The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 695-696
DND.695 – กระบี่ที่แผ่นหลัง
ซือหยูเลิกคิ้วเล็กน้อยแสงจางๆสะท้อนในดวงตาเขาไปครู่หนึ่ง
“เข้ามาข้าจะจัดการเจ้าสามคนเอง และข้าจะฆ่าเจ้าก่อน”
ซือหยูยืนมือไพล่หลังและแสยะยิ้มเมื่อมองไปยังศัตรูทั้งสามเขาจ้องมองไปที่เก้าศักดิ์สิทธิ์ยี่ซง ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้แก้แค้นกับเรื่องราวทั้งหมด
ห้าศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วเบาๆ
“อะไรกัน?ยี่ซง เจ้ารู้จักเขาด้วยรึ?”
ยี่ซงเริ่มโศกเศร้ากับอดีตที่ได้ทำกับซือหยูสีหน้าของเขาหม่นหมองลง
“ในอดีตเขาเป็นแค่มดปลวกเท่านั้น แต่เขาก็เติบโตมาจนมีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ถึงพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นมามาก จิตใจของเขาก็ยังไม่เติบโตเพราะคิดว่าจะต่อสู้กับท่านทั้งสองได้ด้วยตัวคนเดียว! เขามันโง่จริงๆ”
“อัตตาหนานัก!”
หกศักดิ์สิทธิ์ตะโกนอย่างเยือกเย็น
“แค่ข้าคนเดียวก็จัดการคนอวดดีอย่างมันได้แล้วไม่ต้องช่วยข้า”
แต่ห้าศักดิ์สิทธิ์กลับโบกมือปฏิเสธ
“เจ้าอย่าประมาทเด็กนี่เอาชนะทัพทมิฬได้ มันคงมีท่าพิเศษอยู่แน่ ถ้ามันกล้าสู้กับพวกเราคนเดียว เราจะประมาทเกินไปไม่ได้”
“ในการประลองนี้ยี่ซงจะช่วยพวกเราจากด้านข้าง ข้ากับเจ้าจะจู่โจมจากทั้งสองด้าน”
หลังจากที่พูดจบห้าศักดิ์สิทธิ์หันไปจ้องมองซือหยูและพูดช้าๆ
“ตามแผนเดิมของเราข้าจะต้องนำทัพใหญ่ไปโค่นทวีปเหนือ การเผชิญหน้าของเจ้ากับข้านั้นช้าไปจริงๆ”
ซือหยูแววตาเยือกเย็น
“เจ้าควรจะดีใจที่ไม่ได้มาทำสงครามกับข้ามิเช่นนั้นคนที่พูดกับข้าก็คงไม่ใช่เจ้า”
สิ่งที่เขาไม่ได้พูดก็คือ…ถ้าหากห้าศักดิ์สิทธิ์นำทัพในวันนั้นเขาก็คงจะตายไปแล้ว
“อย่างนั้นรึ?เช่นนั้นข้าก็โชคดีสินะที่ไม่ได้เห็นว่าเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์แข็งแกร่งเพียงใด”
ห้าศักดิ์สิทธิ์แววตาคมกริบ
“เอาเลย…”
ทั้งสามหายไปทั้งหมดพุ่งเข้าใส่ซือหยู
ซือหยูจ้องไปที่ยี่ซงดวงตาที่ราวกับมีดวงดาราอยู่ภายในเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง ยี่ซงรู้สึกสั่นไปทั้งตัวเมื่อถูกมองด้วยสายตานั้น เขาอึดอัดใจอย่างมากราวกับถูกสัตว์ประหลาดกินคนจ้องมอง
แต่เขาก็เบาใจไปบ้างเมื่อเห็นผู้ศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนที่หางตา
“เจ้าหนูเจ้าเกลียดข้าแล้วมันยังไงเรอะ? ถ้ามีท่านทั้งสองคนนี้อยู่ เจ้าก็ใส่ใจแต่ชะตาของเจ้าเองเสียเถอะ พอฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจะไปจับนังผู้หญิงพวกนั้นอีก”
ซือหยูแววตาเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิมเขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายที่มุมปาก
“หึหึข้าบอกแล้วว่าจะฆ่าเจ้าก่อน ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
“เจ้าหนูเป็นห่วงตัวเจ้าเองก่อนเถอะ!”
