The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 677-678
DND.677 – สู้ผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยปัญญา
เมื่อสายฟ้าสาดลงมาโลกของผู้เฒ่าจิวดูราวกับเป็นทองคำ โลกทั้งใบถูกแสงสีทองนี้หลอมละลายและหายไปพร้อมกับเขา
เขายังคงล้มเหลวในการผ่านวิบัติอัสนีแต่ในตอนนั้นเอง มีแสงหลากสีปรากฏภายในโลกทองคำ มันเป็นแสงที่ส่องประกายจ้า มันเหนือกว่าแสงสีทองและบดขยี้สายฟ้าจนสิ้น
ไม่นานแสงสีทองก็หายไปแสงหลากสีเองก็หายไปด้วย โลกได้กลับมาชัดเจนดังเดิม
ชายแก่ตกตะลึงเขามองตามแสงหลากสีไปจนเห็นชุดเกราะ มือของคนผู้หนึ่งถือชุดเกราะเอาไว้ เขาจับชุดเกราะอยู่หน้าศีรษะของชายแก่ วิบัติอัสนีทองคำยังคงส่องประกายอยู่ในมือนั้น
“ซือหยูนี่เจ้าเองรึ!”
ชายแก่ร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“เป็นเจ้าที่ขวางวิบัติอัสนีงั้นรึ?”
คนที่ช่วยชีวิตเขาคือซือหยู!
“มีแค่ข้านี่แหละผู้เฒ่าจิว! ท่านออกมาคนเดียวเพราะไม่อยากให้คนในเมืองบาดเจ็บสินะ?”
ซือหยูเก็บเกราะสายฟ้าและหันมามองชายแก่ผู้ที่เป็นผู้เฒ่าจิวหรือมีชื่อว่าจิวหยวนโจว
“เจ้าก็มีสมุนไพรสายฟ้าเหมือนกันรึ?คุณภาพยอดเยี่ยมกว่าของข้ามากนัก”
ผู้เฒ่าจิวหรี่ตามอง
ถ้าเขาจะไม่ผิดสมุนไพรสายฟ้าที่เขาได้มานั้นได้มาจากเด็กหนุ่มลึกลับในกระโจมเทพสวรรค์ เขาจึงสงสัยว่าทำไมซือหยูจึงครอบครองสมุนไพรสายฟ้าที่แก่หลายปีเหมือนกัน!
พลังที่บริสุทธิ์ที่สุดไหลเข้าสู่ตัวผู้เฒ่าจิวผู้เฒ่าจิวต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ เขาต้องเพ่งสมาธิกับเพิ่มพลังครั้งนี้
ซือหยูเคยพูดว่าจะช่วยผู้เฒ่าจิวผ่านวิบัติอัสนีและเขาก็ทำตามสัญญาได้สำเร็จ ซือหยูตรวจดูเกราะสายฟ้าของตัวเองขณะที่ผู้เฒ่าจิวบ่มเพาะพลัง
สมุรไพรสายฟ้าแปดสิบปีมีพลังพิเศษที่จะดูดซับสายฟ้าได้และสมุนไพรสายฟ้าของเขาในตอนนี้ก็มีสีทองของวิบัติอัสนีอยู่ด้วย
ถ้าเขาสัมผัสมันเบาๆสายฟ้าสีทองจะแล่นออกมา สายฟ้านี้จะทำให้เขาเป็นเถ้าถ่านอย่างแน่นอน
“วิบัติอัสนีทองคำเป็นสายฟ้าที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนทวีปเฉินหลงมียอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่เต็มไปหมด ข้าจะต้องไม่ประมาท”
ซือหยูมีความสงสัยเมื่อได้เห็นฝ่ามือยักษ์ไร้ลักษณ์ที่สร้างวิบัติอัสนี
เขาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรในตอนที่เขาเลื่อนระดับเป็นผู้คุมสวรรค์ ในตอนนั้นวิบัติอัสนีที่เขาเจอก็ถูกบางคนทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น แต่โชคดีที่เขามีเกราะราชาศิลานิรันดร์ มันทำให้เขารอดมาได้
เมื่อเขาได้เห็นวิบัติอัสนีอีกครั้งเขาก็หยุดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่เข้ามาแทรกแทรงวิบัติอัสนีของเฉินหลงคนที่ทำจะต้องเป็นศัตรูของพวกเขาอย่างแน่นอน
และตอนนี้เขาได้เป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงแล้วอีกไม่นานเขาจะต้องเจอวิบัติอัสนีเช่นกัน เขามั่นใจว่ามั่นจะต้องไม่ง่าย
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครอย่าคิดว่าจะขวางทางข้าได้”
ซือหยูเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความแน่วแน่
เมื่อเขามองผู้เฒ่าจิวก็พบว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเขาจะตื่นเขาจึงใช้โอกาสนี้เข้าไปที่มุกวิญญาณเก้าหยก
“นายน้อย”
หวูอู๋ยี่บินมาต้อนรับเขาใบหน้าอันน่ารักของนางเปล่งประกายสดใส
ซือหยูเลิกคิ้วและมองดูนาง
“กึ่งภูติ…แก้วสามดวง?เจ้ากำลังจะเจอกับวิบัติอัสนีในไม่นานแล้ว”
หวูอู๋ยี่ดูดีใจตอนที่นางอยู่ในตำหนักเมฆาม่วง นางไม่เคยคิดว่าศิษย์นอกอย่างนางจะมีวันได้กลายเป็นภูติ
“นายน้อยทั้งหมดต้องขอบคุณท่าน”
หวูอู๋ยี่พูดแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
ซือหยูยิ้มและถาม
“ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าของนางดูยินดีเมื่อถูกถาม
“มันยาวสิบสามนิ้วแล้ว!ครั้งที่แล้วที่ท่านเห็นมันยาวแค่นิ้วเดียว แต่พอต้นมันเติบโต มันก็จะยาวเป็นสิบศอก! ข้าเชื่อว่ามันจะโตเร็ว พอถึงตอนนั้น ท่านจะได้ไผ่เทวะอันดับหนึ่งของจิวโจวมาครอง”
ว้าว!ซือหยูตื่นเต้นอย่างมาก
“อืมพอเจ้าปลูกพวกนี้แล้ว เราจะเก็บเกี่ยวมันในอีกไม่ถึงเดือน”
ซือหยูหยิบเอาขวดหยกที่มีเมล็ดสีขาวอัดแน่นอยู่ภายในมันสวยงามไม่ต่างจากเกล็ดหิมะ
หวูอู๋ยี่ตกใจเมื่อมองมันหลังจากที่จ้องมองมันอยู่นาน นางเบิกตากว้าง นางเอามือปิดปากด้วยความตกใจ
“พวกนี้คือเมล็ดม้าเมฆาในตำนานรึ?มันหายากมากแม้จะเป็นที่จิวโจว ของแบบนี้จะมีอยู่ในภูเขาภูติเท่านั้น”
นางถาม
“ท่านไปเอาเมล็ดมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน?”
ซือหยูยิ้ม
“ปลูกมันแล้วดูแลให้ดีตอนมันโต ข้าจะให้เจ้าหนึ่งต้น มันจะทำให้เจ้าได้กลายเป็นภูติ”
หวูอู๋ยี่เบิกบานใจยิ่งนักแม้ช่องว่างระหว่างภูติกับกึ่งภูติจะน้อย แต่มันก็ต้องใช้พลังมหาศาลในการก้าวข้าม
แต่ม้าเมฆาเป็นของวิเศษที่จะกำจัดสิ่งกีดขวางเหล่านั้นเรื่องที่ไม่คาดคิดทำให้นางดีใจเป็นอย่างมาก
เพียงเวลาไม่นานนางจะได้กลายเป็นภูติจากกึ่งภูติที่มีแก้วแค่ดวงเดียว นางเพิ่มพลังอย่างง่ายดายเพราะสิ่งที่ได้รับจากซือหยู สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิพิเศษที่ศิษย์ในของตำหนักเมฆาม่วงเท่านั้นที่จะได้รับ
ซือหยูยิ้มเบาๆและหยิบขวดหยกให้นางก่อนจะไปที่หน้ามุกบาดาลเขาใช้ทรายดาราทางช้างเผือกเพื่อลบโลหิตของจักรพรรดิโลกปีศาจออกไป เขาลบโลหิตของจักรพรรดิปีศาจออกมาได้หนึ่งในสามแล้ว เขาเริ่มที่จะควบคุมมันได้เล็กน้อย
เขารู้สึกว่ามุกที่เขามิอาจถือได้เริ่มเบาขึ้นและมันได้หลอมรวมกับลำดับห้าธาตุ มันคงจะง่ายกว่าที่เขาจะควบคุมในครั้งต่อไป
เขาตรวจดูมันจบและหันไปหาหวูอู๋ยี่เขาหยิบเม็ดมุกสีเงินออกมา
“เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”
หวูอู๋ยี่อ่านตำรามามากมายในตอนที่อยู่ตำหนักเมฆาม่วงดังนั้นนางจึงมีความรู้ในหลายๆเรื่องอย่างกว้างขวาง นางค่อนข้างตกใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่ซือหยูยื่นให้ดู
“มุกเงินเลี่ยงสายฟ้ารึ?ไม่สิ…มันดูเหมือนจะเป็นขั้นต้นมากกว่า…”
นางรู้จักมัน!
“เจ้ารู้วิธีทำให้มันใช้งานได้หรือไม่?”
