The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 673-674
DND.673 – ความเข้าใจผิดใหญ่หลวง
ไป่จงตื่นตกใจเมื่อกลับมาได้สติเขาก็พยายามจะปฏิเสธของขวัญจากซือหยู
“ท่านเจ้าพันธมิตรซือนี่มันเรื่องอะไรกัน? ข้าจะรับของล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
มีสมบัติกึ่งวิญญาณแค่ไม่กี่ชิ้นในอาณาจักรและทั้งหมดล้วนเป็นของตำหนักเจ็ดจ้าว ไป่จงไม่คิดว่าคนที่เป็นแค่หัวหน้าผู้ตรวจการอย่างเขาจะควรได้ถือสมบัติวิญญาณ
“ข้าได้มาจากมือศัตรูมันไร้ประโยชน์ต่อข้า ท่านไม่ต้องปฏิเสธหรอก”
ซือหยูไม่อธิบายอะไรอีกเขาเพียงแค่มอบมันให้ไป่จง
ซือหยูหยิบเอาแก้วพลังสี่ดวงออกมาส่งให้จ้าวหอวารีสวรรค์
“หนึ่งดวงนี้ชดเชยให้ท่านอีกสามดวงให้กับอาจารย์ปรุงโอสถทั้งสาม ข้าไม่ชอบติดหนี้ผู้ใด โปรดอย่าปฏิเสธ”
ไป่จงกับจ้าวหอวารีสวรรค์ตื่นตกใจอีกครั้งของล้ำค่าอย่างแก้วพลังที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตจากธรรมชาติไม่มีอยู่ในทวีปเฉินหลง แค่เรื่องนี้ก็บอกได้แล้วว่ามันพิเศษเพียงใด
“ข้าได้สิ่งที่ต้องการแล้วเช่นนั้นคงต้องขอลาก่อน ถนอมตัวด้วย”
ซือหยูประสานหมัดให้ทั้งคู่เมื่อตั้งใจจะกลับ
แต่ตอนนั้นเองจ้าวหอวารีสวรรค์ได้พูดออกมาอย่างรีบร้อน
“เดี๋ยวสิท่านเจ้าพันธมิตรซือเหตุใดท่านไม่พักที่นี่สักสองวันเล่า? ท่านจ้าวลำดับแรกยังบ่มเพาะพลังอยู่ ข้าจะไปแจ้งให้เขาทราบว่าท่านมา”
ซือหยูตอบ
“ไม่เป็นไรข้ารู้ฐานะตัวเองดี คิดซะว่าข้าไม่เคยมาที่นี่ก็แล้วกัน”
ทั้งสองรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากเมื่อซือหยูตัดสินใจกลับแต่ก็ไม่เหมาะไม่ควรหากทั้งคู่จะรั้งซือหยูต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นได้โปรดตามข้ามา ข้าจะพาท่านไปที่ประตูมิติ”
ไป่จงรู้สึกขอบคุณต่อซือหยูเป็นอย่างสูงสมบัติวิเศษในมือทำให้เขาตื่นเต้นจนถึงขีดสุด
ประตูมิติรึ?ซือหยูสับสน เขาคิดว่าเขาจะต้องออกจากชั้นแรก เขาเตรียมตัวที่จะรับมือกับกองทัพศัตรูแล้ว แต่เมื่อได้เห็นประตูมิติบานใหญ่ที่เหนือหอวารีสวรรค์เขาก็เข้าใจแล้วว่าไป่จงพูดถึงอะไร
“ประตูมิติจะเปิดให้คนของพวกเราใช้เท่านั้นมันจะพาท่านไปจากยอดเขาที่ใดก็ได้ในระยะร้อยลี้ แต่ท่านจะกลับมาไม่ได้ ดังนั้นการออกไปจากที่นี่จึงเป็นเรื่องง่าย แต่การกลับเข้ามานั้นค่อนข้างยาก”
ไป่จงอธิบาย
ซือหยูเข้าใจแล้วว่าทำไมไป่จงถึงปรากฏตัวที่ด้านนอกวันนั้นและเหตุที่เขาถูกคนจากต่างโลกไล่ล่า นั่นก็เพราะมีประตูมิติแบบนี้อยู่นั่นเอง
“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วยหวังว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง”
ซือหยูประสานหมัดให้ทั้งสองและก้าวเข้าไปในประตูมิติ
ซือหยูออกจากอาณาจักรทมิฬไปแล้วเขาเริ่มเดินทางกลับทวีปเหนือ
ที่หน้าประตูมิติ
