The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 687-688
DND.687 – ยึดดินแดนกลับคืน
“ทัพทมิฬของข้าผ่านสงครามมาไม่รู้กี่ครั้งแม้แต่จ้าวเทวะก็ตายด้วยมือพวกเรา ความสูญเสียไม่เคยมากไปกว่าร้อยคน แต่ทัพข้าเกือบตายหมดเพราะใต้เท้า ท่านจะแสดงตัวออกมาได้หรือไม่ ข้าอยากจะรู้ว่าข้ากำลังต่อสู้อยู่กับบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนใด”
ฮงหยูจ้องมองเมฆา
แม้ว่าเสียงของเขาจะดังก้องไปถึงชั้นฟ้าเขาก็แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่คิดจะแสดงตัวออกมาเลย
“ทัพทมิฬดีอย่างที่เจ้าพูดเชียวรึ?ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
เสียงไม่แยแสดังมาจากเบื้องบน
“ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องเจอข้าเจ้าไม่ใช่คู่มือของข้าหรอก ให้ห้าศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่สิ”
ฮงหยูถอยหลังไปหลายก้าวเมือ่ได้ฟังคำพูดของซือหยูทำให้ฮงหยูโกรธจัด แม่ทัพฝ่ายศัตรูไม่มองเขาว่าคู่ควรด้วยซ้ำ!
“ทหารอาจฆ่าได้แต่หยามไม่ได้! ทัพทมิฬของข้…”
จิตสังหารของฮงหยูเข้มข้นขึ้นเมาฃ
“ยิง!”
เสียงคำสั่งไม่แยแสดังมาจากท้องฟ้า
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
พลธนูยิงธนูออกไปอย่างแม่นยำแต่ละดอกมีพิษของม้าเมฆาเคลือบเอาไว้ ฮงหยูไม่พอใจอย่างมากแต่ก็สิ้นหวังกับพิษม้าเมฆา เขาได้แต่กัดฟันแน่นและตะโกนเสียงดัง
“ถอย!”
คนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์มิอาจไล่ล่าเหล่าภูติได้เพราะความเร็วที่แตกต่างกันพริบตาเดียวพวกเขาก็หายไปเหลือแต่เพียงซากศพของคนที่เอาชีวิตไม่รอด พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จ้องมองทัพทมิฬที่หนีไปด้วยแววตาว่างเปล่าจนได้สติกลับมา
“เราชนะแล้ว…”
ผู้เฒ่าเฉินพูดเบาๆ
เขาเคยคิดว่านี่จะเป็นการนองเลือดอยู่ฝ่ายเดียวที่โศกเศร้าแต่พวกเขาเสียคนไปแค่พันคนเพื่อกำชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้
พวกเขาสังหารทัพทมิฬที่มีพลังอันน่าเกรงขามไปแปดร้อยคนผู้เฒ่าเฉินแทบจะไม่เชื่อว่าพวกเขาได้สังหารไปเกือบทั้งกองทัพ!
การคว้าชัยในครั้งนี้ทำให้พวกเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากและเมื่อพวกเขาชนะศึกใหญ่ นั่นก็หมายความว่าภัยพิบัติของทวีปได้จบลงอย่างเป็นทางการ!
คนมากมายยังไม่คิดว่าพวกเขาชนะแล้วมันยากที่พวกเขาจะเชื่อ แต่ไม่นานก็มีเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังออกมาไม่หยุด เสียงเหล่านั้นก้องนภาไปหลายหมื่นลี้
“เจ้าพันธมิตรซือจงเจริญ!”
ไม่รู้ว่ามีใครที่ตะโกนขึ้นมาแต่ทุกคนกลับเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเขา
เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีเจ้าพันธมิตรคนใดเป็นที่เคารพนับถือมากเช่นนี้ ความภักดีเช่นนี้จะเกิดจากประชาชนกับราชาเท่านั้น พันธมิตรผู้คุมสวรรค์เป็นเพียงสำนักหนึ่ง การเรียกเจ้าพันธมิตรเช่นนี้เป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่แม้กระนั้น หลังจากเงียบไปบ้าง เสียงตะโกนแบบเดียวกันก็ดังก้องฟ้า…
“เจ้าพันธมิตรซือจงเจริญ!”
“เจ้าพันธมิตรซือจงเจริญ!”
