The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 667-668
DND.667 – เรื่องในที่ลับ
ซือหยูสับสนเมื่อเห็นว่ายอดเขายักษ์ของอาณาจักรทมิฬนั้นถูกล้อมในทุกทิศทางไม่ต่างกับถูกปิดตาย
พวกเขาจะมีทรัพยากรจำนวนมหาศาลเพียงพอได้อย่างไร?
“นี่มัน…”
หัวหน้าผู้ตรวจการไป่ไม่อยากจะตอบเลย
“ท่านเจ้าพันธมิตรสายตาเฉียบแหลมนัก!อาณาจักรทมิฬของเรามีแหล่งเก็บทรัพยากรแบบอื่นอยู่ สิ่งของต่างๆถูกเก็บที่นั่น ด้วยจำนวนคนเท่านี้ก็มากเกินพอที่เราจะอยู่ได้อีกร้อยปี ท่านไม่ต้องกังวลเลย”
เขาไม่ได้พูดว่าทรัพยากรเหล่านั้นมาจากไหนเพราะเขาก็ต้องเก็บความลับเอาไว้ ซือหยูเองก็ไม่สืบเรื่องไปมากกว่านี้ เพราะนั่นจะเป็นการหยาบคาย
ซือหยูพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีกหลังจากนั้นซือหยูเงยหน้ามองไปยังท้องนภาห่างไกล เขาพบชั้นที่แปดอยู่ตรงหน้า ขณะที่ชั้นเก้าบนสุดอยู่เหนือมัน
ว่ากันว่าราชาแห่งความมืดอาศัยอยู่ในชั้นที่เก้าและเขาไม่ออกมาแม้แต่ก้าวเดียวในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เหตุที่ซือหยูเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อขอกำลังเสริมจากราชาแห่งความมืดเพื่อที่จะได้ต่อกรกับกองทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์ได้แต่เขาก็ต้องลังเลเมื่อได้พบกับหลงควน เพราะกองทัพของอาณาจักรทมิฬไม่เคยต่อสู้เลยสักครั้ง นั่นทำให้เขาสงสัยว่าเขาจะได้อะไรกลับไปหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรคนแรกที่เขาจะต้องไปหาก่อนก็คือราชาแห่งความมืด เมื่อได้พบแล้วจึงจะตัดสินใจว่าจะขอกำลังเสริมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าราชาแห่งความมืดเป็นคนแบบไหน
“เจ้าพันธมิตรซือหยูโปรดรอสักครู่ข้าจะพาท่านไปตำหนักเจ็ดจ้าวเดี๋ยวนี้”
ไป่จงพาซือหยูไปที่หน้าตำหนักโบราณ
มีชายแก่สองคนอยู่ด้านข้างทั้งคู่กำลังเล่นหมากรุก พวกเขากำลังเล่นหมากรุกกันอย่างตั้งใจ
เมื่อซือหยูมองทั้งคู่ก็พบพลังชีวิตมหาศาลที่บ่งบอกว่าทั้งคู่จะเป็นภูติระดับสามในอีกไม่นานนั่นทำให้เขาสงสัยว่าทั้งสองเป็นหนึ่งในเจ็ดจ้าวแห่งความมืดของตำหนักนี้หรือไม่
“ท่านผู้เฒ่าขาวผู้เฒ่าดำข้ามาเพื่อบอกว่าเจ้าพันธมิตรซือมาถึงที่นี่แล้วจะได้หรือไม่?”
ไป่จงเรียกทั้งสองอย่างสุภาพ
ทั้งสองที่กำลังจะเป็นภูติระดับสามเป็นแค่คนเฝ้าประตูหรอกรึ?
ซือหยูตกใจเมื่อคิดได้ดังนี้ถ้าเช่นนั้น พลังที่อาณาจักรทมิฬซ่อนเอาไว้ก็คงจะแข็งแกร่งอย่างที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน!
“หืม?คนนั้นคือเจ้าพันธมิตรซือหรอกรึ?”
สองผู้เฒ่ามองซือหยูด้วยความแปลกใจเขาแววตาทั้งคู่ดูใจเย็นหนักแน่นไม่เหมือนคนอื่น พวกเขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลย
“อืมรอพวกข้าเล่นจบตานี้ก่อน”
ผู้เฒ่าทั้งสองมองซือหยูเพียงครั้งเดียวก่อนจะหันมามองกระดานหมากรุกตามเดิม
พวกเขาทำให้กลับขอให้ซือหยูรอนอกจากจะไม่สุภาพ มันยังเป็นการดูหมิ่นซือหยูอีกด้วย ต่อให้จะไม่ใช่คนอย่างซือหยูที่เป็นตัวแทนของทั้งสำนัก คนที่เป็นแค่คนเฝ้าประตูก็ไม่ควรจะละเลยคนที่มาอยู่หน้าปกตู มันบ้ามาก!
