The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 709-710
DND.709 – โฉมหน้าจริงของจ้าวศักดิ์สิทธิ์
คลื่นแรงกดดันที่มีแต่จ้าวเทวะสร้างได้แผ่ออกมาซือหยูเคยเดาว่าเขาคงไม่ได้ต่อสู้กับจ้าวศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวในศึกนี้ เพราะจะมีภูติอีกหลายคนปรากฏตัวด้วย
แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะมีจ้าวเทวะมาด้วย!จากที่เขาเคยได้เจอกับลู่จือยี่ เขาเข้าใจดีว่าจ้าวเทวะน่ากลัวอย่างไร จ้าวเทวะมิใช่สิ่งที่ภูติจะเทียบได้เลย
แค่ประสงค์เดียวของจ้าวเทวะก็ชี้ชะตาของภูติได้และแม้แต่ซือหยูจะมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้หลายใบ เขาก็ยังรู้สึกหมดหวังถ้าต้องเจอกับจ้าวเทวะ
แม้ว่าเขาจะทำท่าทีเยือกเย็นเขาก็เป็นกังวลอย่างสุดขั้ว เขาระวังตัวอย่างมากเพราะรู้ว่าจ้าวเทวะจะลงมือได้ทุกเมื่อ
ผู้เฒ่าจิวที่อยู่ในก้นบึ้งมังกรรู้สึกเศร้าหมอง
“องครักษ์แสงกระจ่างฟู่กุย”
ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตกลางก็คือเหล่าองครักษ์แสงกระจ่างซึ่งนำโดยผู้ที่เชี่ยวชาญฝ่ามือดับสวรรค์และองครักษ์เงาทมิฬก็นำโดยจ้าวศักดิ์สิทธิ์
ในอดีตทวีปเฉินหลงถูกทำลายโดยฝ่ามือเทพดับสวรรค์ อารยธรรมมากมายถูกทำลายในการโจมตีนั้น และที่เฉินหลงยังมีรอยฝ่ามือมหาศาลหลงเหลือมาจนถึงตอนนี้
ชายในชุดสีอำพันผู้นี้อยู่ห่างจากก้นบึ้งมังกรหลายสิบลี้แต่เขาก็ได้ยินเสียงอุทานเบาๆของผู้เฒ่าจิวแสงสีเขียวในเบ้าตาของเขาละมาทางก้นบึ้งมังกร
ดูเหมือนว่าเขามองทะลวงไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์เข้าไปได้
“จิวหยวนโจวอดีตองครักษ์แสงกระจ่างลำดับสาม…”
เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ
ความนับถือปรากฏบนใบหน้าเขาไปช่วงหนึ่งแต่เมื่อเห็นสภาพของผู้เฒ่าจิวในตอนนี้เขาก็ยิ้มเยาะที่มุมปาก
“องครักษ์แสงกระจ่างในอดีตที่ขึ้นชื่อในด้านพลังต่อสู้ตอนนี้กลับเป็นแค่นกกระจอกที่ซ่อนตัวอยู่หลังเด็กคนเดียวให้ปกป้อง น่าขันนัก”
ผู้เฒ่าจิวกำหมัดเมื่อได้ยินคำเย้ยหยันเขากัดฟันตอบ
“เจ้ามันก็แค่ช่วยเหลือคนชั่วฆ่าคนนับล้านบาปกรรมจะเอาคืนเจ้าในสักวัน และเจ้าก็จะต้องทนทุกข์ทรมานในสิ่งที่ทำลงไป”
ในอดีตเขาบาดเจ็บหนักจากจักรพรรดิโลหิตเพราะขัดขืนที่จะทำตามคำสั่ง ผู้เฒ่าจิวพูดถึงความอยุติธรรมที่เขาได้รับในครั้งนั้น
“หึหึบาปกรรมเรอะ? องครักษ์แสงกระจ่างในอดีตทำได้แค่เห่าแล้วรึไง?”
ฟู่กุยเย้ยหยัน
“ตอนนั้นข้าต้องเรียกเจ้าตามยศอย่างนับถือ แต่ตอนนี้เจ้ามันก็แค่สุนัขเร่ร่อนเท่านั้น!”
