The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 721-722
DND.721 – เนตรอสูรกลืนสวรรค์
“อย่างที่คิดเลยจากสิ่งที่เจ้าต้องเจอ เจ้าไม่เคยกลัวความยากลำบาก”
ผู้เฒ่าฉิวไม่แปลกใจกับคำตอบของซือหยูเขาคือคนที่เผชิญหน้ากับความยากลำบากโดยไม่หันหลังกลับตลอดมา
และเซี่ยนเอ๋อยังตายไปแล้วแม้ว่าเขาจะดูเยือกเย็น เขาก็ต้องเก็บซ่อนความบ้าคลั่งในใจเอาไว้อยู่แน่ นางคนจะสับสนถ้าเขาปฏิเสธในครั้งนี้
“ซือหยู…”
ผู้เฒ่าฉิวลังเลก่อนจะยืนขึ้นถอนหายใจ
“ไม่ว่าเจ้าจะชุบชีวิตเซี่ยนเอ๋อได้หรือไม่ข้าหวังให้เจ้าถนอมตัวและมีชีวิตต่อไป”
“แม้จะเป็นยามก่อนตายนางก็มิได้ชิงชังหรือผิดหวังในเจ้า”
ผู้เฒ่าฉิวเดินผ่านซือหยูและยื่นกล่องหยกครามให้กับเขาจากนั้นจึงเดินลงจากภูเขาไป พอถึงตอนนั้น น้ำตาจึงได้ไหลพรากออกมาเพราะความโศกเศร้า
เพราะเซี่ยนเอ๋อคือศิษย์ของนางมันเจ็บปวดเมื่อได้เห็นศิษย์ตายด้วยความเศร้า แม้นางนางจะยิ้มอย่างพอใจก่อนตาย แต่นางก็เห็นว่าเซี่ยนเอ๋อต้องการจะอยู่กับซือหยูต่อไป
“ข้ารู้แล้ว…”
ซือหยูตอบนางที่เดินจากไปแล้วด้วยเสียงอันแหบพร่าที่ดูใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อมันช่างคล้ายกับเสียงของคนที่แก่เฒ่า
ทุกคนเห็นความสุขุมของเขาได้อย่างชัดเจนและนั่นไม่ใช่เพราะเขาไร้หัวใจ แต่เป็นเพราะเขากำลังโศกเศร้า ตอนนี้เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว เขาไม่กลัวว่าตัวเองจะตายด้วยซ้ำ
เขาไม่เหลือสิ่งใดให้ไขว่คว้าอีกแล้วไม่มีใครที่จะทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้นมา จะเป็นจะตายก็ไม่ต่างกันสำหรับซือหยูในตอนนี้
ถ้าหากเขาไม่เหลือโอกาสในการช่วยเซี่ยนเอ๋ออย่างน้อยนิดนี้อยู่เขาก็คงจะกลายเป็นศพที่เดินได้ เส้นผมของเขาขาวโพลนในหลายวันคืนที่พ้นผ่าน มันบ่งบอกถึงความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี
ซือหยูที่ไร้อารมณ์เปิดดูกล่องหยกครามทันทีที่สัมผัสก็รู้สึกได้ถึงพลังอันดุร้ายที่แผ่เข้ามายังเขา ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดชั่วร้ายถูกผนึกอยู่ในกล่องใบนี้
เมื่อเปิดกล่องก็ได้พบกับดวงตาใสดั่งแก้วสีเลือด มันมีเส้นโลหิตมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ด้วย ดวงตานี้ใหญ่พอๆกับผลลิ้นจี่หรือดวงตามนุษย์
มีรอยข่วนอยู่ที่ขอบกล่องให้เห็นเพราะความเก่าแก่ของมันแต่ดวงตานี้ยังคงมีแววสดใสที่แสดงถึงคุณสมบัติวิญญาณอันสูงส่ง แม้แต่เส้นเลือดก็ยังคงสดใหม่ราวกับว่าดวงตานี้เพิ่งถูกควักออกมา
“แม้จะผ่านมาหลายปีแต่มันก็ไม่เน่าเปื่อย มันคือเนตรของแก่นแท้วิญญาณของจริง!”