เสียงตะโกนดังมาจากข้างหูของเขาเมื่อห้าศักดิ์สิทธิ์เข้าถึงตัวพลังชีวิตอันน่ากลัวที่เท้าของเขาย่ำลงไปที่อกของซือหยู
พร้อมกันนั้นหกศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าจู่โจมทางด้านซ้ายได้ซัดกระบี่ไปยังหัวใจของซือหยู การจู่โจมนั้นเด็ดขาดและรวดเร็วปานสายฟ้า ทั้งคู่ไปถึงตัวซือหยูก่อนที่เขาจะโต้ตอบทันเสียอีก
เหล่าจ้าวแห่งความมืดเบิกตาโพลง
การต่อสู้…จบลงแล้วรึ?
มิใช่ว่าซือหยูตอบโต้ไม่ได้แม้แต่น้อยรึ?
ซ่า!
เสียงเบาๆดังขึ้นร่างของซือหยูกลายเป็นเศษเสี้ยวและกระจายหายไปราวกับกลีบบุพผา
“ร่างปลอมรึ?แย่แล้ว ยี่ซง”
เมื่อห้าศักดิ์สิทธิ์จู่โจมซือหยูเขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปและต้องรีบหันไปมอง
หกศักดิ์สิทธิ์ชักสีหน้า
“ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์!มันวางร่างปลอมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ทั้งคู่หันไปมองรอบๆและพบว่ามีคนในร่างเพลิงปรากฏด้านหลังยี่ซงเงียบๆและดันฝ่ามือไปที่หัวใจของเขา ยี่ซงมีเพียงเวลาได้เหลือบมองใบหน้าอันเยือกเย็นที่อยู่ด้านหลังเท่านั้น
“ท่านสี่ศักดิ์สิทธิ์ช่วยเขาที”
ห้าศักดิ์สิทธิ์ทำได้แค่ขอความช่วยเหลือจากสี่ศักดิ์สิทธิ์ที่มองดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ
แม้ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎแต่มันก็ดีกว่าเสียคนของตัวเองไป แต่สี่ศักดิ์สิทธิ์กลับยืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหว แม้แต่สีหน้าของเขาก็ไม่แปรเปลี่ยน ราวกับว่าเขาเป็นเพียงรูปปั้น
“อ๊ากกก!”
อกของเก้าศักดิ์สิทธิ์ถูกหมัดเพลิงทะลวงจนทะลุไปอีกด้านแม้กระนั้น สี่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ทำอะไรหรือเปลี่ยนสีหน้าเลย
ฟึ่บ!
แสงส่องประกายร่างของสี่ศักดิ์สิทธิ์จางหายเป็นฝุ่นผง
“นั่นมันร่างเงาของท่านสี่ศักดิ์สิทธิ์”
ห้าและหกศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึงเพราะสี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทิ้งร่างเงาเอาไว้จะต้องไม่อยู่ที่นี่เลย
“เป็นอย่างที่ร่างจริงของข้าพูดจริงๆ…สี่ศักดิ์สิทธิ์แค่จัดฉากการประลองเพื่อยื้อเวลา”
ร่างปลอมสีเพลิงมองดูเก้าศักดิ์สิทธิ์ที่หมดลมหายใจขณะลืมตาเขาดึงหมัดเพลิงกลับ
สถานการณ์ที่พลิกผันทำให้เหล่าจ้าวแห่งความมืดงุนงง
“ถ้าซือหยูทิ้งร่างปลอมไว้สองร่างแล้วเขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”
จ้าวหนึ่งใจเต้นแรง
หลังจากที่พูดว่าเขาจะสู้กับผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามตามลำพังซือหยูได้ทิ้งไว้เพียงแต่ร่างปลอม พวกเขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับห้าและหกศักดิ์สิทธิ์ยังไง!