ผู้เฒ่าจิวอัปยศอย่างมากแต่เขาก็ไม่มีทางกู้หน้าได้
“เจ้าหดหัวอยู่ในกระดองของเจ้าไปเถอะพอข้าเจอจักรพรรดิจิวโจวเมื่อไหร่ ข้าจะกลับมาฆ่าเจ้าด้วยมือตัวเอง”
ฟู่กุยเย้ยหยันเขาอีกครั้งก่อนจะหันไปมองซือหยู
“เจ้าเด็กนี่น่าสนใจ!ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้ามีใบไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์มากขนาดนี้ได้ยังไง ยากที่จะหามันแม้แต่ในจิวโจว”
ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์คือไผ่เทวะลำดับหนึ่งและมันก็สูญพันธุ์ไปแล้ว มีเศษส่วนที่เหลืออยู่ของมันอยู่ในมืออสูรเนรมิตรเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย และพวกมันก็ถูกรดโดยแก่นโลหิตของพวกเขาทุกวัน
มันคือสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากมากเขาไม่รู้จริงๆว่าเด็กจากดินแดนบ้านนอกอย่างเฉินหลงมีใบไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์มากจนน่ากลัวขนาดนั้นได้อย่างไร
“ดูเหมือนข้าจะต้องจับเจ้ามาทรมานเค้นความลับเอาสินะ”
ฟู่กุยหรี่ตามอง
ซือหยูสีหน้าหม่นหมองเขาใช้เนตรวิญญาณมองรอบๆ คนในก้นบึ้งมังกรรู้สึกหนักใจเมื่อมองซือหยู พวกเขาคิดว่าซือหยูอาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านได้ทุกเมื่อ!
ซือหยูมองฟู่กุยและตอบอย่างเย็นชา
“ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะตายในวันนี้…”
ซือหยูไม่เคยกลัวการต่อสู้แม้ว่าศัตรูของเขาจะเป็นจ้าวเทวะก็ตาม
“อย่าไปสนใจมันเลยข้าจะจัดการไอ้เด็กนี่เอง เจ้าไปหาจักรพรรดิจิวโจวเถอะ”
ชายหนุ่มบนหอคอยพูดขึ้นมาน้ำเสียงของเขาดูจะไม่หวาดกลัวจ้าวเทวะเลย
ฟู่กุยจ้องมองซือหยูและหรี่ตาไปครู่หนึ่งเขาหันบินไปยังทวีป ซือหยูมองเขาด้วยเนตรวิญญาณ
ในตอนนั้นหอคอยได้ขยับอีกครั้ง มันปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมาหลายครั้ง
“ภูติระดับเก้า”
ซือหยูลืมตากว้างอีกครั้งเขารู้สึกว่ามีพลังที่แข็งแกร่งมากปะปนออกมา แม้มันจะไม่เทียบเท่าจ้าวเทวะ แต่มันก็แข็งแกร่งจนเขาเทียบไม่ติด
เขามองดูมันใกล้และพบคนหลายสิบคนที่สวมเสาื้อผ้าแตกต่างกันได้ปรากฏออกมาจากหอคอยแต่ละคนปล่อยพลังที่ทั้งทวีปต้องสั่นคลอน คนที่อ่อนแอที่สุดคือภูติระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งพอๆกับสามศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญวิชาน้ำแข็ง!
หลังจากที่ซือหยูนับจำนวนเขาก็พบว่ามีภูติระดับเจ็ดยี่สิบคน ภูติระดับแปดสิบคน และภูติระดับเก้าอีกหนึ่งคนที่กำลังจะได้เป็นจ้าวเทวะ!