ซือหยูถาม
หวูอู๋ยี่ส่ายหน้าแต่ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พยักหน้า
“มันมีอยู่ทางหนึ่งแต่ไม่มีใครเคยทำมันมาก่อน เหตุที่มันยังเป็นแค่ขั้นต้นก็เพราะมันขาดคุณสมบัติวิญญาณจากธรรมชาติ ถ้าท่านอยากจะให้มันพัฒนา ท่านต้องอัดคุณสมบัติวิญญาณลงไป ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือการหลอมมันเข้ากับเศษสมบัติภูติ มีทางเดียวเท่านั้น”
ซือหยูรู้สึกไม่ดีนักเพราะเขามีแค่ต้นแบบสมบัติภูติ เขาไม่รู้ว่าจะหาเศษสมบัติภูติมาจากที่ใด ดูเหมือนว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ คนธรรมดาจะต้องไม่ใช่เศษสมบัติภูติเพียงแค่อัดลงไปในมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าแน่
เขายิ้มอย่างขมขื่นดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีหวังในการได้เนตรเงินล้างอสูร เขาคงจะต้องใช้ชีวิตดั่งคนตาบอดไปตลอดกาล
“ขอบคุณเจ้ามากตอนนี้เจ้าดูแลสวนต่อไปก็พอ”
ซือหยูกลับไปยังโลกภายนอก
เมื่อกลับไปซือหยูพบว่าผู้เฒ่าจิวยังไม่ลืมตา ซือหยูบ่มเพาะพลังข้างๆเขาและมองดูเขาด้วย
ผ่านไปนานซือหยูลืมตาขึ้นและมีแสงจ้าส่องออกมา พลังวิญญาณไร้ลักษณ์ทำให้เกิดคลื่นพลังมากมายลอยอยู่กลางอากาศ มันกระจายไปยังพื้นที่รอบๆ เหล่าสิงสาราสัตว์ที่สัมผัสพลังได้ตัวสั่นด้วยความกลัว
“ขั้นคุมวิญญาณของโอรสสวรรค์จ้องนภามันแข็งแกร่งจริงๆ”
ดวงตาซือหยูเต็มไปด้วยความพอใจ
โอรสสวรรค์ต้องนภาขั้นแรกคือการเปลี่ยนแปลงวิญญาณมันจะเพิ่มพลังวิญญาณขึ้นมาให้เหนือกว่าคนทั่วไป ขั้นที่สองคือการควบคุมวิญญาณ มันจะทำให้เขาควบคุมวิญญาณของคนอื่นได้
แต่เงื่อนไขแรกคือเป้าหมายจะต้องไม่ขัดขืนวิชานี้ยังทำให้เขาควบคุมศัตรูที่มีพลังเหนือกว่าเขาหนึ่งขอบเขต!
หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าซือหยูได้เป็นภูติ เขาจะควบคุมจ้าวเทวะได้ ความจริงข้อนี้น่าตกตะลึงและอัศจรรย์อย่างมาก!
วิชานี้ดุร้ายและยอดเยี่ยมแต่ซือหยูยังไม่พบเจอศัตรูที่เหมาะสม เขาจึงไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง
ซือหยูบ่มเพาะพลังต่อไปครู่หนึ่งเมื่อลำแสงพลังชีวิตที่ตกมาจากฟ้าลดน้อยลง ตอนนั้นฐานพลังของผู้เฒ่าจิวก็เริ่มมั่นคงแล้ว อีกไม่นานเขาจะเลื่อนระดับพลังไปอีกขั้น
ซือหยูสงสัยว่าฐานพลังปัจจุบันของผู้เฒ่าจิวคือขั้นใดแต่เขาก็ต้องเลิกคิ้วขณะที่คิดและมองไปยังทิศทางหนึ่งไกลออกไปเกือบลี้
“ออกมานะ!”
เขาตะโกน
ตอนนั้นชายหนุ่มมือไพล่หลังยิมเบาๆและเดินออกมาจากต้นไม้ใหญ่
“เจ้าคือเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์รึ?เจ้าดูอ่อนแอเกินไปจริงๆ ถ้าอย่างนั้น…”
เขายิ้มเบาๆ
ซือหยูเบิกตากว้างเขาสัมผัสได้ถึงชายคนนี้ขณะที่เขามาใกล้เพียงลี้เดียว เป็นไปได้ว่าเขาจะมีพลังในการซ่อนตัวที่ดี บอกได้เลยว่าพลังของเขาเหนือกว่าคนทั่วไป
“เด็กหนุ่มเป็นภูติที่แข็งแกร่ง…เจ้าคือหกศักดิ์สิทธิ์…ที่คอยมองดูทวีปเหนืออยู่สินะ?”
คนตรงหน้าเขาคือหกศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นภูติระดับสี่หกศักดิ์สิทธิ์ตกใจที่ซือหยูเดาออก
“ก็ดีที่เจ้าจิตใจมั่นคงเจ้าเก็บอารมณ์ได้ดี เจ้าคงผ่านการต่อสู้มามาก แต่เจ้าอ่อนแอกว่าที่ข่าวลือว่าไว้หลายเท่าตัวนัก ดูเหมือนเจ้าจะโชคดีสินะที่เอาชนะเซี่ยหวู่มาได้”
ซือหยูยังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้
“โชคงั้นรึ?บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดเรื่องอดีตของข้าสินะ…”
หกศักดิ์สิทธิ์ยิ้มเบาๆ
“ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะประลองกับเจ้าแต่น่าเสียดายที่ข่าวลือเรื่องเจ้ามันผิดเพี้ยน ข้าไม่คิดจะประลองแล้วล่ะ”
รอยยิ้มเบาๆของหกศักดิ์สิทธิ์ดูชั่วร้ายแปลกๆ
“แต่ข้าได้เห็นเรื่องน่าสนใจจู่ๆก็มีคนกลายเป็นภูติระดับสี่ โชดดีที่ข้ามาทันเวลา”
ภูติระดับสี่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อทัพต่างโลกและถ้าเขามาเจอคนที่กำลังจะเป็นระดับสี่ เขาก็ต้องไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่!
