The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 691-692
DND.691 – ความอาฆาตทั้งเก่าใหม่
ดยุคเซี่ยนหยูหันไปมองท้องนภาดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“หยูเอ๋อกลับมารึ?”
ความตื่นเต้นและความคิดถึงปรากฏอยู่ในดวงตานั้น
ลั่วซวงหายใจเข้าลึกและเดินเข้าสู่ตำหนักเขาส่งจดหมายให้กับดยุคเซี่ยนหยู น้ำตาอันอบอุ่นไหลอาบแก้มของดยุคเซี่ยนหยูในเวลาต่อมา
จากนั้นหลังจากผ่านไปครึ่งวัน ตำหนักเซี่ยนหยูได้กลายเป็นสถานที่ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในตำหนักอีกแล้ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งวันที่แคว้นเฟิงหลิน ราชาสวมชุดมังกรที่ดูสูงส่งกำลังย่อตัวอ่านเศษกระดาษบางอย่าง
ในตอนนั้นมีเปลวเพลิงพุ่งเข้ามาในโถง เหล่าองครักษ์หน้าซีดด้วยความกลัว
“ปกป้องฝ่าบาท!”
เปลวเพลิงมิได้จู่โจมราชามันลอยไปที่ข้างโต๊ะของราชาและกลายเป็นเงาของคนสองคน เงาทั้งสองคือเจ้าสำนักหลิวเซี่ยนและลี่จุน
“เจ้าสำนัก”
ราชายืนขึ้นโค้งคำนับ
แม้ว่าทั้งสองจะเป็นแค่ร่างเงาที่ไม่ใช่คนจริงๆแต่มันก็สามารถที่จะโต้ตอบเขาได้
“ข้ารับลี่จุนเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้าเขาจะกลับเฉินยี่ไม่ได้ไปสิบปี ถ้าเจ้าไม่ยินยอม จงทำลายสร้อยหยกนี้เสีย สำนักข้าจะส่งบุตรของเจ้าคืนไป…”
เจ้าสำนักหลิวเซี่ยนพูด
ราชายินดีอย่างมากที่ได้ยิน
เขาพูดต่อ
“และถ้าหากแคว้นเจ้าตกอยู่ในอันตรายเจ้าจะขอความช่วยเหลือจากพวกเราได้”
ราชาตื่นเต้นอย่างมากแต่เขาสับสนเพราะว่าลูกชายของเขามีพรสวรรค์เทียบเท่าคนทั่วไป ยากที่จะได้เป็นคนระดับสูงในที่อย่างสำนักหลิวเซี่ยน ไม่ต้องพูดถึงการเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักเลย และเจ้าสำนักก็สุภาพกับเขาอย่างมาก
“ส่วนเหตุที่ข้ารับเขาเป็นศิษย์ข้าหวังว่าเจ้าควรจะรู้ว่ามันเป็นคำขอของสหายเก่าข้า…”
ฉีหงซื่อพูดต่อ
ราชาเข้าใจทุกอย่างในทันทีเขายิ้มอย่างสบายใจ
“เขาเป็นมังกรในหมู่บุรุษอย่างแท้จริงไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เจิดจรัส ซือหยูยังไม่ลืมข้า”
ในงานประลองเมื่อครั้งอดีตหลังจากที่ซือหยูรอดชีวิตมาได้ ซื้อหยูได้ช่วยเขาที่เป็นองค์ชายสามให้ขึ้นครองบัลลังก์ ส่วนลี่จุนที่เข้ามาทดสอบที่สำนักหลิวเซี่ยนก็คือบุตรชายของเขา
“หวังว่าท่านจะไม่เผยเรื่องเจ้าพันธมิตรซือกับสำนักหลิวเซี่ยนกับใครนี่คือสิ่งที่ข้าต้องการจะบอก”
เมื่อเจ้าสำนักพูดจบเปลวเพลิงก็ดับมอดลง
“หึหึซือหยู…มนุษย์ธรรมดาอย่างข้าคู่ควรกับเจ้าแล้วรึ?”