ไป่จงหนักใจ
“นะ…เขาคือเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่เดินทางมาจากแดนห่างไกล!ทำเช่นนี้ไม่…”
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินถ้าเขาอยากรอก็ให้เขารอ ถ้ารอไม่ได้ก็ไปซะ”
หนึ่งในผู้เฒ่าตอบ
ผู้เฒ่าพูดโดยไม่มองหน้าใครทั้งคู่ยังรักษาแววตาหนักแน่นที่มีความหยิ่งยโสเอาไว้
“ก็เหมือนกับที่ชั้นเจ็ดนั่นแหละพวกที่เป็นยาม ยิ่งทำงานมากก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น”
ซือหยูเยาะเย้ยพวกเขาเขามองทั้งสองอย่างดูถูก พวกแค่เป็นแค่คนเฝ้าประตูแต่ก็อวดดีถึงเพียงนี้! เขาคิดว่ามันทั้งตลกและน่าเวทนา
ปั้ง!
ตัวหมากรุกหล่นลงพื้นผู้เฒ่าชุดดำมองเขา สีหน้าของเขายังคงใจเย็นหนักแน่น
“ประตูตำหนักเจ็ดจ้าวไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาพูดแบบนี้ได้จงจำไว้ว่าการพูดไม่คิดจะมอบภัยให้กับตัวเจ้า”
ซือหยูเพียงแค่ยิ้มกับคำขู่
“ง่ายดายนักหากพวกเจ้าอยากจะไปหาจ้าวนรกแต่ก็ยังยากนักถ้าต้องเจอกับอสูรร้อยเฝ้าประตู เจ้าทำงานเป็นคนเฝ้าประตูอย่างที่ใจอยากเถอะ ลาก่อน!”
ซือหยูหมดหวังไปตั้งแต่ได้เจอหลงควนแล้วเขาอยากจะกลับจริงๆ แต่เมื่อมาถึงที่นี่แล้วเขาก็อยากจะทำมันต่อไปให้จบ แต่ตอนนี้กลับถูกพวกคนเฝ้าประตูชั้นต่ำมาขวาง เขาพบว่าการได้เข้าไปตำหนักเจ็ดจ้าวนั้นยากมาก ถ้าจะไปหาราชาแห่งความมืดก็คงจะยากกว่า!
“ข้ามาเสียเที่ยวจริงๆ”
ซือหยูหัวเราะเยาะตัวเองข้างในถ้าเขารู้ว่ามันจะลงเอยอย่างนี้เขาก็คงจะไม่มีที่อาณาจักรทมิฬตั้งแต่แรก
ฟึ่บ!
“รับไปซะจะนำมันไปส่งดีๆหรือไม่ก็ตามใจพวกเจ้า”
ซือหยูหยิบเอาจดหมายลายมือผู้เฒ่าจิวโยนลงบนกระดานหมากรุก
ไป่จงดูเป็นกังวลสองผู้เฒ่ายังคงไม่แยแสสนใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของพวกเขา แม้ว่าทั้งคู่จะทำตัวน่ารังเกียจ แต่ไป่จงก็ไม่กล้าจะตำหนิ
ไป่จงเพียงแค่ไล่ตามซือหยูไปและขอโทษเขาซ้ำแล้วซ้ำเลบ่า
“ท่านเจ้าพันธมิตรซือได้โปรดรอแล้วฟังข้าก่อน…”
ซือหยูปัดมือไม่สนใจ
“หัวหน้าไป่มันไม่ใช่เรื่องของท่าน ข้าควรจะขอบคุณด้วยซ้ำที่ทำทางข้ามาที่นี่ สบายใจเถอะ ข้าจดจำน้ำใจของท่านได้”
“อารมณ์ของผู้เฒ่าขาวดำแปรปรวนเช่นนี้เสมอพวกเขาสองคนอวดดีหยาบคาย! พวกเขาทำให้หลายคนโกรธอยู่เสมอ ท่านไม่ต้องลดตัวไปอยู่ระดับเดียวกับสองคนนั้นเลย”
ไป่จงถอนหายใจอย่างอ่อนแรง…
เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะต้องมาที่นี่ด้วยเรื่องสำคัญแต่ผู้เฒ่าขาวดำก็อวดดีเกินกว่าจะมองเรื่องของคนส่วนใหญ่คือความรุนแรงของสถานการณ์…
ซือหยูไม่คิดจะเสียเวลาคิดเรื่องผู้เฒ่าขาวดำเขารีบเปลี่ยนเรื่อง
“หัวหน้าไป่ที่นี่มีร้านขายโอสถหรือไม่?”