หกศักดิ์สิทธิ์ก้าวไปข้างหน้าเหนือไว้แต่เงาที่ติดตาซือหยู ยากที่จะเห็นร่างจริงของเขา
“ภูติระดับสี่ปรากฏตัวในมดปลวกบ้านนอกอย่างพวกเจ้ารึ?มันน่าตกใจ แต่ก็น่าเสียดายที่มันเป็นแค่มดปลวกสำหรับข้า”
หกศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจอย่างเยือกเย็นเขาปรากฏตัวต่อหน้าผู้เฒ่าจิวและปัดมือไปทางหน้าผากของเขา
เขาตั้งใจจะสังหารผู้เฒ่าจิวในคราเดียว!
ปั้ง!
ไม้วิญญาณสีน้ำเงินปรากฏรอบตัวผู้เฒ่าจิวดูเหมือนมันจะทำนายทิศทางของการโจมตีได้ มันปรากฏขวางฝ่ามือของหกศักดิ์สิทธิ์!
ปั้ง!ปั้ง!
หกศักดิ์สิทธิ์ถอนหลังไปหลายก้าวด้วยความสับสน
“สมบัติวิญญาณระดับกลางรึ?พวกบ้านนอกอย่างเจ้ามีสมบัติแบบนี้ได้ยังไง? น่าตกใจจริงๆ”
“ยังมีเรื่องที่เจ้าต้องตกใจอีกนะ”
เสียงอันเยือกเย็นดังมาจากด้านหลังแหสายฟ้าที่ทำจากวิบัติอัสนีเข้าล้อมตัวหกศักดิ์สิทธิ์
เขาตกใจอีกครั้ง
“สมบัติของวู่เหิงตกมาอยู่ในมือเจ้า!”
เขาปล่อยพลังชีวิตออกมาระเบิดแหสายฟ้า
“แหสายฟ้าแบบนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
สายตาของเขาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
“ถ้าอยากตายนักข้าก็จะช่วยเจ้าเอง”
หกศักดิ์สิทธิ์เป็นภูติระดับสี่เช่นกันแต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัววิบัติอัสนีนัก ดูจากเรื่องนี้ก็คงจะบอกได้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูยิ้มอย่างมีเลศนัย
หืม?หกศักดิ์สิทธิ์รู้สึกไม่ดี เขารีบถอย แต่เมื่อเขาขยับตัวก็มีกระบี่ทองสองเล่มที่ซ่อนไว้อย่างดีในแหสายฟ้าได้ปรากฏมาตรงหน้า
“สมบัติวิญญาณสองชิ้นรึ?”
หกศักดิ์สิทธิ์ตกใจอีกครั้งแต่เขาก็หลบมันได้แบบเฉียดฉิว
เขาบิดตัวหลบกระบี่ทั้งสองความรู้สึกอันตรายที่ได้รับทำให้เขาเริ่มหนักใจ
ในตอนนั้นเองเขาเริ่มที่จะมองซือหยูอย่างจริงจัง
“ไม่แปลกใจที่เซี่ยหวู่ตายเพราะเจ้า!เจ้ามีความสามารถจริง แต่มันจะจบตรงนี้แหล…”
แต่เขารู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆก่อนจะพูดจบ
“เจ้ายังซ่อนอะไรเอาไว้อีก?”
หกศักดิ์สิทธิ์เริ่มหนี
ฉั่วะ!
ความร้อนและความเจ็บปวดส่งผ่านมายังแขนโลหิตของเขากระจายออก กระบี่ทองอีกเล่มปรากฏที่ด้านหลังของเขาและแทงไปที่หัวใจ!
แต่เป็นเพราะเขารู้ตัวได้เร็วและบิดตัวไม่ให้กระบี่ถูกจุดตายเขาต้องใช้แขนป้องกันมันเอาไว้ มันเฉือนชิ้นเนื้อที่แขนของเขาไปชิ้นใหญ่
“ไอ้เด็กโสโครกข้าจะฆ่าเจ้า”
หกศักดิ์สิทธิ์หงุดหงิดอย่างมากเด็กตรงหน้าเขานั้นเหลี่ยมจัดและเจ้าเล่ห์! แม้จะมีฐานพลังที่อ่อนแอ เขาก็ใช้สมบัติวิเศษสร้างความได้เปรียบขึ้นมา
ซือหยูยิ้มเบาๆ
“เจ้าจะฆ่าข้าไม่ใช่รึ?แต่เจ้าห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่านะ”
เขาโบกมือเรียกกระบี่ที่ได้ลิ้มรสโลหิตของหกศักดิ์สิทธิ์กลับมา
“อ๊ากก!”