“หัวหน้าผู้ตรวจการไป่ยินดีด้วย! ท่านได้รับสมบัติกึ่งวิญญาณ! นี่เป็นสมบัติที่พวกเราทำได้แค่ใฝ่ฝัน”
จ้าวหอวารีสวรรค์มองสว่านในมือไป่จงด้วยความอิจฉา
ไป่จงตอบ
“ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าพันธมิตรซือจะมีน้ำใจเช่นนี้ข้าไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนท่านเจ้าพันธมิตรซือได้ยังไง”
“ข้าได้ยินว่าซือหยูเป็นคนมีคุณธรรมที่จะตอบแทนทุกน้ำใจที่แสดงต่อเขาและวันนี้ข้าก็ได้เห็นกับตา”
จ้าวหอวารีสวรรค์ถอนหายใจด้วยความทึ่งและเศร้า
“ถ้าข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงข้าก็คงไม่สนใจฐานะตัวเองแล้วรีบออกมาต้อนรับเขาเร็วกว่านี้”
ไป่จงถามด้วยความตกตะลึง
“ท่านจ้าวหอวารีสวรรค์ท่านเป็นลูกหลานของจ้าวแห่งความมืด เหตุใดนั้นถึงนับถือเจ้าพันธมิตรซือขนาดนี้กัน? ข้าสงสัยจริงๆ เขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าจ้าวสาม ไม่ต้องพูดถึงจ้าวสองกับจ้าวแห่งความมืดเลย”
จ้าวหอวารีสวรรค์ตาเป็นประกายขณะที่ตอบ
“หัวหน้าผู้ตรวจการไป่ท่านเชื่อจริงๆรึว่าเจ้าพันธมิตรซือสังหารได้แค่ภูติระดับสาม?”
ไป่จงตื่นตกใจในคำถามเขาคิดก่อนจะตอบ
“ตามข่าวลือดูเหมือนว่าเขาจะมีพลังแค่นั้น และถ้าให้ข้าพูดตามตรง ข้ารู้สึกว่ามีเรื่องของโชคอยู่ด้วยในตอนที่เขาสู้กับจ้าวสาม ถ้าไม่มีสายฟ้าที่บังเอิญพอดีนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
“ก็จริงของเจ้าแต่ข้าได้ข่าวลับของซือหยูมาด้วย ข่าวนั้นบอกว่าแปดศักดิ์สิทธิ์ยอมรับซือหยูเป็นเจ้านาย”
จ้าวหอวารีสวรรค์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ไป่จงขมวดคิ้ว
“มันไม่ใช่ความลับเสียหน่อยทุกคนรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว มันแปลกอะไรรึ? ด้วยพลังระดับนั้นก็ง่ายดายนักที่เขาจะบังคับให้แปดศักดิ์สิทธิ์มารับใช้ มันไม่ยากหรอกที่เขาจะบังคับ”
จ้าวหอวารีสวรรค์ยิ้มออกมา
“หัวหน้าผู้ตรวจการไป่บอกข้าที ถ้าจ้าวแปดพยายามจะบังคับให้ท่านเป็นทาสของเขา ท่านจะหนีหรือจะยินยอมพร้อมใจโดยไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย?”
ไป่จงไม่พอใจกับคำถามของนาง
“เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นแน่แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ข้าก็คงไม่ยอมง่ายๆ ข้าจะพยายามหนีจนสำเร็จ เว้นเสียแต่ว่าจะต้องเจอกับยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน”
“แล้วเช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าแปดศักดิ์สิทธิ์วู่เหิง ไม่แม้แต่พยายามจะหนีตอนที่ซือหยูให้เขาเลือกว่าจะตายหรือรับใช้เขา? เขาเลือกที่จะรับใช้ซือหยูโดยไม่ลังเลด้วยซ้ำ! ตามข้อมูลลับที่ข้าได้มา วู่เหิงได้เห็นซือหยูต่อสู้ในกระโจมเทพสวรรค์ ที่นั่น ซือหยูได้สังหารจ้าวเทวะไปหนึ่งคน!”
