปิดโปงได้ว่าหลงควนจะทำอะไร!
หลิงเจี้ยนหลิวตัวแข็งทื่อเขาชักสีหน้า หลงควนนั้นใช้ครั้งนี้เพื่อหาเรื่องเขาอย่างเห็นได้ชัด!
แม้หลิงเจี้ยนหลิวจะรู้ว่าซือหยูเต็มไปด้วยความลับเขาก็กังวลว่าซือหยูจะมิอาจต่อกรกับหลงควนที่มีทหารมากมายได้ หลงควนค่อนข้างงุนงง เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ไม่มีใครที่กล้าพูดกับเขาแบบนี้!
“เจ้าเป็นใคร?กล้าดียังไงมาดูหมิ่นอาณาจักรทมิฬ?”
หลงควนตะโกนใส่ซือหยูเสียงดังหลังจากที่ถูกถามจนหน้าชา
แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าซือหยูจะไม่มองแม้แต่หน้าหลงควนเขาเพียงแค่เดินออกมาจากกรงเหล็กอย่างง่ายดายและยังพาหลิงเอ๋อมากับเขาด้วย!
จากนั้นเขาจึงพูด
“ตัวตนของข้ามิใช่สิ่งที่คนอย่างเจ้าจะรับรู้ได้ให้คนที่คู่ควรกว่านี้ออกมาพูดกับข้าจะดีกว่า เจ้าหลีกไปเถอะ”