เสียงตะโกนดังจนไปถึงสวรรค์แม้แต่คนหูตึงก็ยังได้ยินพวกเขา เหล่าผู้เฒ่าต่างประทับใจกับสิ่งที่ได้เห็น ไม่มีเจ้าพันธมิตรคนใดที่ได้รับความสนับสนุนจากผู้คนมากเท่านี้
พวกเขาเริ่มเป็นห่วงว่าจะปฏิบัติต่อหลงจื้อชิงอย่างไรเมื่อเขาได้สติกลับมาเพราะคนในพันธมิตรตอนนี้อาจจะต้องการซือหยูให้เป็นเจ้าพันธมิตรแต่เพียงเท่านั้น
ขณะนั้นซือหยูที่อยู่บนฟ้าค่อยๆเก็บวงแหวนรวมพลัง ใบหน้าของเขาไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย เขากลับขมวดคิ้วแน่น
เพราะทัพทมิฬมิใช่กองทัพที่เขาต้องการจะต่อสู้ด้วยศัตรูที่แท้จริงของเขาหาใช่ใครอื่นนอกจากห้าศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่ปรากฏตัว ห้าศักดิ์สิทธิ์คือผู้นำสูงสุดของกองทัพ ตราบเท่าที่เขายังไม่ตาย ทวีปแห่งนี้จะไม่มีวันพบเจอสันติสุข
เหล่าผู้คนตะโกนสรรเสริญซือหยูไปนานจนผู้เฒ่าเฉินต้องปรามเพื่อให้พวกเขาเงียบลงและเก็บกวาดสมรภูมิชุดเกราะของศัตรูนั้นเป็นสมบัติเทพขั้นสูง และแต่ละคนยังมีสมบัติวิเศษที่แตกต่างกัน
บางคนที่เก็บกวาดสมรภูมิยังเจอแม้กระทั่งสมบัติกึ่งวิญญาณ!และพวกเขายังเจอขวดโอสถสองขวดต่อศัตรูหนึ่งคน หนึ่งขวดมีโอสถสีดำ ส่วนอีกขวดมีโอสถสีแดง แต่ละขวดมีโอกาสอยู่มากมาย
พวกเขาเห็นผลอันน่าตกใจของโอสถมาแล้วโอสถสีดำจะทำให้กลายเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงได้ในพริบตา ส่วนอีกขวดจะทำให้กลายเป็นภูติ
ดังนั้นโอสถเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก ผู้เฒ่าเฉินสั่งให้พวกเขาส่งโอสถทั้งหมดมารวบกัน พวกเขายังได้เชลยหลายคนที่รอดมาได้
“ทุกคนเตรียมต่อสู้”
เมื่อขุนพลสั่งเหล่าพันธมิตรเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ครั้งต่อไป
แต่หลังจากสามวันผ่านไปพวกเขาไม่เห็นว่ามีศัตรูที่กำลังจะมาเลย ซือหยูที่รอมาสามวันก็ไม่เห็นวี่แววของห้าศักดิ์สิทธิ์ เขาขมวดคิ้ว
เมื่อคิดถึงการปรากฏตัวที่แปลกประหลาดของทัพทมิฬที่ไม่ใช่ทัพใหญ่ของห้าศักดิ์สิทธิ์เขาต้องสงสัย…
หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนั้น?
เขาร่อนลงพื้นและเก็บลำดับห้าธาตุเขากลับไปในเมือง
หลังจากที่เมืองเลิกเฝ้าระวังสงครามพวกเขาเริ่มผ่อนคลายและส่งเสียงเอะอะ ในครั้งวนี้ หลายคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เริ่มที่จะดื่มโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ พวกเขาดื่มให้กับอนาคตของทวีปเฉินหลง
ข่าวชัยชนะครั้งใหญ่แพร่สะพัดไปทั้งทวีปสงครามวิปโยคได้เริ่มต้นในทวีปเหนือและจบลงที่นั่น ความสำเร็จของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ดังกระฉ่อนถึงหูทุกคน!
แม้จะผ่านไปอีกหลายร้อยปีแม้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะล่มสลาม เหล่าผู้คนก็จะยังนับถือว่านี่คือสำนักที่ทำหน้าที่ปกป้องทวีปเอาไว้ และทุกคนจะยังคงเชื่อมั่นว่าพวกเขายังคงอยู่และเพียงรอให้มีภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้น จากนั้นพวกเขาจะกลับมากอบกู้ทวีปอีกครั้ง
ลูกหลานของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่เข้าร่วมสงครามคงจะถูกปฏิบัติดั่งลูกหลานของวีรบุรุษพวกเขาจะต้องเป็นที่เคารพรักเพราะบรรพบุรุษได้หลั่งเลือดเพื่อรักษาทวีปเอาไว้
มันจะมีการบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าซือหยูได้สร้างปาฏิหาริย์มากมายหลายครั้งอย่างไรและความน่าตกตะลึงของพลังที่มี เขายังเป็นผู้ทำลายกองทัพชั่วร้ายอีกด้วย! เขาจะกลายเป็นตำนานของตำนาน ผู้คนจะมองเขาดั่งราชาที่ปกปักรักษาทวีปเฉินหลงเอาไว้
“ท่านเจ้าพันธมิตรตามที่เราตรวจสอบ โอสถนี้มีพลังอยู่มหาศาล มันจะทำให้ฐานพลังเพิ่มขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ แต่โอสถมีผลข้างเคียงที่มาก หากผลของโอสถสีดำหมดลง คนที่กินจะลุกออกจากเตียงไม่ได้สามเดือน ส่วนโอสถสีแดง คนที่กินจะถูกลดฐานพลังไปหนึ่งขอบเขตอย่างถาวร และพวกเขาจะเพิ่มฐานพลังไม่ได้อีกต่อไป”
ผู้เฒ่าเฉินรายงานเรื่องโอสถที่ได้รับมา
ซือหยูพยักหน้ารับรายงานไม่แปลกใจที่จิวโจวใช้โอสถเช่นนี้ ทัพทมิฬแข็งแกร่งจริงๆ และถ้าพวกเขาใช้โอสถเร็วกว่านี้ ซือหยูก็อาจจะโดนพวกนั้นฆ่าก็ได้! เพราะแม้แต่จ้าวเทวะก็ต้องหนีถ้าต้องเจอกับทัพภูติพันคน!