จ้าวหอวารีสวรรค์ถอนหายใจยาวนางมิอาจปิดซ่อนความตกใจเมื่อเล่าเรื่องนี้กับไป่จง
“อะไรนะ?เขาฆ่าจ้าวเทวะได้จริงๆรึ?”
ไป่จงสูดหายใจเข้าลึกเขารู้สึกเพียงความกลัวในใจ
เพราะสามปีก่อนคนเฉินหลงมิได้รู้เลยว่าจ้าวเทวะคืออะไร แต่เมื่อถูกต่างโลกเข้ารุกราน ความรู้บางอย่างจากจิวโจวจึงได้มาถึงพวกเขา นั่นจึงเป็นเวลาเดียวกับที่พวกเขารู้ว่ายังมีขอบเขตที่เหนือกว่าภูติ นั่นก็คือจ้าวเทวะ!
จ้าวเทวะคือยอดฝีมือผู้น่ากลัวที่มีพลังทำลายล้างที่จะสร้างความสูญเสียครั้งใหญ่เพียงแค่โบกมือครั้งเดียวแต่เขาไม่คิดเลยว่าจะได้ยินข่าวว่าซือหยูเคยฆ่าคนเช่นนั้น!
ในสมองของเขามีแต่ความว่างเปล่าซือหยูเป็นผู้นำมนุษย์เฉินหลงต่อสู้กับทัพต่างโลก และซือหยูยังเป็นผู้มีเมตตา เขาไม่ถือตัวมากนัก ไป่จงหัวหมุนเมื่อได้ฟังเรื่องราว
“ถ้าข้าไม่ได้ข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเฉินหลงจะยังมียอดฝีมือแบบนี้อยู่!เพราะมีแค่ราชาของเราเท่านั้นที่จะเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นได้ แม้แต่จ้าวแห่งความมืดผู้เป็นปู่ของข้าก็ทำอะไรเจ้าพันธมิตรซือไม่ได้หรอก!”
นางพูดด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจรึยังว่าทำไมข้าต้องนับถือเจ้าพันธมิตรซืออย่างสูงเช่นนี้?”
จ้าวหอวารีสวรรค์ถามไป่จงกลับไป
แม้นางจะสูงส่งนางก็พยายามเข้าหาพ่อลูกตระกูลหลินซึ่งไม่ใช่สิ่งที่นางเคยทำกับใคร นางไม่ถือตัวและออกมาต้อนรับเมื่อเขามาถึง การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการลดเกียรติของตัวนางลง แต่นางรู้ว่ามันคือการกระทำที่คุ้มค่า
ไป่จงเองก็ถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเพราะไป่จงเพียงแค่ดูแลซือหยูเพียงไม่นาน แต่ซือหยูก็มอบสมบัติกึ่งวิญญาณให้กับเขา! เรื่องเหนือจินตนาการเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทวีปเฉินหลง แต่มันเกิดขึ้นครั้งแรกโดยเจ้าพันธมิตรซือ!
“ข่าวนี้น่าทึ่งเกินไปนัก!ข้าจะต้องไปบอกจ้าวแห่งความมืดกับจ้าวสองที่กำลังบ่มเพาะพลังอยู่”
หลังจากที่ไป่จงได้สติเขารีบพูดขึ้นมา
“เราต้องรีบแล้วข้าไม่อยากจะให้อาณาจักรทมิฬกับซือหยูห่างเหินต่อกัน มิเช่นนั้นเราคงจะลงเอยด้วยการเป็นศัตรูกับยอดฝีมือที่มิอาจต่อกรได้…”
เพียงแค่คิดก็ทำให้ไป่จงตัวสั่นเทิ้มจ้าวสามทำให้ซือหยูไม่พอใจอย่างมาก
จ้าวหอวารีสวรรค์ใจเต้นแรงนางชักสีหน้า
“มัวชักช้าไม่ได้แล้วหวังว่าพวกเขาจะรีบตัดสินใจทัน ต่อให้ช้าก็ดีกว่าไม่ทำเลย”
ตอนนั้นเองไป่จงนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหน้าซีดราวกับกระดาษ
“มันอาจจะสายไปแล้วก็ได้…”
จ้าวหอวารีสวรรค์ตกใจกับคำพูดของไป่จง
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“ท่านอาจจะไม่รู้แต่ข้าพาเจ้าพันธมิตรซือไปที่ตำหนักเจ็ดจ้าวก่อนหน้านี้ แต่สองผู้เฒ่าที่หน้าประตู…”
ไป่จงเล่าเรื่องและโกรธแค้นเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
จ้าวหอวารีสวรรค์ขนลุกไปทั้งตัวเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด
“อะไรนะ?ไอ้แก่พวกนั้นกล้าที่จะขวางยอดฝีมือไร้พ่ายให้เข้าตำหนักเจ็ดจ้าวรึ?”