เขาหยิบเอารายการสิ่งของรวมถึงโอสถหางวิหคเพลิงม่วงและโอสถจันทร์ลับอดุลและโอสถอื่นๆทั้งหมดคือสิ่งจำเป็นที่จะใช้รักษาผู้เฒ่าฉิว
ไป่จงตกใจกับคำถามเขาหยิบเอารายการโอสถขึ้นไปดูและขมวดคิ้ว
“ข้ามีโอสถหางวิหคเพลิงม่วงข้าให้ท่านเป็นของขวัญได้ แต่ยากนักที่จะหาโอสถจันทร์ลับอดุล”
“พวกเจ้าไม่มีมันขายหรอกรึ?”
ซือหยูสับสนที่รู้ว่าอาณาจักรทมิฬไม่มีโอสถนี้ฃ
ไป่จงส่ายหน้า
“มิใช่ว่ามันวางขายไม่ได้แต่โอสถนี้พิเศษมาก มันต้องการแสงจันทร์ในการปรุง พอปรุงแล้วก็เก็บได้เพียงครึ่งเดือนก่อนจะเสียพลังไปทั้งหมด”
เขาพูดต่อ
“ขณะนี้เป็นยามจันทร์ครึ่งดวงต่อให้มีโอสถจันทร์ลับอดุล มันก็คงจะหมดพลังไปแล้ว และถ้าท่านอยากจะได้โอสถนี้ ท่านก็ต้องรอจนกว่าจะถึงเดือนใหม่ ขออภัยท่านเจ้าพันธมิตรซือ ท่านมาผิดเวลาแล้วล่ะ”
ครึ่งเดือนรึ?ข้าจะรอนานขนาดนั้นได้ยังไง กองทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์กำลังจะมาทำลายทวีปอยู่แล้ว!
และอาการของผู้เฒ่าฉิวก็ไม่ได้เบาบางถ้าไม่ได้โอสถทั้งหมดที่ต้องใช้ นางก็อาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิม นางอาจจะหลับไปตลอดกาลก็ได้!
“อืมอ้อ…มิใช่ว่าจะไม่มีทางอื่นเลย แต่มันยากนัก…”
ไป่จงพูดขึ้นมาซือหยูสนใจในทันที
ซือหยูเลิกคิ้ว
“ท่านหัวหน้าไป่พูดมาเลย…”
“เรามีที่ลับเป็นขอบแดนลับที่เวลาไหลต่างจากภายนอก ข้าคิดดูแล้ว วันนี้จะเป็นวันจันทร์เต็มดวงของที่นั่น ท่านไปหาแสงจันทร์เต็มดวงจากที่นั่นได้ แสงจันทร์นั่นจะใช้ปรุงโอสถจันทร์ลับอดุล!”
ไป่จงเสนอทางแก้ปัญหา
ซือหยูตกใจมาก
“มีที่แบบนั้นอยู่ในชั้นแปดด้วยรึ?”
แม้แต่สถานที่ที่ยิ่งใหญ่อย่างตำหนักเจ็ดจ้าวยังตั้งอยู่ในชั้นเจ็ดเขาจึงบอกได้ว่าชั้นแปดสำคัญเพียงใด
“ท่านเจ้าพันธมิตรซือหลักแหลมนัก”
ไป่จงพูดด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูครุ่นคิดและถาม
“เช่นนั้นชั้นแปดก็เป็นที่เก็บทรัพยากรทั้งหมดของอาณาจักรสินะ?”
“มิได้เหตุที่ชั้นแปดไม่เป็นที่อยู่อาศัยมิใช่เพราะเก็บทรัพยากรไว้ที่นั่น แต่เป็นเพราะมิตินั้นไม่มั่นคง มีรอยแยกมิติปรากฏอยู่บ่อยๆ มันอันตรายและไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย ผู้คนเลยมักจะไม่เข้าไป
เขาหายใจเข้าลึกและพูดต่อ
“แต่เพราะรอยแยกมิติพวกนั้นเวลาของที่นั่นกับโลกภายนอกเลยต่างกัน มีบางคนที่ใช้เหตุการณ์นี้เข้ามาบ่มเพาะพลัง บ้างก็มีคนมาเก็บแสงจันทร์ที่นี่”
ใช้การไหลเวลาที่ต่างกันบ่มเพาะพลังรึ?ซือหยูคิดถึงพลังเร่งเวลาที่เขาเคยมี
“เวลาในชั้นแปดช้ากว่าโลกภายนอกเท่าใดรึ?”