“สามศักดิ์สิทธิ์กับพวกขยะนั้นพึ่งพาไม่ได้พวกเราก็เลยต้องมาลงมือเองสินะ”
ภูติระดับเก้าที่เป็นผู้นำพูดขึ้นมาเขาเป็นชายวัยกลางคนผมขาวที่ในดวงตามีเส้นโลหิตแปลกๆรายล้อม พลังอันตรายแผ่ออกมาจากดวงตาของเขา
สามสิบเอ็ดคนตรงหน้าซือหยูนี้สามารถบดขยี้เฉินหลงจนแหลกสลายได้แม้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะสร้างภูติมาเป็นร้อยคน พวกเขาก็คงถูกสังหารอย่างง่ายดายเมื่อต้องเจอกับคนเหล่านี้
“ท่านจ้าวศักดิ์สิทธิ์”
ชายผมขาววัยกลางคนโค้งคำนับแก่ชายหนุ่มบนหอคอยคนอื่นๆก็ทำตามเช่นกัน
นี่เป็นการเผยว่าชายหนุ่มบนหอคอยคือจ้าวศักดิ์สิทธิ์จริงๆ…
“สองศักดิ์สิทธิ์เจ้ารับผิดชอบพิชิตทุกมุมในทวีปแล้วไปช่วยฟู่กุยค้นหาจักรพรรดิจิวโจว พบเมื่อไหร่ให้ส่งสัญญาณทันที”
ชายหนุ่มบนหอคอยยืนมือไพล่หลังก่อนจะสั่งการ
“ครับท่าน”
สองศักดิ์สิทธิ์รับคำสั่งและนำคนข้างหลังบินไปสู่แผ่นทวีปทีนี้ก็เหลือแค่ซือหยูกับเขาเพียงสองคน
เมื่อเขามองซือหยูอีกครั้งสีหน้าของเขาก็เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
“ซือหยูในที่สุดข้าก็ได้มีเวลาจัดการกับเจ้าเสียที”
เขาเดินออกมาจากหอคอยสายฟ้าหลายสายสงเสียงคำรามและพุ่งลงไป
หอคอยจักรพรรดิย่อขนาดลงเหลือเท่าฝ่ามือและลอยไปที่มือของชายหนุ่มพลังของหอคอยจักรพรรดิดูอ่อนแอลงไปมาก
“ซือหยูต้องยอมรับจริงๆว่าเจ้าโชคดียิ่งนักในปีที่ผ่านๆมา ไม่มีใครคิดว่าเจ้าจะเติบโตมาถึงเพียงนี้”
ชายหนุ่มเดินช้าๆเมื่อพูด
ซือหยูสีหน้าหม่นหมองยิ่งกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้ว่าพลังของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปในทุกย่างก้าวชายหนุ่มได้เพิ่มพลังจากภูติระดับห้าไปเป็นระดับหก และเป็นระดับเจ็ด!
ทุกย่างก้าวฐานพลังของเขาจะเพิ่มหนึ่งระดับ พลังของเขาเริ่มขึ้นมาเรื่อยๆ มันเป็นพลังที่ซือหยูคุ้นเคย
คนผู้หนึ่งปรากฏในใจซือหยู
“เจ้าคือ…”
รอยยิ้มฉาบใบหน้าชายหนุ่ม
“ดูเหมือนเจ้าจะจำข้าได้แล้วนะซือหยูข้าไม่ได้เห็นเจ้ามานาน เจ้าถูกคนช่วยเอาไว้ในกระโจมเทพสวรรค์ แต่วันนี้…จะไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้อีกแล้ว”
DND.710 – ลาก่อนไทซู
กระโจมเทพสวรรค์รึ?ซือหยูตัวสั่นจนถึงแกนกลาง ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งชัดเจนขึ้นมา
“เจ้าจริงๆด้วย!”
ซือหยูอุทานออกมาดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชิงชัง
เสียงผ้าขาดดังจากร่างชายหนุ่มที่สั่นไหวและเกือบจะหายไปไม่นานก็มีม่านแสงปรากฏออกมาจากภายใน ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา รูปลักษณ์ของเขาต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!
เขาสวมชุดที่ดูสง่างามใบหน้าของเขาไร้ข้อบกพร่องและหล่อเหลาอย่างไร้ที่เปรียบ ดวงตาของเขาดูจะมองทะลวงได้ทุกสิ่ง ซือหยูไม่มีวันลืมใบหน้านี้!
“กู้ไทซู!”
เขาคือคู่หมั้นของลู่จือยี่ยอดฝีมือจากดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดที่เป็นจ้าวเทวะระดับสูง! อีกก้าวเดียวเท่านั้นก่อนที่เขาจะได้เป็นอสูรเนรมิตร!