นางตกใจอย่างมากและนางก็ไม่พอใจอย่างมากด้วย
“ก็ดีพวกนั้นก็แค่อยากจะแสดงให้เห็นว่าคนเฝ้าประตูมันสูงส่งแค่ไหน มันไม่เป็นไรถ้าไอ้แก่สองคนนั้นจะเบ่งอำนาจในวันอื่นๆ แต่มันกล้าทำกะโหลกหนาต่อเรื่องสำคัญฯเช่นนี้ มันล้ำเส้นไปแล้ว! อยากรู้นักว่ามันจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง ไปกันเถอะ ตามข้าไปที่ตำหนักเจ็ดจ้าว ข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านปู่ด้วยตัวเอง”
DND.674 – เจ็ดจ้าวแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่
ด้านนอกตำหนักเจ็ดจ้าว
สองผู้เฒ่าคนหนึ่งสวมชุดขาว คนหนึ่งสวมชุดดำนั่งอยู่ตรงข้ามกัน พวกเขากำลังเล่นหมากรุกและกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
จดหมายสีขาววางอยู่ตรงมุมกระดานมีคราบเปื้อนอยู่บ้างเล็กน้อย แค่เห็นก็บอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้ส่งจดหมายที่ผู้เฒ่าจิวเขียนให้กับใคร
พรึ่บ
สองคนบินลงมาจากฟ้าผู้เฒ่าสองคนเหลือบมองแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นและเล่นหมากรุกต่อไป ผู้เฒ่าทั้งสองไม่สนใจสองคนที่เพิ่งจะมาถึงโดยสิ้นเชิงแม้ว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นลูกหลานของจ้าวแห่งความมืดก็ตาม
“เอาจดหมายนั่นมาให้ข้า!”
จ้าวหอวารีสวรรค์ตะโกนด้วยความโกรธ
นางขยะแขยงความโอหังของทั้งคู่อยู่เสมอนางไม่พอใจมากเมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่แม้แต่จะส่งจดหมายออกไป
ผู้เฒ่าชุดขาวไม่โต้ตอบอะไรเขาเพียงตั้งหน้าตั้งตามองกระดานหมากราวกับไม่ได้ยินนาง ส่วนตัวจนหมาย…เขาไม่ได้เหลือบมองมันด้วยซ้ำ
“นี่พวกเจ้า!”
จ้าวหอวารีสวรรค์โกรธจัดนางเดินไปคว้าจดหมายและพูดด้วยความเยือกเย็น
“ย่อมได้เดี๋ยวข้าจะได้รู้ว่าพวกเจ้าจะแก้ตัวยังไงแน่นอน!”
จ้าวหอวารีสวรรค์ทั้งโกรธแค้นและอับอายนางเดินเข้าสู่ตำหนักเจ็ดจ้าว ฐานะพิเศษของนางทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองมิอาจหยุดนางได้ แต่พวกเขาก็เหลือบมองไป่จง
ไป่จงเข้าใจความหมายของการเหลือบมองนั้นนี่เป็นการส่งสัญญาณว่าให้เขารอข้างนอกเงียบๆ ไม่เหมือนกับจ้าวหอวารีสวรรค์ที่มีฐานะพิเศษที่เข้าออกตำหนักเจ็ดจ้าวได้ตามใจ
ในตำหนักเจ็ดจ้าวม่านแสงเจ็ดชั้นลอยอยู่กลางอากาศ แต่ละม่านมีขนาดเท่าฝ่ามือ
มันถูกจัดเรียงตามส่วนสูงสั้นไปหายาว มันจัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ม่านแสงที่ดูธรรมๆนี้คือตัวแทนของจ้าวแห่งความมืดแต่ละคน
ม่านแสงนี้ถูกราชาแห่งความมืดจัดไว้ด้วยตัวเองมันคือมิติที่เป็นเอกเทศ ถ้าหากไม่เปิดออกจากด้านในก็จะไม่มีใครบุกเข้าไปได้ ไม่มีคนใดจากข้างนอกที่จะบุกเข้าไปได้เลย!