“อืมม…เก็บโอสถพวกนี้ให้ดีถ้าหากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ต้องเจอกับวิกฤติอีก โอสถพวกนี้จะเป็นของช่วยชีวิต…”
ซือหยูชี้แนะ
“แล้วเจ้าได้อะไรจากพวกเชลยมาบ้าง?”
ผู้เฒ่เฉินสีหน้าหม่นหมอง
“ท่านเจ้าพันธมิตรข้าไม่รู้ว่ามันเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย แต่ตามที่พวกมันสารภาพ ห้าศักดิ์สิทธิ์จะไม่ออกมาจากการปิดประตูฝึกตน เขาน่าจะยังอยู่ที่ก้นบึ้งมังกร ส่วนเรื่องที่เขาวางแผนหรือเตรียมการอะไรนั้นแทบจะไม่มีข้อมูล พวกเชลยไม่รู้อะไรเลย”
ซือหยูขมวดคิ้วเบาๆและรู้สึกอึดอัดถ้ามีแค่เพียงทัพทมิฬและห้าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มา เขาหยุดคิดไม่ได้…
เบื้องหลังของเรื่องนี้คืออะไรกัน?
“ผู้เฒ่าจิวยังไม่กลับมาอีกรึ?”
ซือหยูถามเขาจำได้ว่าผู้เฒ่าจิวเคยบอกว่าจะกลับมาในสงคราม แต่ซือหยูก็ไม่ได้พบเขา
ผู้เฒ่าเฉินหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมา
“ข้าเจอสิ่งนี้ในห้องผู้เฒ่าจิวมันน่าจะเขียนมาแล้วสามวัน ในตอนที่สงครามจบพอดี”
ซือหยูเลิกคิ้วเขาเปิดอ่านจดหมาย…
เจ้าหนูทำได้ดีมาก แม้แต่ทัพทมิฬก็พ่ายแพ้ต่อเจ้า สิ่งนี้เกินความคาดหมายของข้าจริงๆ ถ้าเรื่องนี้ไปถึงจิวโจว นามเจ้าอาจจะไปถึงหูราชาเขตกลางก็ได้
เจ้ารู้ไหมว่ากองทัพนี้คือทัพหลวงของราชาเขตกลาง?พลังของมันน่ากลัวถึงขีดสุด พลังโดยรวมไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์เลย วิเศษจริงๆที่เจ้าเอาชนะพวกมันมาได้
ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเด็กน้อยที่เคยเป็นทุกข์ในอดีตอย่างเจ้าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองส่วนหนึ่งของทวีป!ข้าหวังกับเจ้าไว้สูงนะ ข้าคงเบาใจที่จะฝากทวีปเฉินหลงไว้กับเจ้า
ส่วนห้าศักดิ์สิทธิ์ข้าจะจัดการกับมันเอง คนในตำหนักเจ็ดจ้าวของอาณาจักรทมิฬควรจะไปถึงก้นบึ้งมังกรแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นอีก เจ้ารวบรวมทวีปเหนือให้เป็นปึกแผ่นก็พอแล้ว
นับจากวันนี้ไปทวีปจะต้องกลับมาเป็นดังเดิม
“ก้นบึ้งมังกรรึ?”
ซือหยูพูดเบาๆหลังจากการจดหมายจบเขาสงสัย…
ห้าศักดิ์สิทธิ์ยังปิดประตูฝึกตนอยู่เพราะรู้ว่าคนจากตำหนักเจ็ดจ้าวจะไปที่นั่นรึ?
ยังมีอีกเรื่องเหตุใดผู้เฒ่าจิวถึงรู้เรื่องทัพทมิฬได้เล่า?