องค์ชายสามมองท้องนภาอย่างเหม่อลอย
ในมหาสมุทร
ชายคนหนึ่งบินเหนือน่านน้ำเขาถือสร้อยสื่อสารไว้ในมือ
“ผู้เฒ่าเฉินหลังจากรวมทวีปเหนือได้แล้วให้ส่งกำลังไปยังทวีปอื่น หวังว่าจะไม่มีคนจากต่างโลกอีกแล้วในตอนที่ข้ากลับไป”
ซือหยูทุบสร้อยสื่อสารทิ้งเพลิงสีครามลอยออกไป
ด้วยคำสั่งนี้แม้ว่าซือหยูจะไม่อยู่ที่พันธมิตรผู้คุมสวรค์ พวกเขาก็จะไม่วุ่นวาย ซือหยูรีบบินไปยังก้นบึ้งมังกรหลังจากที่หมดห่วง
จ้าวคณะวิหคเพลิงเป็นผู้มีพระคุณของเขานางเคยสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เขาจะไม่ทิ้งนางถ้าหากนางตกอยู่ในอันตราย เขาต้องตอบแทนนางให้ได้
ผ่านไปหนึ่งวันก้นบึ้งมังกรที่อยู่ปลายสมุทรได้อยู่ต่อหน้าเขา ซือหยูอยู่ห่างจากก้นบึ้งมังกรสามสิบลี้และขมวดคิ้ว
มีร่างไร้วิญญาณมากมายลอยอยู่ในมหาสมุทรซือหยูเห็นศพนับร้อยและมีตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรทมิฬอยู่ในเครื่องสวมใส่
“แย่แล้ว”
ซือหยูร่อนลงไปมองดูบาดแผลของทหารที่ล้มตาย
ทหารที่ลอยอยู่บนน้ำทะเลมีบาดแผลหลายแห่งดูเหมือนว่าทหารเหล่านี้จะไม่ได้ถูกสังหารในกระบวนท่าเดียว เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดสงครามดุเดือดที่นี่
เป็นฝีมือของห้าศักดิ์สิทธิ์กับกองทัพของเขางั้นรึ?ซือหยูรีบบินเข้าไปที่ก้นบึ้งมังกรราวกับลำแสง
ไม่นานเขาก็มองเห็นเกาะเล็กๆมันดูเหมือนกับมีมังกรขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ในมหาสมุทรอันลึกล้ำ แม้จะเผยตัวออกมาเล็กน้อย แต่ผู้คนก็รู้สึกถึงมัน เพราะก้นบึ้งมังกรที่ถูกผู้เฒ่าจิวปกป้องในอดีตนั้นคือแหล่งที่มาของหายนะในเฉินหลง
หลังจากที่เขาร่อนลงบนเกาะเขาเห็นว่าที่นี่มีซากศพอยู่มาก บ้างเป็นศพศัตรู บ้างเป็นศพของคนจากอาณาจักรทมิฬ แม้แต่ทหารทัพทมิฬก็ตายที่นี่ด้วย
หรือว่าทัพทมิฬจะบินหนีกลับมาที่นี่?ถ้าอย่างนั้น เก้าศักดิ์สิทธิ์ก็หนีรอดมาได้งั้นรึ?