มิติทั้งเจ็ดนี้เชื่อมต่อกับแหล่งเก็บสมบัติของอาณาจักรทมิฬที่เต็มไปด้วยปริมาณพลังวิญญาณที่หนาแน่นการบ่มเพาะที่นั่นหนึ่งวันก็เทียบเท่ากับการบ่มเพาะพลังที่โลกภายนอกสิบวัน เจ็ดจ้าวแห่งความมืดทุกคนล้วนบ่มเพาะพลังอยู่ข้างใน
“เจ็ดจ้าวแห่งความมืดทุกท่านข้ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน…”
จ้าวหอวารีสวรรค์พูด
ทันทีที่นางพูดเหล่าม่านแสงได้หมุนวนอย่างไร้เสียง เงาทมิฬปรากฏตรงหน้าของนาง เงานี้ดูลึกลับชอบกล
“เจ้ามารบกวนการบ่มเพาะของพวกเราทำไม?”
ไม่มีใครบอกได้ว่าใครคือผู้พูดเพราะเสียงที่เปล่งออกมานั้นดูทับซ้อนกับสิ่งวอื่น
จ้าวหอวารีสวรรค์ยื่นจดหมายด้วยมือทั้งสองนางรู้สึกอึดอัด
“นี่เป็นจดหมายที่เจ้าพันธมิตรซือทิ้งเอาไว้โปรดรับไว้ด้วย”
นางมองผ่านไปยังม่านแสงทั้งสองที่ระดับสูงสุดนางดูผิดหวังที่ปู่ของนางที่เป็นจ้าวแห่งความมืดกับจ้าวสองมิได้ปรากฏตัว เพราะทั้งสองมีตำแหน่งสูงสุดที่นี่
“ขอกำลังทหารรึ?ขออภัย พวกเรารู้อยู่แล้ว เจ้ารบกวนพวกข้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้รึ? เจ้าทำเหมือนกับว่าที่นี่คือบ้านเจ้ารึ? ถึงจะเป็นลูกหลานของจ้าวแห่งความมืด เจ้าก็ควรจะแยกแยะให้ได้ว่าสิ่งใดสำคัญหรือไม่”
เสียงอันเย็นชานี้มาจากจ้าวสามไม่ผิดเพี้ยนเขาเพิ่งจะรอดมาจากเงื้อมมือแห่งความตายของซือหยู
จ้าวหอวารีสวรรค์ถามเขาอย่างไม่ให้เกียรติ
“บาดแผลท่านหายดีแล้วรึ?คำพูดของท่านรุนแรงดีนะ”
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ามีดวงตาอันเยือกเย็นจ้องมองนางนางสัมผัสได้ถึงความโกรธและความอับอายของจ้าวสาม
นางหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอีกครั้ง
“จ้าวแห่งความมืดทั้งสี่ท่านจดหมายนี้ต้องส่งให้ราชาแห่งความมืด โปรดส่งมันให้กับเขา มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะรีรอไม่ได้อีกแล้ว”
“ราชาแห่งความมืดรึ?เขาไม่สนใจเรื่องจากภายนอก ไม่มีทางที่เราจะส่งจดหมายนี้ได้ เจ้าฝากมันไว้กับพวกข้าก็พอ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปเถอะ”
เมื่อประโยคนี้ดังจดหมายในมือนางก็ถูกบังคับดึงออกไป
จ้าวหอวารีสวรรค์สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงที่ได้ไม่ดูจริงจังนักนางเริ่มเป็นกังวล