หกศักดิ์สิทธิ์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเขารู้สึกว่าร่างของเขากำลังจะระเบิด
“กระบี่เจ้ามีพิษ”
หกศักดิ์สิทธิ์ตกใจอย่างมาก
ความเข้มขนของพิษนั้นน่ากลัวมันขัดขวางการไหลเวียนของพลังชีวิตและกระจายไปทั่วร่างของเขาอย่างรวดเร็ว เนื้อหนังของเขาถูกทำลาย และถ้าพิษแล่นถึงหัวใจ เขาจะตายอย่างแน่นอน!
ฟึ่บ!
หกศักดิ์สิทธิ์บินหนีเขารู้ตัวว่าจะต้องหาที่ปลอดภัยเพื่อกำจัดพิษ มิเช่นนั้นเขาจะตกอยู่ในอันตราย
ซือหยูเพียงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ไล่ตามเขาไป
“เจ้าไม่ไล่ตามไปหรอกรึ?”
แม้ผู้เฒ่าจิวจะกำลังเพิ่มพลังเขาก็รู้สถานการณ์รอบๆ เขาส่งโทรจิตให้ซือหยู
ซือหยูมองไปยังหกศักดิ์สิทธิ์และยิ้มอย่างชั่วร้ายที่มุมปาก
“ก็เพราะข้าอยากจะเตรียมของขวัญดีๆให้ห้าศักดิ์สิทธิ์ยังไงล่ะ…”
DND.678 – วิชาระดับภูติ
ผู้เฒ่าจิวลืมตาช้าๆหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเขายิ้มด้วยความยินดี
“ข้าได้พลังคืนมาอีกขั้นแล้ว!”
ซือหยูคิดในใจถึงความหมายของผู้เฒ่าจิว…
เขาเคยมีฐานพลังที่สูงมากงั้นรึ?เขากำลังค่อยๆได้รับพลังคืนมาสินะ?
ความจริงซือหยูไม่รู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของผู้เฒ่าจิวเท่าใดนักแต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีโอกาสได้รู้เรื่องราวบ้างแล้ว
“เจ้าหนูข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า”
ผู้เฒ่าจิวมองซือหยูอย่างตั้งใจดูเหมือนเขากำลังจะตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่าง
ซือหยูส่ายหน้าเบาๆ
“ท่านเคยช่วยข้าเมื่อครั้งอดีตข้าแค่ตอบแทนเพียงเท่านั้น คิดเสียว่าเป็นการล้างหนี้บุญคุณต่อกันเถอะ”
“หึหึ…”
ผู้เฒ่าจิวหัวเราะเขายืนขึ้นมองท้องนภา
“ข้าจะไปสืบดูตัวตนของคนผู้หนึ่งอีกหนึ่งเดือนข้าจะกลับมา ตอนนี้ขอฝากเจ้าช่วยดูแลต้าเหล่ยแทนข้าด้วย”
ซือหยูเลิกคิ้วเขาสงสัยว่าคนที่ผู้เฒ่าจิวอยากจะรู้นั้นคือใคร แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
“ย่อมได้ถนอมตัวด้วย…”
ซือหยูตอบ
ผู้เฒ่าจิวหันมามองซือหยูเขาราวกับจะยืนยันอะไรบางอย่างจากซือหยู ไม่นานเขาก็ถอนหายใจ
“ดูเหมือนจะมีคนสำคัญมากมายนักที่กำลังมองดูเจ้า…”
เอ๋?ซือหยูสับสนมากกับประโยคแปลกๆของผู้เฒ่าจิว
พรึ่บ
ผู้เฒ่าจิวหยิบเอาม้วนกระดาษเก่าๆหากมองใกล้ๆซือหยูก็พบว่ามันคือปฏิญาณสัตย์ดวงใจ
ก่อนที่ซือหยูจะไปกระโจมเทพสวรรค์ผู้เฒ่าจิวได้ให้กระบี่สายฟ้ากับเขา ซือหยูต้องสัญญาว่าจะช่วยกังต้าเหล่ยหาสมุนไพรสายฟ้าเป็นการตอบแทน
นี่จึงเป็นเหตุให้ซือหยูต้องสาบานผ่านปฏิญาณสัตย์ดวงใจและตอนนี้เขาทำตามสัญญาแล้ว ผู้เฒ่าจิวจึงคืนมันให้กับซือหยู
“มันเป็นของเจ้าแล้วข้าจะไปล่ะ”
ผู้เฒ่าจิวทิ้งปฏิญาณสัตย์ดวงใจเอาไว้และกระโดดขึ้นฟ้า
ซือหยูถือคัมภีร์ในมือพลางคิดในใจ…
ดูเหมือนผู้เฒ่าจิวพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง
ซือหยูตาเป็นประกายเขาเปิดปฏิญาณสัตย์ดวงใจขึ้นมาดู น่าตกใจที่นอกจากคำสาบานแล้วยังมีข้อความอยู่หลายบรรทัดที่เขียนติดๆกัน
มันมีข้อความมากกว่าพันคำเสียอีก!ซือหยูเหลือบมองและจดจำทุกคำเอาไว้
“ฝ่ามือนิรนาม?”