ซือหยูอึดอัดใจเขาไปที่ก้นบึ้งมังกรที่ถูกเปิดผนึกออก เขาเห็นร่องรอยของคนอาณาจักรทมิฬเข้ามาที่นี่ เขาเข้าไปและพบกับบรรยากาศมืดมนที่ดูชั่วร้ายเช่นเคย รอบๆดูมืดเป็นอย่างมาก เขาไม่เห็นว่าช่องมิติที่ทัพจิวโจวบุกเข้ามานั้นอยู่ที่ใด
แต่เขาก็ไม่ได้มองมันอย่างละเอียดนักเพราะเหล่าซากศพเองก็นำทางเขาได้เร็วอยู่แล้ว ซือหยูเร่งความเร็วตามทางของซากศพไป จะต้องเป็นเส้นทางนี้เท่านั้นที่ทำให้ก้นบึ้งมังกรเปลี่ยนแปลงไปตลอดสามปี
แม้ว่ามันจะยังคงเต็มไปด้วยพลังหยินแต่พลังวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ก็มากกว่าภายนอกเป็นสิบเท่า และมันยังมีพลังที่แปลกๆที่เข้มข้นอยู่ด้วย พลังนี้จะกลืนกินเรี่ยวแรงของสิ่งมีชีวิต มันคือพลังที่แพร่กระจายไปทั้งทวีปที่คนอื่นมองไม่เห็น พลังนั้นอยู่ที่นี่อย่างหนาแน่น
พลังนี้กระจายออกมาจากก้นบึ้งมังกรสินะ?พวกมันกำลังวางแผนอะไรอยู่? ซือหยูรู้สึกไม่ดีนัก
ซือหยูใช้เวลาไม่นานเพื่อข้ามก้นบึ้งมังกรที่เขาเห็นว่ามันลึกล้ำไร้ขอบเขตในอดีตตลอดทาง เขาผ่านเมืองของเหล่านักโทษที่เป็นที่อยู่ของตระกูลปีศาจ ที่ซึ่งจางตี๋เก้อเคยอยู่
มันได้กลายเป็นที่ราบแบนเหล่าภูติผีทั้งหมดที่เคยอยู่ถูกสังหารจนหมด ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ซากศพของมนุษย์และภูติผี นี่คือสถานที่ลึกสุดที่ซือหยูเคยมาในก้นบึ้งมังกร เขากำลังจะบินต่อไป
ไม่นานซือหยูพบว่าตัวเองอยู่บนเทือกเขา เขามองไปยังส่วนลึกที่สุดของก้นบึ้งมังกรและต้องตกตะลึง
นั่นก็เพราะเขาเห็นว่าที่ส่วนลึกสุดนั้นมีช่องว่างหลากสีอยู่!ช่องว่างนี้เปล่งแสงจ้า มันมีพลังจากต่างโลกที่บริสุทธิ์และเข้มข้นอย่างมาก
นี่น่ะรึที่อีกฝั่งของจิวโจว?ซือหยูตัวสั่นเมื่อคิดถึงมัน
เขาพบอีกด้วยว่าที่นั่นมีทัพของอาณาจักรทมิฬอยู่มีจ้าวแห่งความมืดทั้งหกคนและทหารหลายพันคน และที่ปลายสุดของช่องว่างยังมีทหารอีกร้อยคนและภูติอีกมากมาย
ทหารส่วนใหญ่ที่อยู่ปลายสุดก็คือเหล่าทัพทมิฬส่วนภูติที่ดูเหมือนนักปราชญ์วัยกลางคนที่มีพลังระดับห้าก็คือห้าศักดิ์สิทธิ์
เขาสวมชุดขาวมันสะบัดไปมาแม้ไร้แรงลม ทั้งร่างของเขาปล่อยพลังที่น่ากลัว แค่ยืนเฉยๆก็ทำให้ซือหยูอึดอัดแล้ว
เขาแข็งแกร่งมาก!ซือหยูเริ่มเกรงกลัว เพราะห้าศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาคาดคิด
ฮงหยูที่เคยต่อสู้กับซือหยูก็ยืนอยู่ข้างห้าศักดิ์สิทธิ์ข้างหลังเขาคือเก้าศักดิ์สิทธิ์และเหล่าผู้สืบทอดตระกูลยี่ที่เคยไล่ล่าซือหยูในอดีต
เขาไม่เคยตามล้างแค้นเก้าศักดิ์สิทธิ์แต่เขาก็ไม่คิดว่าพวกมันจะกล้าลักพาตัวจ้าวคณะวิหคเพลิง!เช่นนั้น วันนี้ซือหยูจะต้องล้างแค้นทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ให้สาสม! แต่ซือหยูก็ยังไม่รีบร้อนเข้าไปเพราะรู้สึกว่าที่นี่มีบรรยากาศแปลกๆ
ทัพอาณาจักรทมิฬมาอยู่ที่นี่แล้วแต่พวกเขาก็ไม่ได้จู่โจมฝั่งต่างโลกแม้จะผ่านมานาน ทั้งสองฝ่ายยังคงลังเลกันอยู่
ซือหยูสังเกตต่อไปและพบกรงขนาดใหญ่หน้าทัพอาณาจักรทมิฬเขาเห็นสตรีวัยกลางคนอยู่ที่นั่นด้วย นางมีผิวขาวเรียบเนียนและใบหน้างดงามราวกับคนอายุสามสิบปี นางทั้งดูอ่อนเยาว์และมีเสน่ห์ของความมเป็นผู้ใหญ่ ความแตกต่างในสองด้านนี้ปรากฏจากตัวนางพร้อมกัน
สายตานางดูหม่นหมองมันเต็มไปด้วยความกังวลกับทัพอาณาจักรทมิฬ ดูเหมือนว่านางจะไม่มั่นใจกับกองทัพนี้เลย นางคือจ้าววิหคเพลิง
ซือหยูคลายใจลงเมือ่ได้เห็นนางอย่างน้อยนางก็ยังมีชีวิตอยู่ และการต่อสู้ที่ผ่านมานั้นน่าจะดุเดือด ห้าศักดิ์สิทธิ์คงจะไม่มีเวลาเก็บพลังหยินจากใคร เขามาช่วยนางทันเวลา!
ในตอนนี้ซือหยูเห็นบางอย่างที่แปลกไปอีกเรื่อง…
DND.692 – ซากทัพที่แตกพ่าย
มีชายวัยกลางคนที่สวมผ้าคลุมอยู่อีกหนึ่งคนเขานั่งหลับตาบ่มเพาะพลังอยู่
ข้างกายเขามีชายหนุ่มหนึ่งคนยืนอยู่ด้วยความนับถือชายผู้นี้เคยต่อสู้กับซือหยูมาก่อน เขาคือหกศักดิ์สิทธิ์! เขาที่เป็นภูติระดับสามกำลังอารักขาให้กับชายวัยกลางคนที่ดูธรรมดาผู้นี้!
“นั่นมันใครกัน?”
ซือหยูหรี่ตามองด้วยเนตรวิญญาณ
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็ลืมตาขึ้นเนตรวิญญาณของซือหยูถูกสะท้อนกลับ! นี่เป็นครั้งแรกที่พลังจิตวิญญาณของเขาถูกสะท้อน!
ชายวัยกลางคนในผ้าคลุมหรี่ตามองไปไกลดูเหมือนเขาจะรับรู้ตัวตนของซือหยูแล้ว
“น่าสนใจจริงๆอาณาจักรทมิฬส่งคนสำคัญมาที่นี่สินะ? ถ้าเจ้ามาถึงแล้ว ทำไมไม่แสดงตัวออกมาเล่า?”
เสียงของชายวัยกลางคนนั้นดูหยาบลึก
“ยินดีต้อนรับท่านสี่ศักดิ์สิทธิ์ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”
คนจากฝั่งต่างโลกรวมถึงห้าศักดิ์สิทธิ์ต่างคุกเข่าต้อนรับการลืมตาตื่นของเขา
ซือหยูเบิกตากว้างสี่ศักดิ์สิทธิ์รึ?
ทำไมสี่ศักดิ์สิทธิ์ถึงมาอยู่ที่นี่?ไม่ใช่ว่าห้าศักดิ์สิทธิ์คือคนระดับสูงสุดที่จิวโจวส่งมารึ?