คนระดับสูงของอาณาจักรทมิฬมิได้สนใจพันธมิตรผู้คุมสวรรค์นักพวกเขาไม่ได้ให้ความนับถือซือหยูแม้แต่น้อย
“ท่านจ้าวแห่งความมืดทุกท่านข้าจะยืนกรานอีกครั้งว่าจดหมายนี้สำคัญมาก ท่านต้องส่งให้ราชาแห่งความมืด”
จ้าวหอวารีสวรรค์ดูมั่นใจอย่างมากเมื่อโต้แย้งกลับไป
เหล่าจ้าวแห่งความมืดที่จะกลับไปบ่มเพาะพลังเริ่มหงุดหงิด
“ข้ายินดีหยุดบ่มเพาะเพราะเจ้าเป็นหลานของจ้าวแห่งความมืดลำดับแรกแต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอาเรื่องเล็กน้อยมาให้พวกข้าเห็นอีก เจ้าพอแค่นัะ้นแหละ พวกข้าจะไปแล้ว”
เสียงที่ทับซ้อนปล่อยพลังเบาๆที่จะผลักจ้าวหอวารีสวรรค์ออกไป
จ้าวหอวารีสวรรค์กัดฟันเมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่คิดจะฟังคำแนะนำของนาง
“ก็ได้ทีแรกข้าแค่จะให้ท่านปู่รู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ข้าคงต้องบอกทุกคนแล้ว”
เมื่อนางพูดจบนางเริ่มเล่าข่าวที่ได้มาจากสายลับ พลังเบาๆที่ผลักนางออกไปหายไปในทันที
เงาห้าร่างสั่นสะเทือนรุนแรงดูเหมือนทั้งห้าจะพูดคุยกัน
ไม่นานก็มีเสียงดังพร้อมกันห้าครั้งเงาร่างได้ออกมาจากมิติและเผยตัวออกมา มีทั้งสตรีและบุรุษหลากหลายช่วงอายุ แต่ละคนแต่งกายด้วยชุดที่แตกต่างกัน
ที่ด้านนอกห้องผู้เฒ่าสองคนทีมัวแต่เล่นหมากรุกเริ่มตัวสั่นและตื่นตัวอย่างมาก
“เกิดอะไรขึ้นทำไมจ้าวแห่งความมืดห้าคนถึงออกมาพร้อมกันเล่า?”
ผู้เฒ่าชุดขาวดูตกใจ
ผู้เฒ่าชุดดำตกใจเล็กน้อย
“ครั้งสุดท้ายที่จ้าวแห่งความมืดห้าคนปรากฏตัวก็คือสามปีก่อนมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นงั้นรึ?”
พวกเขาคิดถึงคำขู่จากจ้าวหอวารีสวรรค์เมื่อครู่ทั้งสองขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างหนัก
“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
ชายแก่ผมขาวเครายาวถามนางอย่างสนอกสนใจส่วนจ้าวแห่งความมืดอีกสี่คนก็สนใจเรื่องนี้ไม่แพ้กัน
“ข้าไม่มีหลักฐานแน่ชัดข่าวนี้มาจากคนระดับสูงในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ มีคนไม่มากนักที่รู้เรื่องนี้”
นางดูมั่นใจมากในขณะที่พูด
“แต่ข้าเชื่อเรื่องนี้ยิ่งกว่าสงสัยพลังของซือหยูมิอาจชี้วัดได้ด้วยมาตรฐานทั่วไป”
เหล่าจ้าวแห่งความมืดคิดหนัก
จ้าวสามถอนหายใจเบาๆก่อนจะถาม
“เจ้ากล้าดียังไงมาขัดขวางการบ่มเพาะของพวกข้าด้วยเรื่องเล่าปลอมๆพวกนี้?”