ถ้าผู้เฒ่าจิวและเหล่าภูติในตำหนักเจ็ดจ้าวร่วมมือกันก็คงง่ายที่จะกำจัดห้าศักดิ์สิทธิ์และเมื่อกำจัดทัพทมิฬได้แล้ว ทวีปเฉินหลงก็จะกลับมาพบกับสันติสุขอีกครั้ง ดังนั้นสิ่งที่เขาควรจะทำในตอนนี้ก็คือการกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมา!
“ส่งคำสั่งออกไปกองทัพจงเตรียมทำสงคราม ทวีปเหนือตกอยู่ในมือศัตรูมานานพอแล้ว”
ซือหยูสั่งด้วยแววตาคมกริบ
ประชาชนในเมืองกู่ร้องอีกครั้งเมื่อรู้ว่าจะต้องต่อสู้อีกและมันไม่เหมือนกับการต่อสู้ครั้งก่อน พวกเขาจะไม่เจ็บปวดในการต่อสู่นี้! และนี่ก็เป็นการต่อสู้ที่พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอมานาน ในที่สุดพวกเขาจะได้เริ่มยึดดินแดนกลับคืนและแก้แค้นให้กับมิตรสหาย! ด้วยเหตุนี้ ทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ถึงกับร้องขอให้ได้เข้าร่วมสงคราม
หมื่นลี้นับจากเมืองคนหมื่นคนยืนเรียงรายอยู่ในจุดเดิม พวกเขาสับสนอย่างหนัก ชายหนุ่มคนนหนึ่งใบหน้าแข็งทื่อ เขาอยู่ในกระโจมลอยฟ้า ดูเหมือนว่าเขาจะลังเลในอะไรบางอย่าง
“นายท่านเราควรจะไปที่นั่นหรือไม่?”
ขุนพลลังเลก่อนจะถามชายหนุ่ม
จ้าวสามเงยหน้า
“เจ้าเป็นจ้าวหรือข้า? ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องตัดสิน ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
จ้าวแห่งตำหนักเจ็ดจ้าวสั่งให้เขามาที่นี่เพื่อยื้อกำลังของศัตรูแต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทัพศัตรูมิได้ปรากฏตัว แต่กลับเป็นทัพทมิฬของราชาเขตกลาง
ภารกิจของพวกเขาคือการช่วยซือหยูกำราบทัพที่น่ากลัวของศัตรูแต่ซือหยูกลับล้างบางทัพศัตรูตามข่าวลือที่ว่าเขาเคยสังหารจ้าวเทวะ!
ไม่มีใครในทวีปแห่งนี้จะคิดหรือคาดว่าซือหยูจะทำเรื่องเช่นนั้นได้ไม่ต้องพูดถึงการเอาชนะเลย! ไม่ว่าจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดหรือจ้าวผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเลยที่เชื่อว่าซือหยูจะป้องกันภัยพิบัติครั้งนี้ได้!
เขาใช้พิษของม้าเมฆาปริมาณมากและภูติอีกยี่สิบคนและคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่พลังเพิ่มขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดเขายังใช้วัตถุทรงกลมคล้ายอุกกาบาตที่น่ากลัวมาก มันบดขยี้ทัพของศัตรูไปถึงหนึ่งในสาม
จ้าวหนึ่งขอให้จ้าวสามรับมือกับศัตรูหลังจากที่ซือหยูตายแต่เขาก็บอกอีกด้วยว่าถ้าหากซือหยูไม่ตาย ซือหยูควรจะผ่านการทดสอบและได้รับรางวัลในตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดจ้าวแห่งความมืดของตำหนัก เมื่อถึงจุดนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าซือหยูจะกลายเป็นราชาแห่งความมืดคนต่อไปและมีโอกาสได้รวบรวมทั้งทวีปเฉินหลงให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน
แต่จ้าวสามก็ไม่เต็มใจจะทำหน้าที่นี้เพราะเขาจะไม่มีอำนาจมากกว่าซือหยูอีกต่อไป เขาลังเลเพราะเขาไม่รู้ว่าจะเรียกซือหยูว่าอย่างไร…
ข้าควรจะทำตัวหยาบคายหรือพูดกับเขาในฐานะที่เทียบเท่ากันดี?
เขากังวลใจมากและเขาก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ฟึ่บ!
หน่วยสอดแนมคนหนึ่งรีบเข้ามารายงาน
“รายงาน!เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์มาถึงที่นี่แล้ว”
DND.688 – จ้าวคณะตกอยู่ในอันตราย
จู่ๆใบหน้าของเหล่าทหารก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน
“พวกนั้นเจอตัวเรารึ?พวกมันมากี่คน…แล้วพวกมันอยู่ไกลแค่ไหน?”