คนเดียวที่พอจะต่อสู้ได้ก็คือจ้าวสองที่เป็นภูติระดับห้าแต่เขาก็อ่อนแอกว่าห้าศักดิ์สิทธิ์! ดังนั้นจ้าวสองจึงต่อสู้ไม่ได้แม้จะไม่มีหกศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ความต่างในด้านพลังเช่นนี้ พวกเขาจะต้องถูกบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน
“เขาไปแล้ว…”
ร่างปลอมตอบอย่างใจเย็น
จ้าวหนึ่งรู้สึกว่าสิ่งรอบข้างมืดหม่นลงเขาแทบจะเป็นลม
“ซือหยูเจ้าทำลายพวกเราจริงๆ…”
เขาพูดเบาๆ
ถ้าซือหยูไม่หัวแข็งและร่วมมือกับพวกเขาพวกเขาก็อาจจะเอาชนะศัตรูทั้งสามได้ แต่ตอนนี้ซือหยูหนีไปตั้งแต่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น ซือหยูทิ้งให้พวกเขาอยู่กับพวกต่างโลกตามลำพัง! ถ้าหากคิดให้ดี พวกเขาถูกซือหยูทำแบบนี้มาสองครั้งแล้ว!
“ร่างหลักของข้าวางแผนทุกอย่างไว้อย่างดีเจ้าจะเศร้าไปทำไม”
ร่างปลอมสีโลหิตเพลิงพุ่งไปหาห้าศักดิ์สิทธิ์ดั่งสายฟ้า
“ร่างหลักของข้าทำเรื่องที่เจ้าจะต้องแปลกใจก่อนจะออกไปจากที่นี่ไว้ด้วยเขาตั้งใจจะส่งของขวัญนั้นกับเจ้าตอนที่เจ้ามาทวีปเหนือ แต่มันก็ยื้อมาจนถึงตอนนี้ แต่มันก็ยังไม่สายไป จงลิ้มรสมันซะเถอะ”
เมื่อเขาพูดเขามองไปยังหกศักดิ์สิทธิ์และสูดหายใจเข้าลึก
“โอรสสวรรค์จ้องนภา…คุมวิญญาณ…เริ่มได้!”
เขาตะโกน
หกศักดิ์สิทธิ์ดูสับสนในใบหน้าพร้อมกันนั้น แววตาของเขาได้หายลับไป ตอนนี้เขาไม่ต่างจากหุ่นเชิด!
ฟึ่บ!
หกศักดิ์สิทธิ์หันไปและแทงกระบี่ไปยังห้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างๆเสียงกรีดร้องของห้าศักดิ์สิทธิ์ดังก้องก้นบึ้งมังกรเมื่ออกของเขาถูกแทงทะลุ
“เจ้าทรยศพวกข้าเรอะ?ไม่สิ…เจ้าถูกควบคุม…”
ห้าศักดิ์สิทธิ์เป็นภูติระดับห้าแม้ร่างของเขาจะถูกกระบี่แทงทะลุ แต่มันก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
เขาเอามือปิดปากแผลที่โลหิตไหลและรีบถอยออกมาเขามองหกศักดิ์สิทธิ์ที่เสียความรู้สึกนึกคิด เขาทั้งตกใจและสับสน…
ตลอดมาข้าอยู่กับหกศักดิ์สิทธิ์มาตลอด ทำไมข้าไม่รู้เล่าว่าเขาถึงถูกควบคุมอยู่?
เขาไม่รู้ว่าซือหยูได้สร้างผนึกในตัวหกศักดิ์สิทธิ์ไว้ล่วงหน้าโดยที่เขาไม่รู้ตัว!และผนึกในร่างนั้นยังใช้งานได้ดั่งใจคิด และพอถึงตอนนั้น สติของหกศักดิ์สิทธิ์จึงถูกชิงเอาไปและต้องทำตามคำสั่งซือหยูทุกอย่าง
การคุมวิญญาณของโอรสสวรรค์จ้องนภาจะทำให้ซือหยูควบคุมคนที่พลังไม่เหนือกว่าเขาเกินกว่าหนึ่งขอบเขตและเขาก็ใช้มันกับหกศักดิ์สิทธิ์! เขาใช้มันเพื่อรอเก็บไว้เป็นไพ่ตายตอนที่ห้าศักดิ์สิทธิ์จะนำทัพมาทำสงคราม แต่เหตุกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะห้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ก้นบึ้งมังกรตลอดมา
“คนตายอย่างเจ้าจะรู้ไปทำไมกัน?”