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่าซือหยูจะมีพลังมากพอที่จะสังหารจ้าวเทวะ
“พวกเรารู้เรื่องนี้แล้วเราต้องรอให้จ้าวหนึ่งตื่นขึ้นมาก่อนจะสืบสวนต่อไป”
ชายแก่เครายาวส่ายหน้า
เขาดูผิดหวังและหันกลับไปดูเหมือนว่าเขาเตรียมจะกลับไปบ่มเพาะพลัง
จ้าวแห่งความมืดคนอื่นเริ่มที่จะไม่สนใจแต่จากนั้นม่านแสงทั้งสองที่ไม่ไหวติงเมื่อครู่ได้เริ่มปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมา
เงาทมิฬสองร่างปรากฏยากที่จะมองร่างของพวกเขา ที่มองได้จะมีเพียงเส้นสายของร่างเท่านั้น ทั้งคู่คือจ้าวแห่งความมืดลำดับหนึ่งและจ้าวสอง ผู้ที่เป็นรองเพียงแค่ราชาแห่งความมืดในด้านพลัง
ตามคำร่ำลือพวกเขาเริ่มบ่มเพาะพลังเคียงคู่กับราชาแห่งความมืดมาหลายร้อยปีก่อน แต่พวกเขามักจะไม่ปรากฏตัวตั้งแต่นั้น ครั้งที่พวกเขาปรากฏตัวออกมาก็คือเมื่อสามปีก่อนที่โลกถูกรุกราน
พลังที่แท้จริงของทั้งคู่นั้นมิอาจมีใครรู้ได้และวันนี้พวกเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง! สองผู้เฒ่าข้างนอกแทบจะตาถลน
“จ้าวหนึ่งกับจ้าวสองออกมาด้วย!”
เขาร้องเสียงหลงพร้อมกัน
พรึ่บ
ผู้เฒ่าทั้งสองรีบวิ่งไปในห้องและตะโกนพร้อมกัน
“ท่านจ้าวผู้ยิ่งใหญ่!”
ผู้เฒ่าชุดขาวดำทั้งสองเริ่มตื่นตระหนกและเป็นกังวลพวกเขาสงสัยว่าจ้าวหอวารีสวรรค์พูดอะไรออกไป จ้าวผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองถึงได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน
สองผู้เฒ่ามิได้แสดงความเป็นทางการใดต่อหน้าจ้าวแห่งความมืดห้าคนอื่นแต่จ้าวแห่งความมืดสองลำดับแรกที่เพิ่งจะปรากฏตัวคือผู้เป็นนายตัวจริงของพวกเขาและเป็นจุดสุดยอดของโลก!
“เอาจดหมายนั่นมาให้ข้า”
เสียงของจ้าวหนึ่งดังก้องและทรงพลังในน้ำเสียงไม่มีความรู้สึกแอบแฝงแต่ทุกคนก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กดทับบนร่าง
แม้แต่ชายแก่เครายาวก็หน้าซีดเมื่อยื่นจดหมายให้กับจ้าวหนึ่งด้วยมือทั้งสองเขาเริ่มอึดอัดใจ เมื่อจดหมายไปถึงเงาทมิฬ มันก็ชัดอยู่แล้วว่าไม่ถูกเปิดออก
“จดหมายจากจิวหยวนโจว…”
เสียงของจ้าวหนึ่งดังทะลวงใบหูจนทุกคนตัวสั่น
“เจิ่งหยวนข้าเชื่อใจฝากฝังหน้าที่ให้กับเจ้า นี่น่ะรึสิ่งที่เจ้าทำ? น่าผิดหวังยิ่งนัก”
ชายแก่เครายาวโค้งคำนับด้วยความกลัวสีหน้าเขาเปลี่ยนไปมาก
“โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะข้าไม่รู้ว่าจดหมายนี้สำคัญเพียงใด”
ชายแก่หวาดกลัวในใจเช่นเดียวกับจ้าวแห่งความมืดคนอื่นพวกเขามองจดหมายด้วยความตกใจและสับสน
“จิวหยวนโจวเป็นยอดฝีมือเทียบเท่าราชาแห่งความมืดตั้งแต่ช้านานจดหมายนี้จะต้องสำคัญอย่างยิ่ง เจ้ากล้าดียังไงถึงปล่อยเรื่องนี้เอาไว้?”
น้ำหนักในคำพูดของจ้าวหนึ่งดูรุนแรงขึ้น
ชายแก่หน้าซีดเมื่อเผชิญหน้ากับความไม่พอใจของจ้าวหนึ่งเขาเริ่มตัวสั่น…
คนที่เทียบเท่ากับราชาแห่งความมืดรึ?จิวหยวนโจว…เขาคือผู้ใดกัน?