“เจ้าทำได้ดีที่ยื้อเวลาให้ข้าผ่านจิวโจวมาถึงที่นี่ได้”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจยาวเขาดูสดชื่น
สี่ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มมองเหล่าจ้าวแห่งความมืดเขามองไปที่จ้าวหนึ่ง
“ภูติระดับหกฐานพลังของเจ้าเทียบเท่าข้า ไม่คิดเลยว่าที่แบบนี้จะเพาะบ่มภูติระดับหกขึ้นมาได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องมาอยู่ในขอบเขตภูติเมื่อสามปีก่อน…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยความมั่นใจที่มุมปากของเขาแสยะยิ้มมองมาทางซือยหูที่อยู่ห่างออกไปสิบลี้
ในตอนนั้นจ้าวหนึ่งใช้มือกดหน้าท้องที่เลือดไหล ใบหน้าแก่เฒ่าของเขาบิดเบี้ยวราวกับกำลังเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ตามทางมายังที่นี่เขาสังหารทหารในทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์ไปมากมาย แม้ว่าทัพทมิฬจะมาช่วยจากด้านหลัง เขาก็ยังได้เปรียบ
เมื่อห้าศักดิ์สิทธิ์ถูกไล่ต้อนจนมาถึงรอยแยกมิติพวกเขาก็ควรจะถูกฆ่าทั้งหมด รอยแยกมิติจะถูกปิดไปตลอดกาล แต่ในช่วงเวลาสุดท้าย กลับมีชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากรอยแยกมิติ!
การจู่โจมทันทีทันใดของเขาทำให้เจ้าหนึ่งบาดเจ็บอย่างรุนแรงเมื่อเขาปรากฏตัวก็ดูเหมือนว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่และต้องพักเพื่อปรับพลังในเวลาสั้นๆ คนอื่นๆไม่กล้าจะเคลื่อนไหวตั้งแต่ตอนนั้น
จ้าวหนึ่งใบหน้าหม่นหมองเขาหนักใจอย่างใหญ่หลวง แม้ทั้งคู่จะเป็นภูติระดับหก แต่เขาอ่อนแอกว่าสี่ศักดิ์สิทธิ์
แม้ศัตรูจะโจมตีออกมาอย่างคาดไม่ถึงแต่การที่จ้าวหนึ่งตอบสนองไม่ทันก็บ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของสี่ศักดิ์สิทธิ์ การมาของชายผู้นี้ได้พลิกสถานการณ์ไปโดยสิ้นเชิง
“ถ้าเจ้ายอมแพ้ตอนนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดไปได้…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างสบายใจ
“เจ้ายังไม่แกร่งพอที่จะสู้กับข้าอย่ามาสละชีวิตเปล่าๆเลย”
จ้าวหนึ่งจ้องมองและตะโกน
“เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วมาสู้ด้วยกันเถอะ!”
ถ้าเขาปล่อยให้สี่ศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากที่นี่สิ่งที่เขาพยายามมาทั้งหมดจะสูญเปล่า ทวีปจะถูกพวกจิวโจวยึดครองอีกครั้ง จากนั้นทหารนับไม่ถ้วนของอาณาจักรทมิฬก็จะตายอย่างสูญเปล่า
“ฆ่ามัน!”
เสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากทุกคนเหล่าจ้าวแห่งความมืดล้วนส่งเสียงพร้อมที่จะทำสงคราม
ในด้านจำนวนพวกเขามีอยู่มากกว่าเห็นๆ แม้ว่าจะทำอะไรสี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่พวกเขาก็พอจะกำจัดทหารที่เหลือได้
ท่าทางสบายใจของสี่ศักดิ์สิทธิ์จางหายไปแทนที่ด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าจะอวดดีไปหน่อยแล้ว!ฆ่ามันให้หมด!”