เขารู้สึกแปลกๆมันคือวิชาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฝ่ามือ
ในด้านวิชาฝ่ามือซือหยูเคยใช้เพียงครั้งที่อยู่สำนักเซี่ยนหยู เขาเคยเรียนฟื้นฐานของวิชาเหล่านั้น
แต่นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่เคยบ่มเพาะวิชาฝ่ามืออีกเลยเขาแปลกใจมากที่ผู้เฒ่าจิวทิ้งวิชาฝ่ามือให้กับเขา ซือหยูอ่านมันอย่างละเอียดและก็ต้องตกใจ
“ม้วนคัมภีร์วิชาระดับภูติรึ?”
ซือหยูตะโกนด้วยความตกใจ
ซือหยูรู้ว่ายากที่ได้วิชาระดับภูติแม้ว่าตอนที่อยู่กระโจมเทพสวรรค์และได้เจอกับยอดฝีมือจากจิวโจวมากมาย เขาก็ไม่พบใครเลยที่ใช้วิชาระดับภูติ แค่วิชาระดับตำนานก็เป็นวิชาหายากอยู่แล้ว!
วิชาระดับภูติที่ซือหยูเคยเห็นก็คือภาพเขียนทัณฑ์ภูติมันมีพลังที่น่าตกตะลึง เพลิงที่หลงเหลือเผาได้แม้กระทั่งจ้าวเทวะ!
วิชาที่ผู้เฒ่าจิวทิ้งเอาไว้ช่างน่ากลัวและน่าตกใจ!ซือหยูใจเต้นแรง ผู้เฒ่าจิวผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ!
ซือหยูใจเย็นลงหลังจากผ่านไปไม่นานเขาเริ่มที่จะตรวจสอบวิชา คัมภีร์มิได้มีนาม ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจิวจะลบชื่อของวิชาฝ่ามือนี้ไป
วิชาระดับภูตินั้นแตกต่างจากวิชาอื่นที่ซือหยูเคยสัมผัสมาก่อนวิชาระดับตำนานจะแบ่งเป็นหลายระดับ นั่นคือขอบเขตแรกเริ่ม ขอบเขตต้น ขอบเขตกลาง และขอบเขตสูงสุด แต่วิชาระดับภูตินั้นมีการจำแนกที่เหนือกว่านั้น
“ฝ่ามือนิรนาม…ระดับแรกจะแยกเป็นฝ่ามือหยินฝ่ามือตะวัน ฝ่ามือเทพเจ้า…”
แต่ละระดับจะแบ่งเป็นสามกระบวนท่ามันแตกต่างกับวิชาบ่มเพาะแบบอื่นมาก
“รายละเอียดพวกนี้แต่ละกระบวนท่าจะต้องบ่มเพาะยากมาก!”
ซือหยูตาลุกวาวเขาตื่นเต้นอย่างมาก!
นี่เป็นครั้งแนรกที่เขาจะได้เรียนรู้วิชาระดับภูติจริงๆแม้ว่าเขาจะมีภาพเขียนทัณฑ์ภูติ เขาก็ใช้มันในฐานะอาวุธแทนที่จะเป็นวิชาบ่มเพาะเพราะเขามิอาจเข้าใจมันได้
และเมื่อเขามีวิชาฝ่ามือตรงหน้ามันทำให้เขาตื่นเต้นอย่างมาก ถ้าเขาบ่มเพาะได้ในเดือนเดียว ศัตรูจะต้องแปลกใจแน่นอนในสงครามครั้งหน้า!
ซือหยูเก็บปฏิญาณสัตย์ดวงใจและความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้เขามองไปยังทิศทางหนึ่งและยิ้ม
“คงจะได้เวลาแล้ว…”
ที่หลายพันลี้ไกลออกไปหมอกขาวค่อยๆกระจายไปทั่วหุบเขา หมอกขาวนี้สังหารทุกสิ่งในเส้นทาง
ใต้ต้นไม้ใหญ่ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่กับพื้น ใบหน้าของเขามีสีม่วง เขาเหนื่อยอ่อนจากการปล่อยพลังชีวิต
“จากที่ข้าคิดถึงภูติระดับสี่จะสะกดพิษของม้าเมฆาได้ แต่สภาพมันก็ย่ำแย่อยู่ดี ตอนนี้มันสลบไปแล้ว มันก็ง่ายกับข้า”
ซือหยูร่อนเหนือต้นไม้และยิ้ม
เขายืนหน้าหกศักดิ์สิทธิ์เขาขยับมือไปมา มีพลังวิญญาณปะทุออกจากร่าง เกิดร่างเงาหนึ่งที่ด้านหลังของซือหยู
มันสูงเท่าภูเขา!แต่มันมองเห็นได้ยากมากและไม่ได้เห็นรายละเอียดบนใบหน้า
สิ่งเดียวที่เห็นได้ชัดก็คือดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ และเหล่าดวงดาราที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของมัน แสงอันตระการตาปกคลุมทั้งร่างเอาไว้ หากมองไกลๆจะดูเหมือนกับบุตรแห่งจักรวาลยืนอยู่ด้านหลังซือหยู!