ร่างเทียมเพลิงพูดอย่างเยือกเย็นก่อนจะมองเหล่าจ้าวแห่งความมืดด้วยหางตา
“ข้าจะทิ้งเรื่องที่เหลือให้พวกเจ้าจัดการถ้าพวกเจ้าฆ่าห้าศักดิ์สิทธิ์ที่เจ็บหนักเช่นนี้ไม่ได้ พวกเจ้าก็ทุบตำหนักเจ็ดจ้าวทิ้งไปซะเถอะ ลาก่อน”
เหล่าจ้าวแห่งความมืดตกตะลึงพวกเขารู้สึกละอายใจเมื่อรู้ว่าซือหยูได้วางแผนทุกสิ่งเอาไว้แล้ว
เขาดูเหมือนกับเด็กหนุ่มไร้เดียงสาเมื่อมองจากภายนอกแต่ตอนนี้ แม้แต่จ้าวหนึ่งก็หน้าแดงด้วยความอับอาย
จ้าวหยึ่งลังเลก่อนจะพูดช้าๆ
“ขอถามเจ้าได้หรือไม่…เจ้าพันธมิตรซืออยู่ที่ไหนกัน?”
ร่างปลอมเพลิงตอบอย่างใจเย็น
“เขาอยู่ที่ปลายรอยแยกมิติร่างหลักบอกให้พวกเราออกจากก้นบึ้งมังกรโดยเร็ว เพราะทุกอย่างยังไม่จบ”
ทุกคนประทับใจอย่างมากเมื่อมองร่างปลอมที่กำลังจางหายไปดูเหมือนว่าพวกเขากำลังคิดถึงชายหนุ่มที่ยืนอยู่เพียงลำพังบนหน้าผา และพยายามช่วยพวกเขาจากวิกฤติครั้งใหญ่
“มาสู้กันเถอะ!ไม่ต้องออมมืออีกแล้ว”
ความรู้สึกต่างๆเอ่อล้นจากจ้าวหนึ่งเขาละสายตาจากร่างปลอมไปยังศัตรู
ภูติระดับห้าของศัตรูบาดเจ็บหนักในขณะที่ฝั่งพวกเขายังมีจ้าวสองที่เป็นภูติระดับห้าและหุ่นเชิดมนุษย์ที่เป็นภูติระดับสี่ง่ายดายนักที่พวกเขาจะสังหารศัตรู
ทั้งสองฝั่งเริ่มต่อสู้กันทหารฝั่งศัตรูพ่ายแพ้ไปหลายคน การต่อสู้ได้พลิกผันและจบลงในไม่นาน ทหารทัพทมิฬที่เหลือถูกสังหารตายหมด
ห้าศักดิ์สิทธิ์ที่ผมกระเซิงและปากเต็มไปด้วยโลหิตมองดูผลของการต่อสู้เขามีบาดแผลอีกหลายแห่งบนร่าง พลังชีวิตของเขายุ่งเหยิงอย่างควบคุมไม่ได้ ดูเหมือนเขาใกล้จะหมดลมหายใจ
ส่วนฝั่งจ้าวแห่งความมืดจ้าวสองนั้นเจ็บหนักขณะที่หกศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกควบคุมแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ทั้งร่างของเขามีแต่บาดแผล
“สมกับเป็นห้าศักดิ์สิทธิ์”
จ้าวสองกระอักไม่หยุดความตกตะลึงนั้นฉาบอยู่ในแววตา แม้เขาจะต่อสู้กับห้าศักดิ์สิทธิ์แค่คนเดียว เขาก็บาดเจ็บอย่างรุนแรง
“แต่…ห้าศักดิ์สิทธิ์เอ๋ยมันจะจบเดี๋ยวนี้แหละ”
จ้างสองกัดฟันศัตรูของเขาเหนื่อยล้าเต็มทน เขาเพียงแค่ต้องจู่โจมอีกครั้งเดียว
ห้าศักดิ์สิทธิ์เริ่มตัวสั่นแววตาของเขาที่ถูกเส้นผมปกปิดแดงดั่งโลหิต เขามองคนฝั่งเฉินหลงและมองไปยังหกศักดิ์สิทธิ์ที่ตอนนี้เป็นหุ่นเชิด
เขาพูดอย่างโศกเศร้า
“ข้ามีชื่อเสียงและความสำเร็จมากนักจากการเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แต่ข้าต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าไม่ได้พ่ายแพ้เพราะพวกเจ้า แต่กลับเป็นเพราะไอ้เด็กเวรนั่น! ต่อให้เป็นผี ข้าก็จะไม่ปล่อยมันไป!”
เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวเขามองไปยังทิศทางของซือหยูและบินเข้าไป ดูเหมือนว่าเขาต้องการให้ซือหยูตายไปกับเขา
“หยุดมัน!”
จ้าวหนึ่งตะโกน
จ้าวสองพยายามเข้าไปขวางห้าศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้แววตามีแต่ความบ้าคลั่ง
“ไสหัวไป!ไอ้พวกมดปลวกไร้ค่าเอ้ย”
เขาอ้าปากปล่อยหมอกโลหิตมันกลายเป็นค้างคาวสองตัว ค้างคาวสองตัวนั้นเข้าไปพยุงร่างเขาจากทั้งสองด้าน ไม่นานเขาก็หายตัวไปในพริบตา
เพราะอย่างไรเขาก็เป็นองครักษ์เงาทมิฬจากจิวโจววิชาลับที่ใช้หนีที่เขามีนั้นมิใช่สิ่งที่คนเฉินหลงจะเทียบได้ จ้าวสองกับคนอื่นไล่ตามไม่ได้เลย พวกเขาคลาดสายตาจากห้าศักดิ์สิทธิ์
DND.696 – การมาของจ้าวเทวะ
ห้าศักดิ์สิทธิ์หนีไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาจ้าวหนึ่งไม่พอใจ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
“พวกเรามันก็แค่เศษขยะจริงๆ!”
ซือหยูสร้างสถานการณ์อันสมบูรณ์แบบให้กับพวกเขาแต่พวกเขาก็ฆ่าห้าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ทุกคนที่นี่รู้สึกละอายใจอย่างมากและไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับซือหยูได้อีก
…
ที่ปลายรอยแยกมิติของก้นบึ้งมังกรรอยแยกหลากสีสว่างจ้าขึ้น ถัดจากรอยแยกก็คือชายวัยกลางคนที่สวมผ้าคลุม เขาคือสี่ศักดิ์สิทธิ์!
“นายท่านข้าทำตามที่ท่านบอกแล้ว ข้าสะสมพลังชีวิตมากพอที่จะขยายรอยแยกจนจ้าวเทวะผ่านได้แล้ว”
สี่ศักดิ์ศิทธิ์ให้ความนับถือกับคนอีกฝั่งอย่างมาก
รอยแยกนี้คือจุดเชื่อมต่อระหว่างเฉินหลงกับจิวโจวสามปีมาแล้วที่มีเพียงเหล่าภูติที่ผ่านมาได้ นั่นเป็นเพราะเส้นทางนี้มิอาจผ่านได้โดยสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเกินไป มันคล้ายกับกระโจมเทพสวรรค์ที่ไม่ให้คนที่มีพลังเหนือกว่าภูติเข้าไปได้
“เจ้าทำได้ดีเจ้ารวบรวมพลังชีวิตจากพวกคนอ่อนแอในจิวโจวมาขยายเส้นทางของสองโลก สามปีของพวกเราไม่ได้สูญเปล่า!”
แม้คนจากเฉินหลงจะสัมผัสพลังแปลกๆที่เก็บสะสมพลังวิญญาณของพวกเขาไปแต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจความหมายของมัน
“ของคุณที่ท่านเอื้อเฟื้อ”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ตอบเบาๆ
“เอาล่ะขอบคุณที่เจ้าลำบาก ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเหล่าจ้าวเทวะ เรื่องพวกแนวหน้าเจ้าก็รู้แล้ว ถ้าเราเดาไม่ผิด ทหารพวกนั้นมีพลังไม่น้อยไปกว่าหนึ่งในสิบของเรา พวกจ้าวเทวะก็เกินพอที่จะจัดการพวกมัน”
คำพูดอันน่าตกใจดังมาจากรอยแยก
จนถึงตอนนี้ทหารต่างโลกที่เข้ามาถึงเฉินหลงเป็นแค่ทหารแนวหน้า! กำลังที่แท้จริงยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ!
เห็นได้ชัดว่าทหารแนวหน้ามาที่นี่เพื่อดูลาดเลาของจักรพรรดิจิวโจวคนก่อน…
แม้ว่าทวีปเฉินหลงกำลังจะล่มสลายจักรพรรดิคนก่อนก็ไม่ปรากฏตัวออกมาสักครั้ง
“เพื่อความสำเร็จของราชาข้าข้าพร้อมทำทุกอย่าง…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยความนับถือ
ที่อีกฝั่งของรอยแยกเงียบไปผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง แสงจากรอยแยกสว่างจ้าขึ้น มันทำให้ก้นบึ้งมังกรอันมืดมิดสว่างไสว!