ซือหยูถาม
“ครึ่งชั่วยามที่ชั้นแปดเท่ากับหนึ่งชั่วยามของโลกภายนอก”
ความต่างนี้ค่อนข้างดีไม่แปลกที่อาณาจักรทมิฬจะสร้างภูติได้หลายคนในเวลาเพียงสามปี โดยเฉพาะถ้าพวกคนเหล่านั้นใช้ความได้เปรียบนี้!
“แต่คนมักจะไม่เข้าไปนานเกินสองชั่วยามข้างในนั้นจะมีหมอกพิษปรากฏในทุกหนึ่งชั่วยาม มันเป็นพิษร้ายแรงที่ภูติระดับสามอาจจะสลบถ้าสัมผัสกับมัน ดังนั้นทุกหนึ่งชั่วยามจะมีคนจากข้างในออกมาและรออีกหนึ่งชั่วยามเพื่อที่จะเข้าไปใหม่”
ซือหยูลูบคางดูเหมือนว่าความต่างของเวลาจะใช้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดในทีแรก
“เจ้าพันธมิตรซือหยูท่านรอที่นี่ให้ข้าไปเก็บแสงจันทร์จะดีหรือไม่?”
ไป่จงค่อนข้างเอาใจใส่
ซือหยูอับอายจากการดูแลของเขาเพราะซือหยูเองยังขโมยม้าเมฆาของเขามา! แต่เป็นเพราะความต่างในด้านฐานะ แม้จะไม่นับเรื่องความนับถือต่อซือหยู ไป่จงก็ไม่เคยพูดถึงมันเลย
แล้วตอนนี้เขาจะให้ไป่จงไปเสี่ยงแทนได้อย่างไร?ถึงไป่จงจะไม่พูดอย่างละเอียด ซือหยูก็บอกได้ว่าที่นั่นมันไม่ปลอดภัย
“หัวหน้าไป่ข้าขอเข้าไปเองไม่ได้รึ?”
ซือหยูถาม
ไป่จงลังเลเล็กน้อย
“ตามกฎมีแค่คนอาณาจักรทมิฬเท่านั้นที่จะได้เข้าไป”
ไม่แปลกที่เป็นเช่นนั้นคงจะไม่ฉลาดแน่ถ้าปล่อยให้คนนอกเข้าไปในที่สำคัญเช่นนั้น
“แล้วถ้าข้าปิดบังตัวเองเล่า?”
ซือหยูหยิบเอาหน้ากากมาสวม
ไป่จงลังเลก่อนจะยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก
“ย่อมได้อย่างไรก็ไม่มีของมีค่าที่นั่น อาณาจักรมิได้เสียหายอะไร ท่านตามหลังข้ามาก็พอ”
หลังจากครึ่งชั่วยามที่ขอบของชั้นเจ็ดมีลำดับยักย้ายที่เก่าแก่เสียหายตั้งอยู่
พรึ่บ!
แสงส่องประกายจำนวนคนมากมายออกมา สภาพของคนด้านหน้าดูไม่เป็นอะไรและใจเย็น แต่คนข้างหลังล้วนสภาพย่ำแย่ บางคนหมดสติและถูกคนของตัวเองช่วยออกมา
มีหลายคนตกใจและแปลกใจพวกเขาพูดคุยกัน ไม่นานที่ลำดับยักย้ายก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
“เกิดอะไรขึ้น?”
ไป่จงใจเต้นแรงและเดินไปยังคนที่หมดสติเขาเป็นชายอายุสามสิบ ใบหน้าดูสีม่วงเพราะต้องพิษ
“ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการ”
ทุกคนต่างเรียกเขาด้วยความนับถือเมื่อเห็นไป่จง
“ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการนี่เป็นเพราะหมอกพิษ”
หญิงสาวที่ช่วยชายที่ถูกพิษพยุงเขาให้ลุกขึ้นมา
ดูเหมือนนางจะเป็นภรรยาของเขาน้ำตาไหลนองใบหน้า เขามองนางและเห็นว่าใบหน้าของผู้เป็นภรรยามีสีม่วงอยู่บ้างเช่นกัน
ไป่จงเลิกคิ้ว
“มีใครเจ็บหนักนอกจากเขาอีกหรือไม่?”
เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอดังนั้นจึงมีหลายคนที่ไม่บ่มเพาะพลังเพียงลำพัง นั่นช่วยให้พวกเขารอดจากอันตรายอย่างการบ่มเพาะจนเลยเวลาจนถูกพิษ!
แต่ตอนนี้อาณาจักรได้ทำสัญลักษณ์ของจุดปลอดภัยรอบๆลำดับยักย้ายไว้แล้วถ้าพวกเขาไม่ออกจากที่นั่นก็จะไม่เป็นอันตราย ดังนั้นจึงเป็นเวลานานมากแล้วที่มีคนบาดเจ็บจากหมอกพิษ
DND.668 – รอยแยกประหลาด
“ไม่มีเลย…”
หญิงสาวผู้เป็นภรรยาส่าบหน้า
“แต่มีอยู่สองคนที่ไม่รอดออกมา”
“มีคนตายในนั้นรึ?”
ไป่จงตกใจ
“เจ้าออกไปจากจุดปลอดภัยรึ?เพราะพวกเจ้าออกไปใช่ไหมถึงหนีมาไม่ทัน?”
เขามองรอบๆและเห็นหลายคนหน้าซีดไป่จงรู้สึกว่ามันแปลกไป
“ไม่เลยพวกเราทุกคนอยู่ในจุดปลอดภัย แต่หมอกพิษมันไม่ได้ออกมาตามเวลาที่เป็นปกติ จู่ๆมันก็พุ่งขึ้นมา พวกเราอยู่ใกล้ทางออกกันหมดและออกมาทัน แต่สองคนในนั้นกลับมาไม่ทัน…”
จู่ๆหมอกพิษก็ระเบิดออกมารึ?ไป่จงสับสน
“สองคนนั้นเป็นใคร?พวกนั้นออกจากจุดปลอดภัยแล้วไปที่ส่วนลึกที่สุดใช่ไหม?”
นางพยักหน้า
“ใช่แล้วสองคนนั้นบอกว่าทำภารกิจ ต้องเข้าไปส่วนลึกเพื่อซ่อมรอยแยก แต่ไม่นานพอสองคนเข้าไป หมอกพิษก็ระเบิดออกมา”
นางพูดต่อ
“สองคนนั้นน่าจะเป็นเจ้าตำหนักหนานกวงกับผู้ตรวจการไป่หยุนข้าได้ยินว่าทั้งสองเข้าไปทำภารกิจอันตรายเพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต”
ไป่จงพยักหน้าดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ให้เขาพักเถอะแต่พวกเจ้าทุกคนห้ามพูดว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
ไปจงพูดอย่างเย็นชา
ไม่มีใครกล้าขัดไป่จงเพราะหลังจากเจอเรื่องเมื่อครู่ พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปเพื่อบ่มเพาะพลังอีกแล้ว
“เจ้าพันธมิตรซือดูเหมือนเราจะต้องรอแล้วล่ะ ข้าไม่คิดว่าจู่ๆหมอกพิษจะระเบิดออกมา มันอันตรายเกินไป”
ไป่จงถอนหายใจขณะที่พูด
ซือหยูครุ่นคิดเขาเห็นสถานการณ์มาตั้งแต่แรก
ดูเหมือนว่าไป่จงจะปิดบังอะไรเอาไว้เจ้าตำหนักหนานกวงกับไป่หยุนถูกลงโทษให้มาทำภารกิจอันตราย แต่ไป่จงก็ไม่คิดจะเผยความจริงว่าภารกิจนั้นคืออะไร เขายังสั่งให้คนที่นี่ให้ปิดปากเงียบอีก
“ย่อมได้เราจะรอ”
ซือหยูพูดอย่างหมดหวัง
ขณะที่รอไป่จงยื่นน้ำเต้าหยกเย็นๆให้กับซือหยู
“มันเป็นน้ำเต้าที่ทำจากหยกจันทร์เย็นมันใช้เก็บแสงจันทร์ได้ พอท่านเข้าไป ท่านจงตามหาที่ที่มีแสงจันทร์เพียงพอ ใช้เวลาสักถ้วยชาเดียวก็คงได้แสงจันทร์มากพอแล้ว พอท่านกลับมาข้าจะทำโอสถจันทร์ลับอดุลให้ท่าน”
เขาพูดต่อ
“ตามปกติทุกแห่งในระยะหกสิบลี้ใกล้ลำดับยักย้ายจะรับว่าเป็นจุดปลอดภัย มีที่ให้ท่านเก็บแสงจันทร์อยู่แล้ว ท่านอย่าไปไกลกว่านี้ มิเช่นนั้นท่านจะกลับมาไม่ได้หากมีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับพวกที่ออกมา”