จ้าวสามชักสีหน้าถาม
ซูม
แต่ตอนนั้นก็มีสิบคนยืนอยู่นอกกระโจม
“จ้าวสามเจ้านี่รสนิยมดีจริงๆนะ”
ซือหยูเหลือบมองกระโจมและกึ่งยิ้มกึ่งนิ่ง
“ไม่แปลกใจที่เจ้าอยู่ที่นี่ได้ครึ่งเดือนโดยไม่เบื่อ”
จ้าวสามกับคนของเขาอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว
“เจ้ารู้ว่าพวกข้าซ่อนตัวมาโดยตลอดเลยรึ?”
จ้าวสามเบิกตากว้างขณะถามเหล่าขุนพลที่ยืนรอบๆเขาก็ตกใจไม่แพ้กัน
ซือหยูเข้ามานั่งในกระโจมอย่างเรียบเฉยโดยไม่ได้รับเชิญทหารทั้งเก้าที่ยืนด้านหลังเขาโค้งคำนับและเดินเข้ามาล้อมรอบซือหยู
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่เจ้าอยากจะสังหารวิหคสองตัวด้วยก้อนศิลาเดียวโดยรอให้คนของข้ากับทัพทมิฬอ่อนล้าก่อนจะเข้าจู่โจมพวกข้า”
ดูเหมือนว่าซือหยูจะมองแผนของเขาออก
เมื่อเห็นท่าทางหยาบคายของซือหยูจ้าวสามโกรธขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็เหลือบไปเห็นทหารเก้าคนข้าหลังซือหยูและปลายธนูที่มีจุดสีขาว จ้าวสามเลือกที่จะปิดปากไม่พูดอะไร
“เจ้ามาถูกเวลาแล้วจ้าวหนึ่งมีสาสน์ถึงเจ้า จงฟัง…”
จ้าวสามหยิบเอาม้วนกระดาษออกมาเขาเปิดมัน
ซือหยูแทบจะไม่ขยับตัวและเริ่มหัวเราะ
“เอาเถอะอ่านดังๆให้ข้าฟังหน่อย!”
ซือหยูพูดราวกับออกคำสั่ง
จ้าวสามรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยลงไปทันทีราวกับเขาถูกลดระดับไปอยู่ในฐานะคนอ่านฎีกา เขาโกรธแค้นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่กล้าทำให้ซือหยูโกรธ
ตอนนั้นเขารู้ว่ามันคงจะขายหน้าถ้าเขาอ่านมันด้วยตัวเอง แต่ถ้าเขาไม่อ่าน เขาก็จะฝ่าฝืนคำสั่งของจ้าวหนึ่ง เขาหยุดนิ่งและไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี
เมื่อคนของเขามองเห็นเขาจึงก้าวเข้ามาอย่างกระอักกระอ่วน
“ให้ข้าอ่านเองเถอะ…”
เขาพูด
ลั่วซวงตะโกนอย่างเยือกเย็นเมื่อคนของจ้าวสามเดินไปยังม้วนกระดาษ
“เจ้าเป็นใครถึงมาอ่านฎีกาให้ท่านซือหยู?”
คำพูดของลั่วซวงทำให้ขุนพลที่ก้าวเข้ามาตัวแข็งทื่อเขาเดินกลับไปยังที่เดิมด้วยความลังเล ลั่วซวงพูดได้ถูกต้อง แต่ที่เขากลัวยิ่งกว่าก็คือฐานพลังระดับภูติของลั่วซวง
จ้าวสามหนักใจยิ่งกว่าเดิมเขารู้สึกว่าทุกคนกำลังมองเขาแบบด้อยค่าลง
“ช่างเถอะข้าอ่านเองก็แล้วกัน”
ซือหยูคว้าม้วนกระดาษมาอ่าน
จ้าวสามอยากจะหยุดซือหยูแต่ก็ไม่กล้าขยับกล้ามเนื้อแม้สักมัดเพราะอย่างไร แม้แต่กองทัพทหารหมื่นคนของเขาก็มิอาจทำอะไรชายคนเดียวที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ได้
ซือหยูเปิดม้วนกระดาษอ่านเขาเหลือบมองก่อนจะฉีกยิ้มที่มุมปาก เขาหัวเราะชอบใจ
“ตำแหน่งเจ็ดจ้าวรึ?”
พรึ่บ
เพลิงลุกในมือของเขามันเผาม้วนกระดาษไหม้เป็นจุณ
“ถ้านี่เป็นเหตุที่เจ้ามาก็จงกลับไปได้แล้วเจ้ามีเวลาครึ่งชั่วยาม ถ้าหมดเวลาแล้วยังอยู่ที่นี่ เจ้าจะถือว่าเป็นผู้บุกรุก”
ซือหยูยืนขึ้นช้าๆ
เขาไม่สนใจข้อเสนอตำแหน่งเจ็ดจ้าวเลยเขาคิดในใจ…
ถ้าข้าไม่ชนะสงครามนี้อาณาจักรทมิฬจะให้ตำแหน่งกับข้ารึ?