ก่อนหน้านี้เขาได้ไปที่กระโจมเทพสวรรค์ด้วยพลังระดับภูติขั้นสูงและเกือบจะได้สังหารซือหยู ถ้าหากไม่ใช่เพราะร่างเงาของฮงหลวนเข้ามายุ่ง ซือหยูก็อาจจะตายไปแล้ว!
ส่วนเรื่องตัวตนจ้าวศักดิ์สิทธิ์ซือหยูพยายามคาดเดาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นกู้ไทซู!
“ไม่แปลกใจที่หลังจากตะขาบเลือดเกล็ดมุกถูกชิงไปแล้วได้แก่นแท้โลหิตเพิ่มมันเทียบเท่ากับภูติระดับเก้า! เจ้าจะต้องมีโลหิตของแก่นแท้วิญญาณมามากจากการสร้างโอสถเก้าภูติสินะ…”
กู้ไทซูเก็บสะสมโลหิตของแก่นแท้วิญญาณเพื่อที่จะสร้างโอสถเก้าภูติมันคือแผนในการเตรียมเป็นอสูรเนรมิตรของเขา มันเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะแบ่งโลหิตของแก่นแท้วิญญาณปริมาณเล็กน้อยเพื่อทำให้ตะขาบเลือดเกล็ดมุกแข็งแกร่งขึ้น
“ถ้าไม่ใช่เพราะความกังวลเรื่องจักรพรรดิจิวโจวที่ห้ามข้าไม่ให้ฆ่าเจ้าเจ้าคิดรึว่าข้าจะไว้ชีวิตเจ้าตอนที่ชิงตะขาบเลือดเกล็ดมุกคืนมา?”
พลังของกู้ไทซูยังคงเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขาพูด
ในกระโจมเทพสวรรค์ซือหยูได้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา กู้ไทซูจะไม่มีวันปล่อยเขาไป
แต่แม้ว่าเขาจะอยู่ในเฉินหลงมาโดยตลอดเขาก็ไม่เคยจู่โจมซอืหยู ดังนั้นเหล่าคนจึงเดาได้ว่าเขาเป็นกังวลถึงเรื่องจักรพรรดิจิวโจวเพียงใด
ตลอดสามปีที่ผ่านมาทัพต่างโลกได้บุกเข้ามาทวีป แม้แต่ซือตี๋ก็เคยมาที่นี่
ถึงอย่างนั้นจักรพรรดิจิวโจวก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมานี่เป็นเครื่องชี้ได้ว่าจักรพรรดิจิวโจวอ่อนแอลงกว่าแต่ก่อนมาก ดังนั้นสุดท้ายกู้ไทซูจึงกล้าเปิดเผยตัวตน
สิ่งเดียวที่ซือหยูรู้สึกแปลกก็คือเรื่องความสามารถในการปกปิดตัวตนสองฐานะของตัวเองหนึ่งคือเขาเป็นศิษย์ของตำหนักเมฆาม่วง ขณะที่อีกหนึ่งตัวตนคือองครักษ์ของราชาเขตกลาง ถ้าซือหยูจำไม่ผิด ดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดไม่ได้มีสัมพันธ์อันดีกับเขตกลางเท่าใดนัก
“โชคของเจ้าหมดแล้วไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีกแล้ว!”
การเพิ่มของฐานพลังกู้ไทซูจบลงมันหยุดอยู่ที่ภูติระดับเก้า
ภูติระดับสูงจะเทียบกับคนที่ซือหยูเคยสู้ในกระโจมเทพสวรรค์ได้อย่างไร?เพราะซือหยูเกือบตายในการต่อสู้คราวที่แล้วกับเขา และประวัติศาสตร์ก็กำลังจะซ้ำรอยเดิม
ซือหยูยังคงใจเย็นอย่างมากดวงตาเขามิได้แสดงความตื่นตระหนก
“การต่อสู้ของเจ้ากับข้าจะจบลงในวันนี้สินะ”
“มันจะต้องจบวันนี้แหละ!กับคนที่ใช้โชคเอาตัวรอดมาตลอดอย่างเจ้าเทียบข้ากับยี่เอ๋อไม่ได้หรอก การหวังเข้าใกล้นางได้ชี้ชะตาของเจ้าแล้ว นั่นก็คือความตาย!”