ซือหยูดูมั่นใจ
“เข้าใจล่ะ”
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
“หมอกพิษคงจะลดลงไปแล้วท่านเข้าไปได้เลย”
ไป่จงอัดพลังชีวิตลงในลำดับที่ประตู
ครั้งนี้มีเพียงซือหยูคนเดียวที่จะเข้าไป
“อีกเดี๋ยวข้าจะกลับมา”
ซือหยูประสานหมัดให้ไป่จงและก้าวเข้าไปทันที
ไป่จงที่ยืนอยู่ที่เดิมก็ก้าวเข้าไปข้างในด้วยเขาดูเป็นกังวล
“ข้าหวังว่ามันจะดีขึ้นแล้วนะ”
พูดจบไป่จงได้เข้าไปข้างใน แต่ที่ที่เขาเข้าไปนั้นต่างจากจุดที่เขาส่งซือหยู
พรึ่บ
ซือหยูลืมตาขึ้นเขาได้กลิ่นเหม็นเน่ารอบๆ เขาใช้พลังชีวิตไล่กลิ่นเหม็นเน่านั้นออกไป
เขาเห็นโลกที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีม่วงบางๆราวกับว่าที่นี่อยู่บนยอดเขาสูง
“พวกนี้คงเป็นไอพิษที่เหลืออยู่ถึงผลทางพิษจะหายไปแล้ว หายใจเอามันมากเกินไปก็ยังมีอันตราย”
เขาพบว่าพลังวิญญาณของที่นี่หนาแน่นน้อยกว่าข้างนอกพลังวิญญาณในที่นี่เบาบางกว่าอย่างมาก
หากพูดด้วยเหตุผลที่นี่ไม่เหมาะที่จะฝึกฝนเลย แต่เวลาที่ช้ากว่าข้างนอกทำให้คนอื่นอยากจะเข้ามา
ซือหยูเร่งรีบเพราะไม่มีเวลามากนักเขาใช้เนตรวิญญาณมองรอบๆ แม้ว่าหมอกจะทำให้มองดูยาก เขาก็เห็นทุกสิ่งในระยะหกสิบลี้ได้อย่างชักเจน
“นั่นไงแสงจันทร์”
ซือหยูพบลำแสงอ่อนๆห่างออกไปราวสิบลี้แสงจันทร์นี้มาจากภูเขาลูกเล็กที่อยู่เหนือกว่า
ซือหยูไปถึงที่นั่นโดยการกระโดดเพียงไม่กี่ครั้งเขาเห็นว่าท้องนภาเต็มไปด้วยเมฆสีม่วง แสงจันทร์ที่ทะลุผ่านเมฆาเหล่านั้นดูงดงามเป็นอย่างมาก
เขามองตามแสงจันทร์ไปพบกันดวงจันทร์ดวงใหญ่บนฟ้า!ซือหยูหยิบเอาน้ำเต้าหยกวางลงบนก้อนหิน น้ำเต้าเริ่มที่จะดูดซับแสงจันทร์เข้าไป
ซือหยูยืนข้างน้ำเต้าและมองรอบๆเขาพยายามจะตื่นตัวเผื่อว่าหมอกพิษจะระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนั้นเองเขาเห็นร่างคนหนึ่งในระยะหกลี้ มันดูมองยาก ร่างนั้นตัวสั่นและกำลังเคลื่อนที่ช้าๆไปยังทางออก
ปั้ง
ไม่นานร่างนั้นก็ล้มลงกับพื้นและไม่ยืนขึ้นมาอีกเลย
“ใครน่ะ?เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม?”
ซือหยูตกใจและบินไปดู
เมื่อเข้าใกล้คนที่ล้มลงไปมากพอเขาก็อุทานออกมา
“นี่เจ้า!เจ้าตำหนักหนานกวง!”
คนที่ล้มลงกับพื้นคือสตรีวัยกลางคนขนตาของนางสั่นไม่หยุด แม้ดวงตาจะปิดแน่น ก็บอกได้ว่าดวงตาของนางกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว หน้าผากขาวราวหิมะยังตึงเครียดแสดงถึงความเจ็บปวด
“แม้แต่ภูติระดับสามก็ต้องหมดสติเพราะพิษของที่นี่แต่เจ้ากลับรอดแล้วมาได้ไกลเช่นนี้!”