แต่พอข้าชนะได้สำเร็จแล้วกำลังจะรวบรวมทวีปเหนือจู่ๆอาณาจักรทมิฬก็๋อยากจะให้ข้าไปเป็นหนึ่งในเจ็ดจ้าว จากนั้นชัยชนะครั้งใหญ่นี้ก็จะเป็นของอาณาจักรทมิฬแทนที่จะเป็นของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์!
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ซือหยูชิงชังที่สุดก็คือสิ่งที่เขาเคยถูกกระทำเมื่ออยู่ในอาณาจักรทมิฬ เขาหาเหตุผลกลับไปอาณาจักรทมิฬไม่ได้อีกแล้ว
“นี่เป็นโอกาสได้รับใช้อาณาจักรทมิฬเจ้าแน่ใจรึที่จะไม่พิจารณาให้ดี?”
จ้าวสามถามเสียงดังด้วยความตกใจ
เพราะเขาคิดไม่ออกเลยว่าจะมีคนที่ไม่อยากเป็นหนึ่งในเจ็ดจ้าว!ม้วนกระดาษยังเขียนอีกด้วยว่าเขามีโอกาสที่จะได้เป็นราชาแห่งความมืด! นี่เป็นสิทธิ์ที่แม้แต่จ้าวสามก็มิอาจมีได้ แต่ซือหยูกลับปฏิเสธมันต่อหน้าต่อตา!
“แค่นามมิได้มีความสำคัญต่อข้า เจ้าอยู่ในดินแดนข้ามานานพอแล้ว จงออกไปในครึ่งชั่วยาม”
ซือหยูตอบและหันหลังให้จ้าวสามพร้อมกับบินออกไป
จ้าวสามกำหมัดแน่นแม้ว่าเขาจะไม่พอใจในสิ่งที่ซือหยูเพิ่งจะพูด แต่เขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างซือหยูจริงๆ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เงียบปาก เขาหันไปตะโกนกับกองทัพ
“กลับอาณาจักรทมิฬ!”
สามวันต่อมาผู้คนได้มารวมกันที่เมือง คนเหล่านี้มิได้มีเพียงคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์แต่ยังมีสำนักน้อยใหญ่ที่กระหายอยากจะเข้าร่วมกับซือหยู มีเหล่าทหารจับจ้างที่พ่ายแพ้อยู่ด้วย
ในครั้งนี้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไม่ต่างจากจันทรากระจ่างท่ามกลางท้องนภามืดมิด พันธมิตรได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ปกป้องทวีป
ดังนั้นจึงมีคนที่มีคุณธรรมในทวีปอยากจะอยู่ข้างเดียวกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จำนวนคนในพันธมิตรเพิ่มขึ้นไปทุกวัน
เพียงไม่กี่วันก็มีอย่างน้อยหมื่นคนที่เข้าร่วมกำลังพันธมิตรผู้คุมสวรรค์พลังของพันธมิตรยิ่งใหญ่จนเกือบจะตามทันอาณาจักรทมิฬ!
“การกอบกู้เกียรติยศในอดีตของพวกเราจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้!”
ซือหยูตะโกนเสียงดังเมื่อยืนต่อหน้าคนนับหมื่น
“ผู้เฒ่าเฉินนำทัพใหญ่ไปที่หอสดับหิมะ! เจ้าตำหนักฉีนำทัพใหญ่ไปยังพันธมิตรร้อยดินแดน ส่วนคนที่เหลือให้คุ้มกันเมืองอยู่ที่นี่ ข้าจะแบ่งคนไปคณะวิหคเพลิงกับข้า…”
ซือหยูตะโกน
หลังจากได้รับคำสั่งคนสามกลุ่มใหญ่ได้มุ่งหน้าไปยังดินแดนหลังจากทวีปเหนืออย่างยิ่งใหญ่ ส่วนซือหยูก็นำทัพใหญ่ไปยังทางเหนือ
ตลอดทางพวกเขาผ่านเขตหยินหยู ที่นี่ดูรกร้าง
แต่น่าแปลกที่คนอยู่หลายคนที่นี่หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ด้วยการปกป้องของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เหล่าผู้คนได้หวนกลับมายังบ้านเกิดของตน
ซือหยูเหลือบมองตำหนักหยินหยูมีหลายคนจากเขตหยินหยูกำลังสร้างตำหนักขึ้นมาใหม่
นี่คือสถานที่แห่งเกียรติยศที่สำคัญต่อคนเขตหยินหยูนั่นก็เพราะว่าครั้งหนึ่ง เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้เป็นผู้ปกครองเขตหยินหยู นับได้ว่าที่นี่คือต้นกำเนิดของเขา
จู่ๆซือหยูก็มองเห็นชายแก่คนหนึ่งขณะที่เร่งรีบ
“ฟางไห่เซิงรึ?”