“แม้ฐานพลังของจิวหยวนโจวจะอ่อนแอลงไปจนไม่ได้แข็งแกร่งอย่างในอดีตจดหมายนี้ก็มิอาจประวิงไว้ได้ จงไปหันหน้าชนกำแพงเสียสามปีแล้วสำนึกความผิดของเจ้าซะ…”
จ้าวหนึ่งพูดอย่างไร้อารมณ์
ชายแก่ทั้งตกตะลึงและหวาดกลัวแต่เขาก็รู้สึกว่าถูกตัดสินรุนแรงเกินไป เพราะเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรเลบ่าว่าจิวหยวนโจวคือผู้ใด?
ความประมาทนี้จะทำให้พวกเขาบ่มเพาะพลังไม่ได้ไปสามปีฐานพลังของพวกเขาจะต้องถูกจ้าวแห่งความมืดคนอื่นนำหน้าไปแน่นอน
“ท่านจ้าวหนึ่งแต่พวกข้าเพิ่งจะได้จดหมายนี้มาเอง…”
ชายแก่เครายาวเริ่มจะแก้ตัว
จ้าวหนึ่งไม่พูดอะไรอื่นและเริ่มมองจดหมายที่เปื้อนน้ำชาและรอยยับจากการถูกวางบนกระดานหมากรุกเมื่อครู่
“แล้วคนที่มาส่งจดหมายไปไหน?”
จ้าวแห่งความมืดละสายตาจากผู้เฒ่าเครายาวไปหาผู้เฒ่าขาวดำ
ปั้ง
ผู้เฒ่าขาวดำหน้าซีดราวกับกระดาษพวกเขารู้สึกราวกับจุดจบของโลกมาอยูตรงหน้า แผ่นหลังของพวกเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ท่านปู่ผู้เฒ่าขาวดำเลี่ยงไม่ให้คนส่งจดหมายเข้ามาที่นี่ เขาไม่มีแม้แต่โอกาสได้เจอกับเหล่าจ้าวแห่งงความมืดและถูกบังคับให้กลับไป”
จ้าวหอวารีสวรรค์เหลือบมองผู้เฒ่าขาวดำนางแอบดีใจที่ได้เห็นท่าทางตื่นตระหนกของทั้งคู่
ทั้งสองมักจะโอหังและไม่สนใจผู้ใดอยู่เสมอวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทั้งคู่จะต้องรับโทษกับความโง่เขลานั้น
เงาทมิฬของจ้าวหนึ่งสั่นสะเทือนขณะที่ถามเบาๆ
“จดหมายมาถึงนานเท่าใดแล้ว?”
“ครึ่งวันขอรับ”
ผู้เฒ่าทั้งสองพูดเสียงสั่งพร้อมกัน
ใบหน้าของเขาดูย่ำแย่ยิ่งกว่าคนตายพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจากจ้าวหนึ่ง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจดหมายฉบับเล็กๆจะสร้างปัญหาได้มากมายเช่นนี้!
“ถ้าเช่นนั้นถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวหอวารีสวรรค์ เจ้าก็คิดจะเก็บจดหมายนี้ไปตลอดกาลใช่หรือไม่?”
จ้าวหนึ่งถามด้วยเสียงที่แหบพร่ายิ่งกว่าเดิม
“ท่านจ้าวโปรดอภัยให้พวกข้า พวกข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอย…”
ผู้เฒ่าขาวดำโค้งคำนับและเริ่มอ้อนวอนขอความเมตตาหน้าผากของทั้งคู่กระแทกกับพื้นเสียงดัง พวกเขาหวาดกลัวจริงๆ
จ้าวหนึ่งถอนหายใจยาว
“เจ้าสองคนรับใช้ข้ามาหลายปีข้าถึงกับเชื่อใจให้เจ้าดูแลความปลอดภัยของตำหนักเจ็ดจ้าวเพราะเชื่อมั่นใจตัวพวกเจ้า แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้ามันโอหังโง่เขลา เจ้าทำความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ารู้กฎของข้าอยู่แล้ว พวกเจ้าไม่เหมาะสมที่จะเฝ้าประตูของตำหนักเจ็ดจ้าวอีกแล้ว จงไปซะ”