กู้ไทซูพูดและก้าวไปข้างหน้าก้าวเดียวของเขาทำให้สวรรค์สั่นคลอนและปล่อยแรงกดดันใส่ดวงวิญญาณของทุกสิ่ง
สองศักดิ์สิทธิ์ที่เดินไปไม่ไกลนักหันกลับมามองเขาอย่างนับถือ
“สมกับเป็นผู้สืบทอดของราชา!เขาบ่มเพาะฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์จนกลายเป็นสวรรค์ที่ชี้ชะตามวลมนุษย์ได้ด้วยตัวเอง มันจะน่ากลัวเพียงใดกัน? ต่อให้เป็นจ้าวเทวะระดับสูงก็สร้างแรงกดดันเช่นนี้ไม่ได้”
ฎีกาสวรรค์ของกู้ไทซูนั้นเข้ามาแทนที่สวรรค์นี่มันเกินความคาดหมายไปแล้ว
ฎีกาสวรรค์นั้นคือสิ่งแทนจิตสำนึกของผู้ครอบครองนั่นหมายความว่าจิตใต้สำนึกของกู้ไทซูนั้นมุ่งมั่นที่จะแทนที่สวรรค์ แค่เพียงเรื่องนี้ก็บอกได้แล้วว่าเขาเป็นคนดุร้ายเพียงใด!
ซือหยูรู้สึกกดดันทั้งร่างกายและวิญญาณพลังชีวิตที่ปกป้องร่างกายของเขาสลายออกไปในทันที โลหิตพุ่งออกมาจากรูขุมขนอย่างรวดเร็ว
ยังมีเสียงแตกดังออกมาจากร่างกายของซือหยูราวกับว่ากระดูกของเขาแหลกสลายแม้แต่วิญญาณของเขาก็สั่นคลอนอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นผ่านสมองของเขา
แค่ก้าวเดียวของกู้ไทซูก็เกือบจะทำให้ซือหยูตาย!พลังฎีกาสวรรค์ของกู้ไทซูนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ตายซะ!”
กู้ไทซูตะโกน
ดวงตาของเขาเยือกเย็นเมื่อก้าวมาข้างหน้าอีกครั้งในครั้งนี้ ก้าวของเขาจะทำให้พื้นและผืนทะเลแยกออกจากกัน รอยแยกมากมายก่อขึ้น น้ำทะเลถูกดูดลงไปจนมหาสมุทรแห้งเหือด!
ซือหยูไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาที่จมไปกับรอยแยกแม้ว่าเขาจะต่อสู้ได้สมน้ำสมเนื้อกับภูติระดับเก้า แต่ภูติไทซูก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าร่างเงาในกระโจมเทพสวรรค์เป็นสิบเท่า! แม้แต่จ้าวเทวะระดับต้นๆก็ไม่รอดจากการโจมตีนี้
เมื่อเห็นร่างซือหยูชุ่มโลหิตและตกลงไปในรอยแยกกู้ไทซูถึงสงบลงได้
“เจ้ามันก็แค่คนอ่อนแอ!”
แต่ทันใดนั้นเขาก็อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“เอ๋?เจ้ายังไม่ตายอีกเรอะ? ทำไมร่างของเขามันเป็นแบบนั้น!”
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดต่อเสียงสายฟ้าก็ดังมาจากเหนือศีรษะ เขาเงยหน้ามองชายหนุ่มผมสีเงินที่ปรากฏตัวบนหมู่เมฆ
ชายคนนี้สวมชุดที่สะอาดบริสุทธิ์เขาดูใจเย็นและไม่มีโลหิตบนร่างกายแม้แต่น้อย
“สายตาเจ้ามันเป็นอะไรไปแล้วมันไม่เป็นกับจ้าวเทวะปกติเลย เจ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเพิ่งฆ่าร่างปลอมไป! เจ้าคือกู้ไทซูจริงๆรึ?”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็นแม้น้ำเสียงจะไร้อารมณ์ แต่กู้ไทซูก็รู้สึกว่าซือหยูเพิ่งจะดูถูกเขาอย่างร้ายแรง
กู้ไทซูโกรธจนตัวสั่น…มันเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมข้าถึงสัมผัสไม่ได้?