เขาตะโกน
สี่ศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้นคว้าพลังชีวิตรอบข้างซัดใส่ทหารที่พุ่งจู่โจมเขาก้อนพลังไร้ลักษณ์ระเบิดกลางดงทหาร
ปั้ง
ทหารสิบคนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที!ห้าศักดิ์สิทธิ์ หกศักดิ์สิทธิ์ เก้าศักดิ์สิทธิ์ และฮงหยูกับเหล่าทัพทมิฬเริ่มที่จะจู่โจมตามมาพร้อมกัน ทั้งสองฝ่ายกำลังนองเลือด!
แต่ดูเหมือนว่าทางฝ่ายอาณาจักรทมิฬจะไม่สู้ดีนักแม้ว่าตำหนักเจ็ดจ้าวจะมาพร้อมกับกำลังจำนวนมากที่พอจะต้านกับเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ไหว แต่ฮงหยูก็ยังบังคับทัพทมิฬต่อได้เพราะประสบการณ์ในสงคราม
ทุกการเคลื่อนไหวของทัพทมิฬสามารถสังหารทหารจำนวนมากของอาณาจักรทมิฬได้ประสิทธิภาพของทัพทมิฬนั้นเหนือกว่าสี่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ
“ยังไงก็เป็นกองทัพของราชาข้าล่ะนะ”
สี่ศักดิ์สิทธิ์แสดงความนับถือต่อเหล่าทหารของฝ่ายตนเอง
“ข้ายิ่งสงสัยเรื่องเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เข้าไปใหญ่ยากที่จะเชื่อว่ามีคนอย่างเขาอยู่ในทวีปเฉินหลง”
ห้าศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างพอใจทัพทมิฬแข็งแกร่งจนกำจัดทัพอาณาจักรทมิฬได้ในเวลาไม่นาน! สิ่งที่เกิดขึ้นราวกับการไล่สังหารอยู่ฝ่ายเดียว!
แน่นอนว่าคนที่สนับสนุนส่วนใหญ่ก็คือสี่ศักดิ์สิทธิ์พวกเขาเหนือกว่าจ้าวหนึ่งได้ก็เพราะมีสี่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงจะทำอะไรต่อหน้าภูติระดับหกไม่ได้เลย
ทุกคนในตำหนักเจ็ดจ้าวหวาดกลัวในความไร้เทียมทานของทัพทมิฬถ้าพวกเขายังต่อสู้ตัวไป สิ่งเดียวที่รอคอยอยู่ก็คือความพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ตอนนี้มันแย่เสียยิ่งกว่าแย่!
“ข้าจะรับมือสี่ศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้าหาทางรับมือทัพของมัน!”
จ้าวหนึ่งตะโกนและโจมตีต้านสี่ศักดิ์สิทธิ์
ในเวลาเดียวกันจ้าวเจ็ดที่เป็นภูติระดับสองได้ก้าวออกจากศัตรูที่ล้อมรอบ เขาเสนอตัว
“เดี๋ยวข้าจะกลับมา!”
เขาพุ่งออกไปนำทัพหมัดทั้งสองข้างของเขามีเพลิงสว่างจ้า เขานำทัพไปหาเหล่าศัตรู
เหล่าลูกธนูและหอกที่สัมผัสกับหมัดของเขากลายเป็นฝุ่นผงในทันทีทัพอาณาจักรทมิฬส่งเสียงดังและมีแรงสู้
“เจ้าพวกไร้สมองเอ้ย”
ฮงหยูยิ้มเหยียดหยามและออกคำสั่ง
“ตั้งทัพ!”