ซือหยูยิ้มอย่างประหลาดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นสิ่งแปลกๆที่ด้านหลังไม่นานเขาก็ขยับมืออีกครั้ง
ในตอนนั้นร่างใหญ่เปล่งแสงที่อัดแน่นไปด้วยพลังวิญยาณจากตาขวา แสงพุ่งลงไปยังหน้าผากของหกศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาไม่รู้ตัวเพราะหมดสติอยู่
“หวังว่าเจ้าจะทำให้ข้าตกใจได้นะ…”
ซือหยูพูดและหัวเราะเบาๆจากนั้นจึงบินออกไป
ผ่านไปหลายชั่วยามหกศักดิ์สิทธิ์ได้สติกลับมา ใบหน้าสีม่วงของเขาจางลง พิษมากกว่าครึ่งถูกขับออกไปแล้ว
“พิษม้าเมฆาไอ้เด็กบ้า กล้าดียังไงทำแบบนี้กับข้า! เจ้าจะต้องทุกข์ทรมาน!”
หกศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นช้าๆด้วยความโกรธสุดขีด
เขาเกือบตายเพราะกึ่งภูติทั้งๆที่เป็นภูติระดับสี่มันเป็นความอับอายครั้งใหญ่หลวง!
…
ซือหยูกลับมาที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์เมื่อเขามาถึง เขาได้ประกาศว่าจะปิดประตูฝึกตนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ข้างหน้า
การตัดสินใจนี้ไม่ได้ทำให้ใครแปลกใจเพราะการต่อสู้จะมาถึงในอีกไม่นาน หลายคนก็ตัดสินใจที่จะปิดประตูฝึกตนเช่นกัน
โดยเฉพาะเหล่าคนที่ได้ทรัพยากรส่วนมากพวกเขากำลังพยายามทะลวงพลังขั้นต่อไป
ทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อยู่ในความเงียบในช่วงการบ่มเพาะพลังที่เข้มข้นแต่ความเงียบนี้ก็ทำให้อึดอัดใจ
ทุกคนรู้ว่านี่คือความสงบก่อนที่วายุกระหน่ำจะถาโถมเข้ามาพวกเขารู้สึกถึงความกดดันไร้รูปร่างในหัวใจ บางคนที่รับแรงกดดันนี้ไม่ไหวถึงกับหนีออกจากเมืองพร้อมกับครอบครัว
“ผู้เฒ่าเฉินเราจะไม่หยุดพวกเขารึ?”
ลั่วซวงถาม
เขาเป็นหัวหน้าหน่วยกวาดล้างหน่วยกวาดล้างคือแนวป้องกันสุดท้าย พวกเขาต้องบ่มเพาะพลังและต้องสอดส่องดูแลสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองด้วย
ผู้เฒ่าเฉินส่ายหน้าขณะยืนบนกำแพงเมือง
“ไม่ต้องหรอกพวกเราเองยังปกป้องตัวเองไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงคนพวกนั้นหรอก”
ลั่วซวงเงียบไปครู่หนึ่งเขาลังเลก่อนจะพูด
“อีกหนึ่งเรื่องผู้เฒ่าเฉิน เราจับคนแปรพักต์ได้สามคนจากพันธมิตร”
เขามีความรู้สึกหลายอย่างกับเรื่องนี้ผู้แปรพักต์ทั้งสามเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา พวกเขาร่วมมือกันคว้าชัยแรกของทวีปเฉินหลง และสามคนนี้มิอาจรับแรงกดดันไหว พวกเขาจึงหนีไปก่อนที่ทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์จะมาถึง
ครึ่งเดือนได้ผ่านไปแล้วหลังจากการต่อสู้ครั้งก่อนจิตวิญญาณลุกโชนของพวกเขาเริ่มดับมอด ความกล้าหาญที่ลดน้อยถอยลงทำให้พวกเขาเริ่มเผยธาตุแท้ออกมา
ผู้เฒ่าเฉินตัวสั่นเบาๆเขาค่อยๆหลับตาและหยิบเอาบันทึกมาจากแขนเสื้อ
“เจ้าพันธมิตรซือฝากทิ้งนี้ไว้ให้ข้าก่อนจะปิดประตูฝึกตน…”
เมื่อลั่วซวงเปิดอ่านเขาเห็นข้อความที่ทำให้อ้าปากค้าง…
คนที่หนีศึกต้องถูกสังหารโดยไร้ข้อยกเว้นหัวที่ถูกบั่นต้องถูกเสียบประจาร!
ลั่วซวงตัวสั่น
“แต่พวกนั้นทุ่มเทอย่างมากในครั้งก่อน…”
ผู้เฒ่าเฉินมองเขาด้วยความแน่วแน่
“เราก็ต้องลงโทษเช่นนี้เราจะทำให้จิตใจของคนพวกเราอ่อนแอลงไม่ได้เด็ดขาด มันจะทำให้กองทัพอ่อนแอ ถ้าเราปล่อยให้สามคนนั้นหนีไป สุดท้ายคนอื่นก็จะหนีไปอีก ถ้าหนีกันไปหมด เราก็จะแพ้แน่นอน!”