เขาพูดด้วยความแปลกใจเมื่อจ้องมองไปยังที่ตรงนั้นแต่แปลกมากที่เขามองไม่เห็นใครอีกเลย!
แต่เนตรวิญญาณนั้นยืนยันว่ามันมิใช่ภาพลวงตาเขาเห็นว่าฟางไห่เซิงกำลังถือไม้เท้ายิ้มมองซือหยูอยู่
ซือหยูสับสนอย่างหนักเขารู้สึกมาโดยตลอดว่าฟางไห่เซิงมิใช่คนธรรมดา และเรื่องอันน่าฉงนก็เพิ่งจะเกิดขึ้นตรงหน้า ซือหยูไม่เข้าใจเลย
“ข้าจะมาถามท่านทีหลัง…”
ซือหยูพูดเบาๆกับตัวเองเขาส่ายหน้าและนำทัพไปต่อ
แต่ซือหยูไม่รู้เลยว่าในทุ่งหญ้าร้างนอกเขตหยินหยูฟางไห่เซิงกำลังยิ้มพลางลูบเครา เขาหันกลับและก้าวไปหนึ่งครั้ง
แต่ก้าวเดียวของเขาก็พาตัวเขาไปยังลี้ที่มิอาจนับได้เขาหายตัวไปเฉยๆ การเคลื่อนไหวเช่นนี้เหนือยิ่งกว่าวิชาเลี่ยงสายฟ้าของซือหยู
ผ่านไปครึ่งวันซือหยูมาถึงคณะวิหคเพลิงแล้ว เขายืนมือไพล่หลังกับหน่วยกวาดล้างที่ตามมาติดๆ
แทนที่จะจู่โจมเองพวกเขานำคนอื่นของพันธมิตรไปจัดการแทน ที่นี่เคยเป็นฐานที่มั่นของหกศักดิ์สิทธิ์ มีทหารอยู่จำนวนมากที่แข็งแกร่ง
แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้วพันธมิตรผู้คุมสวรรค์โฉมใหม่นั้นเต็มไปด้วยกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงและพวกที่มีแก้วสองดวงอีกนับไม่ถ้วน ทัพต่างโลกที่เคยแข็งแกร่งมิอาจรับกระบวนท่าเดียวของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ในวันนี้ เพียงครึ่งชั่วยาม กำลังหลายร้อยจากต่างโลกก็ถูกจับเป็นเชลยหรือถูกฆ่าตายหมด
“ท่านเจ้าพันธมิตรมันจบแล้ว ข้าจะนำทัพไปล่าคนที่หนีและยึดฐานศัตรูอื่นๆอีก”
หนึ่งในขุนพลรายงานสถานการณ์ต่อซือหยู
ซือหยูพยักหน้า
“จงไปทำให้แน่ใจว่าพวกมันจะถูกกำจัดทุกคน”
การเหลือแม้แต่คนเดียวของทัพต่างโลกนั่นหมายถึงการเปิดประตูแห่งปัญหาในภายภาคหน้ามีบางคนอยู่เก็บกวาดสนามรบขณะที่ทัพใหญ่สลายตัวออกไป
“ท่านเจ้าพันธมิตรพวกมันตายไปร้อยคนในครั้งนี้ เราจับมันมาได้สองร้อยคน เราได้ของพวกนี้มา…”
คนที่มารายงานกับซือหยูตั้งใจจะพูดต่อแต่ก็ถูกซือหยูพูดแทรก
“เจ้าเอาไปให้หน่วยกวาดล้างตอนนี้ คนของคณะวิหคเพลิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านเจ้าพันธมิตรคนเหล่านั้นถูกจับในคุกใต้ดิน นอกจากคนที่ตายจากการโจมตีของต่างโลกครั้งแรกก็ไม่มีใครถูกสังหารเลย แต่ตามที่ข้าเห็น แม้จะไม่มีใครถูกสังหาร พวกนั้นก็ถูกจับไว้เป็นตัวประกัน มีอยู่หลายคนที่เลือกฆ่าตัวตาย…”
เขารายงานกับซือหยู
แววตาซือหยูเยือกเย็นลง
“พาข้าไป”
ไม่นานซือหยูมาถึงส่วนลึกสุดของคุกใต้ดิน เขาเป็นแววตาสิ้นหวังของหญิงสาวที่ถูกขืนใจขณะอยู่ที่นี่
หลายคนไม่มีเสื้อผ้าห่มกายเขามองเห็นรอยแผลบนร่างที่เกิดจากพวกต่างโลก เมื่อเหล่าหญิงสาวเห็นพวกซือหยู พวกนางหันกลับมองเขาด้วยความหวาดกลัวและเกลียดชัง
ซือหยูมองรอบๆเขาเจ็บแปลบในใจ เคยมีสตรีคนหนึ่งจากคณะวิหคเพลิงที่สละความบริสุทธิ์ของนางเพื่อช่วยชีวิตเขา สำหรับซือหยู แค่สิ่งนั้นก็เป็นหนี้บุญคุณครั้งใหญ่แล้ว
เขาเดินผ่านคุกมืดเขาหนักใจยิ่งขึ้นเรื่อยๆถ้านางถูกทำแบบหญิงสาวคนอื่น…ซือหยูมิอาจคิดได้เลย…
สุดท้ายเขาเดินมาถึงคุกสุดท้าย เทียบกับคุกอื่น คุกที่นี่มีแสงสว่างมากกว่า การตกแต่งภายในเทียบได้กับสิ่งปลูกสร้างด้านนอก
ในห้องขังมีหญิงสาวที่แต่งกายอย่างดีนางดูสง่างามและบริสุทธิ์
“เฟิงเซี่ยน?”