ซือหยูแปลกใจมาก
เขาก้มลงและพบผ้าคลุมสีแดงรอบคอของนางมีสร้อยติดกับผ้าคลุมที่ซุกอยู่
ในอก ซือหยูไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรแต่บอกได้ว่าหมอกพิษอ่อนๆรอบๆเจ้าตำหนักหนานกวงถูกดูดเข้าไปในสร้อยนั้น
นี่จะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้นางยังมีชีวิตอยู่!
การที่นางถูกลงโทษนั้นไม่แปลกนักเพราะนางกอบกู้ทวีปเหนือไว้ไม่ได้แต่การลงโทษนี้ก็เกี่ยวข้องกับซือหยูเพราะเขาเป็นคนที่ผลักให้นางตกอยู่ในสภาพนี้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะช่วยนาง
ซือหยูนั่งขัดสมาธิเขาวางมือทั้งสองลงบนหลังของนางและอัดพลังชีวิตลงไป เขาคิดจะกำจัดพิษเหล่านั้น น่าตกใจที่เมื่อพลังชีวิตเข้าไปในร่างของนาง พิษนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ถึงสร้อยนี้จะล้ำค่าที่ปกป้องชีวิตนางได้แต่มันก็ดูดพลังชีวิตข้าเข้าไปด้วย!”
ซือหยูเห็นต้นตอของปัญหาเขาไม่มีทางเลือกนอกจากถอยสร้อยของนาง
“หวังว่านางจะไม่เข้าใจข้าผิดนะ”
ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่นและถอดสร้อยออกจากคอของนาง
หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มอัดพลังชีวิตให้นางเพื่อฟื้นฟูพิษในร่างนางซึมออกมาผ่านรูขุมขน
ในตอนนั้นร่างของเจ้าตำหนักหนานกวงรายล้อมไปด้วยชั้นหมอกสีม่วง มันคือชั้นพิษที่ถูกขับออกมา
ไม่นานก็ไม่มีพิษเหลืออยู่ในร่างกายนางอีกสีหน้าเจ็บปวดของนางหายไปแล้ว นางดูหลับอย่างสงบ
ซือหยูดึงมือออกจากร่างของนางและรู้ตัวว่าถึงเวลาที่จะเก็บน้ำเต้าแล้วเพราะมันควรจะเก็บแสงจันทร์ได้มากพอ
ซือหยูแบกเจ้าตำหนักหนานกวงไปในที่ที่เขาเก็บแสงจันทร์หลังจากมองดูน้ำเต้าก็พบว่ามันเต็มไปด้วยบางอย่างที่ทองราวกับวารีทองคำ มันเปล่งแสงจ้า
“แสงจันทร์เต็มดวง!”
ซือหยูหยิบเอาน้ำเต้าขึ้นมาปิดเขาเก็บมันไว้กับตัว
“ถึงเวลาไปแล้ว…”
ซือหยูพูดกับตัวเอง
เมื่อซือหยูอุ้มเจ้าตำหนักหนานกวงเตรียมตัวจะออกไปกล่องหยกใบหนึ่งก็ได้ร่วงลงมาจากตัวของนาง ซือหยูเรียกมันมาไว้ในมือและเริ่มที่จะเดินทางกลับ
แต่เขาสังเกตเห็นของที่อยู่ในกล่องหยกเขายื่นหน้าเข้าไปใกล้และก็ต้องตกใจ
“ขนม้าเมฆา!”
เขาตกใจมาก
กล่องหยกนี้มีขนสีขาวอยู่หนึ่งเส้นซือหยูมีเส้นขนแบบนี้เช่นกัน! เขายังมีขนแบบเดียวกันนี้นับสามร้อยเส้น เพราะเขาได้มันมาจากม้าเมฆา!
“ทำไมนางถึงมีขนของม้าเมฆาล่ะ?”
เขาสงสัย
เส้นขนนี้มีพิษร้ายถึงตายที่สังหารทุกคนที่มีพลังต่ำกว่าภูติระดับสี่ซือหยูเองก็เคยหายใจเอาพิษส่วนน้อยของมันเข้าไปและเกือบตาย! เขายังระแวงพิษของมันมาจนถึงวันนี้
ซือหยูเองก็ได้รับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของม้าเมฆามันทำให้เขาเป็นภูติที่มีแก้วสามดวงได้ทันที มันเพิ่มพลังให้เขาอีกหนึ่งขั้น
ซือหยูใจเต้นเขาคิดถึงภารกิจลับที่เจ้าตำหนักหนานกวงรับผิดชอบ และคำพูดที่ไป่จงเพิ่งจะพูด
เขาหันไปมองพื้นที่ส่วนที่ลึกเข้าไปและสงสัย…
หรือว่าม้าเมฆาจะเติบโตที่นั่น?
มันดูเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาตามที่หยุนย่าสีบอก แม้แต่กระโจมเทพสวรรค์ก็ไม่เหมาะกับการปลูกม้าเมฆา ดังนั้นมันจะต้องไม่เติบโตในชั้นแปดของอาณาจักรทมิฬที่มีพลังวิญญาณน้อยนิด แต่ซือหยูก็ยังมีข้อกังขาอยู่บ้าง
เขากระโดดไปยังทางออกและวางเจ้าตำหนักหนานกวงไว้ที่นั่นเขาส่งนางไปยังด้านนอก
แต่ตัวเขาเองกลับบินขึ้นฟ้าไปในพื้นที่ส่วนลึกไม่นานเขาก็ถึงจุดที่ไกลกว่าจุดปลอดภัย
หมอกพิษเริ่มหนาขึ้นในตอนที่เขาก้าวออกจากจุดปลอดภัยแค่หายใจก็ทำให้ซือหยูมึนหัว เขาไม่สบายใจอย่างมากและหยิบเอาสร้อยของเจ้าตำหนักหนานกวงออกมา
เขารู้สึกดีขึ้นทันทีที่ถือมันไว้ในมือซือหยูรีบบินไปต่อขณะที่ถือสร้อยเอาไว้
ที่นี่ไม่กว้างนักไม่กี่นาทีซือหยูก็มาไกลเป็นพันๆลี้! ยิ่งไปลึกเท่าใด มันก็ยิ่งรกร้างเท่านั้น
แน่นอนว่าเขาเห็นซากศพมาตลอดทางเขาไม่แน่ใจว่าคนเหล่านี้ตายมานานเท่าไหร่แล้ว
เมื่อไปถึงจุดลึกสุดเขาได้เห็นรอยแยกที่ดูอันตรายเต็มไปหมด
แผละ
จู่ๆซือหยูก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่นิ่มๆระเบิดเขาเริ่มใจเต้นแรง
เขาเห็นรอยแยกสีดำขนาดเท่าเส้นผมต่อปรากฏอยู่ตรงจุดที่ขาขวาของเขาเคยอยู่ซือหยูตื่นตัวอย่างมาก เขารู้ว่าถ้ารอยแยกนี้ผ่านขาของเขาไป มันจะตัดขาเขาจนขาด! ที่นี่อันตรายจริงๆ!
แต่ที่นี่กว้างมากเขาไม่รู้ว่าเจ้าตำหนักหนานกวงเอาขนของม้าเมฆามาจากที่ไหน
ตอนนั้นเองเขารู้สึกถึงคลื่นพลังชีวิตมาจากระยะยี่สิบลี้ ซือหยูหันไปมองและพบว่ามีแผ่นศิลาบางๆถูกปกคลุมไปด้วยหมอกพิษ
แปลกมาก!มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยรึ?
ซือหยูบินเข้าไปด้วยความสงสัยเขาพบซากศพนอนอยู่ใต้แผ่นศิลา และเขาก็คือไป่หยุน!
แต่ร่างของไป่หยุนถูกพิษกัดจนเปื่อยยุ่ยเขาถูกพิษคร่าชีวิตไป!
มีรอยแยกบนแผ่นศิลานั้นมันกว้างพอจะให้คนผ่านเข้าไป เทียบกับรอยแยกอื่น ตอนแยกนี้ดูเสถียรกว่า ดังนั้นมันจึงไม่หายไปเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเหมือนกับรอยแยกอื่น
คลื่นพลังชีวิตถูกปล่อยออกมาจากรอยแยกนี้
หรือว่าม้าเมฆาจะมาจากที่นี่?
ซือหยูมองรอบๆและตัดสินใจเข้าไปในรอยแยกนี้แต่เมื่อเขาเข้าไปก็มีเงาดำเริ่มจู่โจมเขา
และเงาดำยังมีพิษที่ทำให้ตัวสั่นด้วยความกลัว!มันคือพิษของม้าเมฆา!
ซือหยูหวาดกลัวมากเขารู้ว่าพิษนี้ร้ายแรงเพียงใดเพราะเคยเจอมากับตัว เขาไม่กล้าจะแตะมันเลย!