ซือหยูยืนยันได้ว่าคำพูดของผู้เฒ่าฉิวเป็นเรื่องจริง
ดวงตานี้มีพลังแสงสว่างที่เป็นพลังตรงข้ามกับพลังที่ชั่วร้ายไม่แปลกใจที่ถูกเรียกว่าเนตรเงินล้างอสูร แต่เขาก็สงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง…
คัมภีร์ที่ผู้เฒ่าฉิวพูดถึงอยู่ที่ไหนกัน?
เขามองรอบๆและพบว่ามีร่องรอยของวิญญาณด้วยเนตรวิญญาณของเขาซึ่งพลังนั้นก็ได้ทะลวงดวงตาของเขาในทันที! ซือหยูถูกพลังบางอย่างดูดเข้าไปอย่างแรง เขาถูกพาไปยังสถานที่อื่นในทันที
ตอนนี้เขามองไม่เห็นสิ่งใดมีเพียงความมืดมิดที่ล้อมรอบเขาอยู่ สิ่งเดียวที่อยู่ที่นี่มีเพียงสัตว์อสูรตัวใหญ่อัปลักษณ์ที่นอนลงกับพื้น
มันมีขนสีแดงชาดราวกับปีศาจขนปุยในนิทานเด็กมันดูกระหายเลือดจนน่ากลัว!
หัวน่าเกลียดของมันมีเขาสีขาวที่แหลมคมสองข้างมันคมยิ่งกว่าสมบัติใดที่ซือหยูเคยพบมา ใบหน้าของมันขาวซัดราวกับหิมะ มันมีปากใหญ่เป็นหนึ่งในสามของใบหน้า และในปากยังเต็มไปด้วยฟันคมกริบ!
เนตรสีเงินของมันแปลกประหลาดกว่าสิ่งใดดูเหมือนว่ามันยิ้มเบาๆและมองไปยังท้องนภา แม้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้จะเป็นเพียงรูปปั้น ซือหยูก็รู้สึกถึงพลังเก่าแก่ที่แผ่มาจากมันอย่างไม่รู้จบ ราวกับว่าสัตว์อสูรตัวนี้เดินทางข้ามเวลามาจากอดีตกาล
ความรู้สึกแปลกนี้คงทำให้ใครหลายคนหวาดกลัวแต่จิตใจซือหยูนั้นเยือกเย็นอย่างเคย
นี่คือแก่นแท้วิญญาณรึ?ซือหยูครุ่นคิดขณะที่มองดวงตาของมัน
แล้ว…คัมภีร์อยู่ที่ไหนล่ะ?
แกร๊ก!
ในตอนนั้นเองสัตว์อสูรได้รับรู้ถึงการมาของซือหยู มันลืมตาซ้ายขึ้นมา แสงสีเงินพุ่งออกมาปกคลุมพื้นที่โดยรอบ มีอักษรที่ดูแปลกๆปรากฏขึ้น มันไม่ใช่ภาษามนุษย์
“ภาษาอสูรรึ?”
ซือหยูพูดเบาๆ
ในช่วงเวลาครึ่งปีที่เขาปิดประตูฝึกจนเขาได้เรียนรู้ภาษาต่างๆมากมายที่หยุนย่าสีอัดข้อมูลเอาไว้ในดวงวิญญาณของเขา ภาษาทั้งหมดที่หยุนย่าสีเคยศึกษาอย่างภาษามังกร ภาษาภูติผี ภาษาหนอน ทุกอย่างล้วนอยู่ในสมองของซือหยู
เขารู้ว่ามันเป็นภาษาอสูรด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
“เนตรอสูรกลืนสวรรค์หนึ่งในเก้าเนตรที่แข็งแกร่งที่สุดในโบราณกาล เนตรนี้กลืนกินสิ่งชั่วร้ายได้ และมันยังกลืนกินได้ทั้งสุริยา จันทรา และดารา!”