ซือหยูจำนางได้ทันที
นางเป็นคนที่ทรยศคณะวิหคเพลิงนางทำให้พันธมิตรร้อยดินแดนกับหอสดับหิมะยึดครองคณะวิหคเพลิงได้สำเร็จ
จากนั้นนางได้เข้าใจผิดว่าซือหยูคือนายน้อยตระกูลยี่และได้มอบกายให้กับเขา เมื่อพบความจริง นางเริ่มตระหนักรู้ตัวและกลับมายังคณะวิหคเพลิงเพื่อแก้ไขอดีตที่ทำลงไป นางมีความงดงามเป็นอย่างยิ่งในสายตาทัพต่างโลก ไม่มีสตรีคนใดเทียบเคียงนางได้
“เสียใจที่ไม่ได้ฆ่าข้างั้นรึ?”
เฟิงเซี่ยนเงยหน้าถามด้วยความโศกเศร้า
ซือหยูใช้ปลายนิ้วแตะแท่นเหล็กและปลดกลอนที่ปิดกรงขังเขาเดินเข้าไป
ซูม
ก่อนที่เขาจะได้เข้าใกล้เฟิงเซี่ยนเงยหน้าและจ้วงมีดลับใส่เขาทันที ระยะใกล้เช่นนี้คงจะทำให้ทุกคนตกใจและไม่มีใครตอบสนองได้ทัน
ซือหยูยื่นมือที่ไพล่หลังและใช้ดัชนีทั้งสองคีบมีดเขาพลิกข้อมือจนทำให้เฟิงเซี่ยนล้มลงมาที่เขา
ซือหยูใช้มืออีกข้างจับข้อมือของนางเอาไว้เฟิงเซี่ยนที่รู้ตัวว่าการจู่โจมล้มเหลวยิ่งมุ่งมั่นกว่าเดิม
“ถ้าอยากจะฆ่าข้าก็เอาเลยแต่อย่าคิดว่าจะได้ทำอะไรกับร่างกายข้า!”
“นี่ข้าเอง”
ซือหยูพูดเบาๆ
เฟิงเซี่ยนผู้โศกเศร้าตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมองนางเบิกตากว้าง นางมิอาจเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น
“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ!ถึงเจ้าจะเปลี่ยนไป แต่เจ้าก็คือราชาปีศาจหิมะทมิฬ…หรือควรเรียกเจ้าว่าซือหยู!”
ซือหยูลดน้ำหนักที่จับข้อมือนางและพยักหน้า
“ข้าเองเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวรึ?”
หลังจากที่เฟิงเซี่ยนใจเย็นลงนางหน้าแดงระเรื่อ มิเพียงแต่ทั้งคู่ยังเคยร่วมเตียงกัน แต่ข้อมือทั้งสองข้างของนางในตอนนี้ถูกซือหยูจับเอาไว้จนทำให้ตัวของนางพิงอยู่กับซือหยู ใบหน้าของซือหยูใกล้กับนางมาก
“เจ้า…เจ้าควรจะปล่อยข้าได้แล้ว…”
เฟิงเซี่ยนพูดขณะที่หน้าแดง
ซือหยูปล่อยนางและก้าวไปข้างหลังเขามองดูนางในความเงียบ
หลังจากผ่านไปสามปีนางมิได้เป็นสตรีผู้หยาบคายดั่งในอดีตอีกแล้ว ใบหน้างดงามของนางในตอนนี้มีความสงบสุขอยู่ด้วย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางสำนึกในความผิดของตัวเองจนถึงที่สุด นางจึงได้รังสีพลังอันบริสุทธิ์กลับมาด้วย
“ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวท่านจ้าวคณะกับพี่น้องอีกหกคนถูกพวกตระกูลยี่พาตัวไปก้นบึ้งมังกรเพื่อมอบให้กับห้าศักดิ์สิทธิ์…”
เฟิงเซี่ยนเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น