ถ้ารอยแยกเปิดออกเต็มทีเมื่อไหร่ทวีปเฉินหลงจะเข้าสู่ยุคมืด เสียงสดใสดังสะท้อนเข้ามา
“อ้อเป็นอย่างนี้นี่เอง…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองความมืดเขาเห็นชายหนุ่มร่างผอมเดินออกมาอย่างเรียบเฉย
เขามีหน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดาดวงตานั้นราวกับมีจักรวาลอยู่ภายใน
เขาสวมชุดที่ดูธรรมดาและไม่ได้เปรอะเปื้อนกับฝุ่นหรือเศษดินผมสีเงินของเขาถูกรวบไว้ที่ด้านหลัง
เมื่อสายลมพัดผ่านชุดขาวได้โบกสะบัดไปพร้อมกับเส้นผมสีเงิน มันช่างแตกต่างกับความมืดมิดของที่นี่ เขาดูเหมือนกับภูติผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งจะมาถึง
สี่ศักดิ์สิทธิ์เบิกตากว้าง
“เจ้าได้ยินอะไร?”
ซือหยูเดินมือไพล่หลังเข้ามาเขายิ้มที่มุมปาก
“ไม่ว่าเรื่องที่ควรได้ยินหรือเรื่องทีไม่ควรได้ยิน ข้าได้ยินมันทั้งหมดนั่นแหละ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้มาสายไปนะ”
ถ้าซือหยูไม่ได้ยินเองก็คงยากจะเชื่อว่ากองทัพที่เฉินหลงได้ต่อสู้ด้วยนั้นเป็นเพียงทหารแนวหน้าส่วนเหล่าจ้าวเทวะที่เป็นกำลังที่แข็งแกร่งจริงๆนั้นยังไม่ปรากฏตัวด้วยซ้ำ
จ้าวเทวะ…ภาพของลู่จือยี่ปรากฏในใจซือหยูเขาตัวสั่นเมื่อคิดถึงความเยือกเย็นในสายตานาง เขาจะต้องไม่ปล่อยให้จ้าวเทวะมาถึงที่นี่ มิเช่นนั้นเฉินหลงจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน!
“เจ้ามองแผนข้าออกตั้งแต่แรกเลยรึ?”
สี่ศักดิ์สิทธิ์หนักใจเล็กน้อย
“อย่ามามัวเสียเวลาอยู่เลยรอยแยกมันเริ่มขยายแล้ว ไม่มีใครหยุดมันได้อีกแล้ว”
ซือหยูเหลือบมองรอยแยกมิติและยิ้มออกมา
“จะใช่งั้นรึ?ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมเจ้าต้องแอบกลับมาคอยดูมันด้วยเล่า? ข้าว่าขั้นตอนที่มันขยายก็คงเป็นตอนที่มันอ่อนแอที่สุดมากกว่า”
สี่ศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากพอที่จะสังหารพวกเขาทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัยแต่เขาก็เลือกที่จะกลับมาเพื่อปกป้องที่นี่ด้วยความระวังตัว นั่นแสดงถึงสภาวะที่อ่อนแอที่สุดของรอยแยกมิติที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะพลังระดับต่ำก็ทำลายได้
“เจ้าค่อยพูดตอนที่เข้าใกล้มันได้เถอะ!”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ปล่อยจิตสังหารออกมา
ซือหยูฉีกยิ้มกว้างขึ้นเขาเดาถูกเผง
ซ่า
เสียงถูกส่งผ่านมายังม่านแสงของรอยแยกมิติ
“นี่เจ้าเขาเป็นใครกัน?”
คนที่พูดมาคราวก่อนโพล่งออกมา
“นายท่านเขาคือผู้นำของทวีปนี้ เขาเป็นคนที่ล้างบางทัพทมิฬ เขายังฆ่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือไปแล้วด้วย”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ตอบด้วยความนับถือ
“โอ้ฆ่ามันเดี๋ยวนี้ อย่าให้มันมาขวางแผนของเรา ข้าจะส่งสามศักดิ์สิทธิ์ไป…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าคนเดียวก็เอาอยู่!”