แต่ก่อนที่กู้ไทซูจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นซือหยูก็ยื่นมือขวามาข้างหน้า มีแสงสว่างปรากฏในฝ่ามือของเขา
“ข้าจะเป็นสุริยันแลฝ่ามือข้าคือจันทรา…”
ซือหยูพูดเบาๆแสงในฝ่ามือขยายขนาดอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสงแดดจากธรรมชาติส่องลงมาอยู่แล้ว แต่มันก็มิอาจเทียบกับแสงที่ปล่อยออกมาจากมือซือหยู
เมื่อแสงจ้าขึ้นมันได้กลืนกินซือหยูเข้าไป สุดท้ายแม้แต่ส่วนของท้องนภาและดวงตะวันเองก็ถูกแสงเหล่านี้กลืนกินไป
เพียงเหลือบตาครั้งเดียวทุกคนก็รู้สึกราวกับได้เห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่แผ่ขยายหลายร้อยลี้ลอยอยู่ถ้าหากมองดูดีๆก็จะพบว่ามีร่างหนึ่งอยู่ภายในดวงจันทร์นั้น เขาดูราวกับองค์เทพที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์ที่ได้กลับมายังโลก
“ฝ่ามือเทพดับสวรรค์เรอะ?”
กู้ไทซูใบหน้าบิดเบี้ยว
“จิวหยวนโจวให้เศษตำราระดับภูติกับเจ้าเรอะ?แล้ว…เจ้าก็บ่มเพาะมันได้งั้นรึ?”
เศษตำราระดับภูติจะบ่มเพาะได้โดยคนที่มีพรสวรรค์เหนือพรสวรรค์เท่านั้นแม้แต่กู้ไทซูก็มิอาจบ่มเพาะมันได้โดยสมบูรณ์! แต่ซือหยูกลับทำได้!
แม้แต่องครักษ์แสงกระจ่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสิบก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการบ่มเพาะมันแต่ซือหยูกลับใช้เวลาเพียงไม่นาน!
กู้ไทซูใจหายเมื่อคิดถึงพรสวรรค์ของซือยหูเขาได้ยินว่าดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งจะมีระดับปัญญาที่สูงขึ้นตามไปด้วย และองครักษ์แสงกระจ่างทั้งสิบเองก็มีวิญญาณที่เหนือกว่าคนทั่วไป
นั่นทำให้จิตสังหารของกู้ไทซูพุ่งขึ้นสูงไปอีก!ดวงจันทร์ที่เปล่งแสงจ้าเริ่มที่จะพุ่งลงใส่เขาราวกับดาวตกดวงยักษ์!
ตู้ม
เสียงระเบิดดังก้องแสงจันทร์เริ่มตกลงจากฟากฟ้าตามบัญชาของซือหยู พร้อมกันนั้นพื้นสมุทรที่แห้งเหือดก็ได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
สองศักดิ์สิทธิ์กับคนของเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้หันกลับมาทันทีใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป
“ฝ่ามือเทพดับสวรรค์!นี่มันฝ่ามือเทพแบบสมบูรณ์รึ?”
สองศักดิ์สิทธิ์ตกใจอย่างมากเขาชักสีหน้า
“กลับไปช่วยเขาเดี๋ยวนี้!จ้าวศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในอันตราย!”
หนึ่งในเหล่าภูติลังเล
“ท่านสองศักดิ์สิทธิ์ตามพลังของท่านจ้าวศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ต้องการให้พวกเราช่วยหรอก”
“ไม่”
สองศักดิ์สิทธิ์ดูเคร่งเครียดอย่างมาก
“ถ้านั่นเป็นจ้าวศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงเราก็คงเทียบกับเส้นผมของเขาไม่ได้สักเส้นเดียว แต่ท่านจ้าวศักดิ์สิทธิ์เป็นแค่ร่างปลอมที่บ่มเพาะพลังด้วยตัวเอง ฐานพลังของเขาไม่เท่าหนึ่งในสิบของท่านกู้ไทซูตัวจริงด้วยซ้ำ!”