เขาส่ายหน้า
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นสิ่งที่เราเคยสละจะสูญเปล่า! เราจะให้ใครหนีไปไม่ได้! เจ้าพันธมิตรซือเห็นสิ่งนี้ล่วงหน้า นั่นเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจมาก่อน”
ลั่วซวงไม่คิดจะทำแต่เขารู้ว่าไม่มีเหตุให้เขาต้องลังเลอีกแล้ว
“เข้าใจแล้วข้าจะลงมือเดี๋ยวนี้”
ลั่วซวงพยักหน้าและบินออกไปพร้อมกับกระบี่นมือ
วันเดียวกันนั้นหัวคนสามคนได้ถูกเสียบประจารอยู่กับกำแพงเมืองเพื่อเป็นการเตือนคนอื่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนีทหาร จากนั้นเป็นต้นมา แม้จะมีบางคนที่พยายามหนีอย่างเปล่าประโยชน์ แต่พวกเขาก็ลดน้อยลงมาก
เมื่อสงครามใกล้เข้ามาแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ผู้คนเป็นทุกข์ เมื่อครึ่งเดือนผ่านไป มีผู้เฒ่าอีกสองคนที่พยายามหนี!
จนถึงตอนนี้มีผู้เฒ่าเหลืออยู่เพียงห้าคนรวมผู้เฒ่าเฉินแต่ก็มีสองคนที่เลือกจะหนีไปด้วยกัน!
มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เพราะถ้าผู้เฒ่ายังหวาดกลัว แล้วคนธรรมดาในพันธมิตรจะรู้สึกอย่างไร?
“ผู้เฒ่าเฉินข้าประหารพวกเขาไปแล้ว…”
ลั่วซวงพูดเขาดูบาดเจ็บหนักระหว่างที่ประหารคนหนี การสังหารผู้เฒ่าสองคนไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาและหน่วยกวาดล้างคนที่เหลือ
ผู้เฒ่าเฉินหลับตาเงียบๆหากมองดูใกล้ๆจะพบว่าเขาปากสั่นระริก ผู้เฒ่าทั้งสองเป็นมิตรสหายที่ดีของเขา พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมาเป็นร้อยปี
พวกเขาไม่คิดหนีด้วยซ้ำตอนที่เรือรบจะถูกทำลายพวกเขายังต่อสู้อย่างกล้าหาญกับเซี่ยหวู่ในการต่อสู้คราวก่อน
แต่สุดท้ายพวกเขาก็เลือกที่จะหนี ส่วนผู้เฒ่าเฉิน…เป็นคนออกคำสั่งประหาร ด้วยเหตุนี้ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จึงหลั่งเลือดตั้งแต่ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น
“เสียบหัวประจารซะ…”
ผู้เฒ่าเฉินพูดเสียงสั่นน้ำเสียงของเขามีทั้งความเจ็บปวดและความแน่วแน่
เวลาสงครามกระชั้นเข้ามายิ่งขึ้นจากนั้น สิบวันก็ได้ผ่านไปในพริบตา
ลั่วซวงเหนื่อยอ่อนมีโลหิตแห้งกรังบนเสื้อผ้าของเขา
นั่นมิใช่เพราะเขาไม่ล้างมันออกแต่เป็นเพราะมีคนมากเกินไปที่เขาต้องสังหาร ไม่ว่าเขาจะซักล้างชุดอย่างไร มันก็มักจะมีคราบโลหิตใหม่ตามมา
“มีอีกสิบคนที่คิดหนีข้าสังหารเขาหมดแล้ว…”
ลั่วซวงพูดด้วยเสียงแหบพร่า
เมื่อสงครามใกล้มาถึงคนจำนวนมากเริ่มแตกตื่น โชคไม่ดีที่ความแตกตื่นนี้เพิ่มมากขึ้นเมื่อวันเวลาผ่านไป
“ข้าต้องเจอเจ้าพันธมิตรซือ”
ในเวลาสำคัญผู้เฒ่าเฉินกับลั่วซวงมิอาจควบคุมสถานการณ์ได้อีกแล้ว
พวกเขามาถึงหน้าห้องของซือหยูในไม่นานซือหยูอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยเสียงแหบเบา
“เจ้าพันธมิตรซือข้ามีเรื่องต้องรายงานท่าน”
เอี๊ยด
ประตูบานใหญ่เปิดตามคำขอ
แต่คนที่เปิดประตูกลับมิใช่ซือหยูแต่เป็นสาวสวยผิวเงาวับที่มีใบหน้างดงาม ดวงตาเงางามของนางดูเยือกยเ็น
“เจ้าทำตามคำสั่งไม่ได้อีกแล้วสินะ?”
หญิงสาวผู้เย็นชาถามน้ำเสียงของนางเยือกเย็นดั่งใบหน้าของนาง