“จ้าวหนึ่งของฝั่งเจ้ารับสามกระบวนท่าของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำอยากรู้นักว่าเจ้ากล้าดียังไงถึงจะมาสู้กับข้า!”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้นช้าๆเขาฟันมือออกไป
“แสงเทพล้างวิญญาณ!”
เมื่อเขาพูดโล่สีทองได้ปรากฏจากกลางฝ่ามือ โล่นั้นขยายจนมีขนาดใหญ่
โล่ที่พุ่งเข้ามานั้นทำลายทุกสิ่งในเส้นทางทุกอย่างที่สัมผัสกับมันกลายเป็นฝุ่นผงในทันที
“ทุกคนที่ระดับต่ำกว่าข้าต้องตายปกติข้าจะใช้มันสังหารคนแบบกลุ่ม แต่ข้าใช้มันเพื่อไม่ให้เจ้าเข้าใกล้รอยแยกมิติได้”
สี่ศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างหนักแน่น
เขารู้ว่าซือหยูไม่มีทางเลือกนอกจากถอยกลับแต่เขาก็ต้องตกใจที่ซือหยูไม่ได้ถอย เขายังหยิบหุ่นเชิดเล็กๆออกมาอีกด้วย
หุ่นเชิดเปล่งแสงมันมีรูปร่างคล้ายสุนัข สี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร เขางุนงงไปชั่วขณะ
แต่ทันใดนั้นคนจากรอยแยกก็ตะโกนด้วยความตกใจ
“นี่เจ้ารีบถอยออกมา! นั่นมันหุ่นเชิดกลไกระดับภูติขั้นกลาง!”
ในเสียงนั้นมีความตกใจความแปลกใจ และความกังวล เขายังพูดต่อไป
“เจ้าเจอกับคนที่น่ากลัวเข้าแล้วถ้าข้าจำไม่ผิด มีแค่หยูฉิวฮั่นเท่านั้นที่สร้างหุ่นเชิดแบบนี้ได้ คนจากเฉินหลงที่มีสิ่งนี้คือชายหนุ่มที่เคยไปกระโจมเทพสวรรค์ เขาเคยฆ่าจ้าวเทวะที่ไปที่นั่นด้วย!”
ตู้ม
สายฟ้าลั่นในใจของเขาสี่ศักดิ์สิทธิ์ชักสีหน้า ข่าวเรื่องซือหยูมิใช่ความลับในจิวโจว แต่สี่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยเห็นพลังของเขากับตา
และเมื่อสี่ศักดิ์สิทธิ์รวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกันใบหน้าเขาก็ขาวซีดราวกับผี เขาหัวใจเต้นระรัว ราวกับว่าชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอตรงหน้าเขานั้นน่ากลัวกว่าสิ่งใด
ซือหยูโยนหุ่นเชิดสุนัขตัวน้อยไปที่พื้นดวงตาของหุ่นเชิดที่ว่างเปล่าเปล่งแสงสีเลือดออกมา ดูเหมือนมันจะมีพลังที่ดุร้ายซ่อนอยู่ภายใน
ซือหยูมองดูใกล้ๆและพบว่ามันคือวิญญาณสัตว์อสูรมันคือหุ่นเชิดที่มีสัตว์อสูรอยู่ภายใน
โฮก
เสียงคำรามดังก้องสุนัขตัวน้อยเปล่งลำแสงสีเลือดออกจากดวงตาปะทะกับโล่ที่ขยายขนาดมาใกล้ซือหยู
แกร๊ก
โล่แสงของเขาแตกออกสี่ศักดิ์สิทธิ์เจ็บปวดอย่างมาก โลหิตพุ่งออกมาจากปากของเขา
เขาเบิกตากว้างเมื่อมองหุ่นเชิดสุนัขที่ขนาดเท่าฝ่ามือเขากลัวมันมาก
“ฆ่ามัน…”
ซือหยูพูดโดยไม่หันไปมอง
ซือหยูก้าวไปยังรอยแยกมิติ
“หึหึพวกเจ้าควรจะขออนุญาตข้าก่อนจะมาที่เฉินหลง!”
ในที่สุดเขาก็จะผนึกที่นี่ได้เพียงแค่คิดก็ทำให้น้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมาแล้ว