ถ้าซือหยูอยู่ที่นี่เขาก็คงจะแปลกใจเรื่องร่างปลอม เพราะฐานพลังนั้นแข็งแกร่งและร่างกายดูเหมือนจริงจนซือหยูยากจะเชื่อว่าเขาคือร่างปลอม! แต่นั่นก็เป็นคำอธิบายเดียวที่บอกได้ว่าเหตุใดกู้ไทซูจึงปรากฏตัวในเขตกลางและดินแดนพรสวรรค์ได้พร้อมกัน
“ข้าคิดว่าร่างปลอมของท่านกู้ไทซูจะเกินพอที่จะจัดการไอ้คนนั้นใครจะไปคิดเล่าว่ามันจะใช้วิชาสุดยอดขององครักษ์แสงกระจ่างได้? มันจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา เราจะประมาทไม่ได้ รีบกลับไปช่วยท่านจ้าวศักดิ์สิทธิ์เถอะ!”
สองศักดิ์สิทธิ์พูด
เหล่าภูติทั้งสามสิบเอ็ดคนรีบบินกลับไปยังที่ก้นบึ้งมังกรในพื้นสมุทรอันแห้งเหือด แสงจันทร์ได้ทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่งไปช้าๆ
บรรยากาศรอบๆแสงจันทร์ที่อ่อนโยนเคล้าไปด้วยพลังทำลายล้างในท้องนภาเหนือพื้นอันแห้งเหือดนั้นมีกู้ไทซูที่ลอยอยู่ เสื้อผ้าอันสง่างามของเขาถูกเผาและฉีกขาดไปหลายส่วน มงกุฎของเขายังหล่นลงไปทำให้เส้นผมตกลงมา
เขาดูเศร้าหมองและโกรธแค้นแมวหยกหนึ่งชิ้นแตกคามือเขาไป แมวหยกนี้คือสมบัติลึกลับที่จะป้องกันไม่ให้เขาตาย กู้ไทซูเคยใช้มันหนึ่งครั้งในกระโจมเทพสวรรค์ เขาได้ใช้มันอีกครั้งในวันนี้
“ครึ่งปีผ่านไปแล้วข้าต้องยอมรับว่าพลังเจ้าเพิ่มขึ้นมามาก เจ้ายังบังคับข้าให้ต้องใช้สิ่งนี้!”
กู้ไทซูอับอายอย่างมาก
เขาคิดว่าการสังหารซือหยูนั้นง่ายดั่งปอกกล้วยแต่แท้จริงคือเขาต้องถูกบังคับให้ใช้สมบัติช่วยชีวิตในทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น! ฝ่ามือเทพดับสวรรค์เ้ป็นวิชาระดับภูติที่มีพลังเทียบได้กับภาพเขียนทัณฑ์ภูติ
ซือหยูขมวดคิ้วเบาๆ…เขาใช้สมบัติช่วยชีวิตอีกแล้วรึ?
“เจ้าต้องตาย!”
กู้ไทซูตะโกนสุดเสียงราวกับสัตว์ป่าที่โกรธเกรี้ยว
“บุญคุณอสูร!”
กู้ไทซูตะโกนด้วยความโกรธมือของเขาขยับไปมาเป็นสัญลักษณ์ประหลาด เขาประสานมือเข้าด้วยกัน เสียงอันล้ำลึกดังมาจากลำคอ มันเป็นคลื่นเสียงที่น่ากลัวอย่างมาก
ในตอนนั้นทั้งจักรงวาลสั่นสะเทือน มิติดูราวกับเป็นกระจกที่แตกร้าว รอยแยกมากมายปรากฏในอากาศ
“วิชาคลื่นเสียงรึ?”
ซือหยูเลิกคิ้ววิชาคลื่นเสียงระดับตำนานนี้ไม่มีสิ่งหยุดมันได้…ไม่แม้แต่ฝ่ามือเทพดับสวรรค์!
ดวงตาของกู้ไทซูเต็มไปด้วยจิตสังหารพลังจากคลื่นเสียงนั้นแตกต่างจากวิชาทั่วไป ดังนั้นมันจึงยากที่จะรับมือกับวิชานี้
แต่ซือหยูกลับดูเยือกเย็นและแสยะยิ้มออกมา
“บังเอิญนักที่ข้าก็รู้จักวิชาคลื่นเสียงเหมือนเจ้า!”