ทัพทมิฬได้เปลี่ยนกระบวนรบในทันทีเหล่าพลธนูได้มายืนแนวหน้าขณะที่พลหอกอยู่แนวหลัง
พลหอกหยิบเอาหอกยาวออกมาจากด้านหลังและหักมันเป็นสองท่อนยื่นให้กับพลธนูที่อยู่แนวหน้ากระบวนรบนี้นั้นเหมือนกับตอนที่พวกเขาสู้กับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์
หอกยาวพุ่งเข้าใส่เป้าหมายหอกได้ระเบิดขณะที่อยู่กลางอากาศ กองเพลิงเล็กนับไม่ถ้วนลุกไหม้ทหารอาณาจักรทมิฬจนกลายเป็นทะเลเพลิง ทหารหลายร้อยคนร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดจากเพลิง
จ้าวเจ็ดคิดอ่านไม่ทันการและตกอยู่ในกองเพลิงด้วยแต่เขาที่เป็นภูติระดับสองใช้พลังชีวิตป้องกันเพลิงไม่ให้เผาผิวกายได้
แต่เมื่อเขาใช้พลังชีวิตหอกยาวเล่มหนึ่งก็มาถึงตัวเขาโดยไม่ทันตั้งตัว! พลังชีวิตที่ปกคลุมผิวกายถูกทำลายในทันทีที่หอกพุ่งทะลวงช่องท้องของเขา!
การลอบจู่โจมนี้มิได้สำเร็จเพราะหอกมาอย่างไร้ซุ่มเสียงแต่มันเป็นเพราะเสียงของเพลิงที่ลุกไหม้ได้กลบเสียงอย่างอื่นไป! ท้องนภาที่เต็มไปด้วยเพลิงยังขัดขวางดวงตาของเขาจนมองไม่เห็นหอก
ฮงหยูที่เชี่ยวชาญการรบนั้นสามารถจัดการกับสภาพแวดล้อมให้เป็นใจได้เพื่อสังหารแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม
“ระเบิดไปซะ”
ฮงหยูหัวเราะอย่างเยือกเย็น
หอกเล่มยาวที่แทงร่างจ้าวเจ็ดระเบิดในพริบตาเพลิงได้แผดเผาเขาจากภายใน จ้าวเจ็ดกรีดร้องอย่างน่าเวทนา ภูติระดับสองตายไปทั้งอย่างนั้น!
ทัพทมิฬแทบจะไม่เป็นอะไรเลย!เหล่าจ้าวแห่งความมืดใจหายเมื่อเห็นสิ่งวที่เกิดขึ้น ทัพทมิฬมันเป็นกองทัพแบบใดกัน?
พวกเขาใจหายยิ่งกว่าเดิมเมื่อมองจ้าวหนึ่ง
ในไม่ถึงสิบกระบวนท่าระหว่างเขากับสี่ศักดิ์สิทธิ์บาดแผลชุ่มโลหิตปรากฏอีกครั้งที่อกของจ้าวหนึ่ง โลหิตพุ่งออกมาจากปากของเขา
แต่สี่ศักดิ์สิทธิ์กลับไม่เป็นอะไรเลยเขาไม่ได้ก้าวเดินแม้แต่ก้าวเดียวด้วยซ้ำ!
“ถึงฐานพลังของเจ้าจะอยู่ในขั้นดีพื้นฐานของเจ้าก็อ่อนแอนัก วิชาของเจ้าก็เป็นวิชาระดับต่ำ ถ้าเป็นในจิวโจว เจ้าคงจะสู้กับได้สูสีกับภูติระดับห้าเท่านั้น”
สี่ศักดิ์สิทธิ์วิเคราะห์พลังของจ้าวหนึ่ง
เขาละสายตาไปมองทัพทมิฬ
“ฆ่ามันให้หมดมาจบเรื่องนี้โดยเร็ว”
“ขอรับ!”
แม่ทัพฮงหยูตอบรับด้วยความนับถือเขามองไปยังทัพอาณาจักรทมิฬและหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“พวกมันก็แค่ขยะ!ฆ่ามันต่อไป!”
เมื่อได้ยินคำสั่งที่ดูธรรมดาทัพทมิฬได้เปลี่ยนกระบวนรบอีกครั้ง ทุกการโจมตีของทัพทมิฬจะคร่าชีวิตคนอาณาจักรทมิฬไปมากกว่าสิบชีวิต
ทหารอาณาจักรทมิฬลดจำนวนลงด้วยความรวดเร็วพวกเขาจะต้านต่อไปได้อีกไม่กี่นาทีเท่านั้น!
สถานการณ์ที่พลิกผันทำให้เหล่าจ้าวแห่งความมืดตื่นตระหนกพวกเขากำลังย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด!
“อีกคนหนึ่งไปที!”
จ้าวหนึ่งพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ณตอนนี้ มีแค่จ้าวลำดับที่สอง สี่ ห้า และหกเท่านั้นที่รวมกลุ่มกัน จ้าวสองช่วยจ้าวสี่และจ้าวห้ารับมือกับทัพของห้าและหกศักดิ์สิทธิ์ ส่วนจ้าวหกเองก็กำลังต่อสู้กับเก้าศักดิ์สิทธิ์
ทุกคนล้วนสงสัย…พวกเขาจะเอาคนจากไหนมาอีก?
“ข้าเอง!”
จ้าวหกกัดฟันพูด
พลังของเขาไม่ต่างจากจ้าวเจ็ดมากนักทั้งคู่เป็นภูติระดับสอง ถ้าเขาไปตอนนี้ เขาก็อาจจะไม่ได้ลงเอยดีไปกว่าจ้าวเจ็ด นี่คือภารกิจฆ่าตัวตายอย่างเห็นได้ชัด!
แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นดูเหมือนว่าพวกเขาเพียงแค่ยื้อเวลาตายของตัวเอง
จ้าวแห่งความมืดที่เหลือมิอาจผละมือมาได้ต่อให้มีหนึ่งคนที่ผละตัวออกมา คนที่เหลือก็จะตายอย่างแน่นอน
มีเพียงจ้าวหกที่จะยื้อเวลาได้แม้จะไม่มาก แต่การไปของเขาก็คือการส่งตัวเองไปตาย
จ้าวหกหายใจเข้าลึกด้วยความมุ่งมั่น
“ไอ้พวกบัดซบข้าจะฆ่าเจ้าให้หมด!
แม่ทัพฮงหยูหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“อยากตายนักรึไงเจ้าไม่มีสิทธิ์อะไรจะมาสู้กับพวกข้า แต่ถ้าอยากตายก็จงตายไปซะเถอะ”
เหล่าพลธนูและพลหอกรีบเปลี่ยนกระบวนรบแต่จากนั้นก็มีศรพลังชีวิตทะลวงผ่านนภาไปยังทัพทมิฬ
แม่ทัพฮงหยูมองมัน
“ใครน่ะ?ศรพลังชีวิตนี่ไม่ได้ผลหรอก ช่างมันไปเ…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบศรพลังชีวิตได้ระเบิดออก! มีเส้นขนสีขาวหลายสิบเส้นกระจายออกมาจากแรงระเบิด มันกระจายไปยังทุกทิศทาง
พร้อมกันนั้นเสียงร้องจากความเจ็บปวดดังก้องหูทุกคน คนที่ได้สัมผัสกับขนสีขาวกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที!
เพียงพริบตาเดียวทหารสามสิบคนของทัพทมิฬได้กลายเป็นฝุ่นผง! ภาพอันน่าตกใจทำให้แม้แต่คนในอาณาจักรทมิฬตกตะลึง
“พิษม้าเมฆา!”
แม่ทัพฮงหยูตัวแข็งทื่อในแววตามีความหวาดกลัว
ถ้าหากมองทัพทมิฬตอนนี้ก็จะเห็นว่าท่าทางประดุจเหล็กล้าที่เคยมีได้กลายเป็นความตื่นตระหนกเมื่อมองไปยังทิศของลูกธนูพวกเขาราวกับได้เห็นอสูรปรากฏกาย
“ซากทัพอย่างพวกเจ้ากล้าดียังไงที่มาก่อความวุ่นวายเช่นนี้?”
เสียงเย็นชาดังมาจากชายหนุ่มผมสีเงินเขาปรากฏตัวจากเบื้องบน ในมือของเขามีธนูสีเงินอยู่ด้วย