ซือหยูพูดภาษาประหลาดออกมาเบาๆมันคือภาษาอสูรที่คนอื่นมิอาจเข้าใจได้
“นี่คือเนตรอสูรกลืนสวรรค์เพราะผู้เฒ่าฉิวไม่เข้าใจภาษาอสูร นางเลยตั้งชื่อมันว่าเนตรเงินล้างอสูรเพราะมันมีพลังทำลายสิ่งชั่วร้าย”
ซือหยูเข้าใจทุกอย่างแล้ว
ตอนที่ผู้เฒ่าฉิวได้เนตรเงินนี้มานางพยายามจะเข้ามาในมิติวิญญาณของมัน แต่นางไม่เข้าใจภาษาอสูร นางจึงต้องวิเคราะห์จากคุณสมบัติว่าพลังของมันสามารถกำจัดพลังสวรรค์ที่หลงเหลืออยู่ในดวงตาซือหยู
“นี่มันอะไรกัน!นางไม่รู้ภาษาอสูร แต่นางก็เดาได้ว่าเนตรนี้ต้องใช้สมุนไพรบาดาล โลหิตมังกร และมุกเงินเลี่ยงสายฟ้า นางต้องพยายามอย่างหนักกว่าจะสรุปเรื่องพวกนี้ได้…”
ซือหยูรู้ว่าวิชานี้แท้จริงเป็นของตระกูลอสูรที่ต้องการคุณสมบัติสองอย่างในการบ่มเพาะอย่างแรกก็คือการมีร่างแก่นแท้วิญญาณ มีเพียงร่างแบบนี้เท่านั้นที่จะทนรับเนตรอสูรกลืนสวรรค์ได้
อย่างที่สองคือการปลูกถ่ายเนตรอสูรกลืนสวรรค์ในที่สุดซือหยูก็เข้าใจทุกอย่างเมื่ออ่านถึงขั้นนี้!
วิชานี้ต้องสร้างจากคนตระกูลอสูรที่อยากจะปลูกถ่ายเนตรไปยังร่างของเขาเขาต้องสร้างมันขึ้นมาเพราะตนเองได้เนตรนี้มาอยู่ในมือ!
เนตรอสูรกลืนสวรรค์ในกล่องหยกครามจะต้องเป็นของสัตว์อสูรหน้าตาอัปลักษณ์ตรงหน้าเขาและมันจะต้องมีสิ่งที่แข็งแกร่งชิงดวงตามา! คนผู้นั้นคงเตรียมจะปลูกถ่ายเนตรนี้แล้ว แต่ด้วยเหตุบางอย่าง เขาได้ทำกล่องนี้หายจนผู้เฒ่าฉิวมาเจอเข้า!
แต่เรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวลเขาออกจากมิติเนตรเมื่อเข้าใจทุกอย่าง เขารู้แล้วว่าทำไมผู้เฒ่าฉิวถึงให้เขาเตรียมวัตถุดิบเหล่านี้มา
โลหิตมังกรนั้นมาจากแก่นแท้วิญญาณมันมีพลังของแก่นแท้วิญญาณที่มากพอ ส่วนมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าก็เป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติตามธรรมชาติที่หนาแน่น มันจะกลายเป็นตัวแบกรับการปลูกถ่ายเนตรอสูรกลืนสวรรค์ ส่วนสมุนไพรบาดาลจะเป็นตัวกลางในการหลอมรวมระหว่างโลหิตมังกรกับมุกเงินเลี่ยงสายฟ้า
ต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะทนรับเนตรอสูรกลืนสวรรค์ไหว ซือหยูที่เข้าใจหลักการทั้งหมดเริ่มทำตามขั้นตอนทันที
เขาบดสมุนไพรบาดาลและเก็บใส่ขวดก่อนจะผสมโลหิตมังกรกับมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าตามลงไปทั้งสองสิ่งมีพลังหยางที่มหาศาล การปะทะกันจะทำให้เกิดระเบิดอย่างรุนแรง แต่เพราะสมุนไพรบาดาล ทั้งสองเลยหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ ทั้งสองสิ่งจึงเริ่มที่จะหลอมรวมกัน
ผ่านไปสามชั่วยามสมุนไพรบาดาลบด โลหิตมังกร และมุกเงินเลี่ยงสายฟ้าได้หายไป มีเพียงมุกสีเขียวเงินขนาดเท่าลูกตาอยู่ในขวดผสม การหลอมรวมที่สมบูรณ์ได้ทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา! สิ่งนี้มีคุณสมบัติที่จะทนรับเนตรอสูรกลืนสวรรค์!
ซือหยูถือเนตรอสูรกลืนสวรรค์กับมุกสีเขียวเงินเขานำมันมมารวมกัน มุกเงินได้เปิดอ้าด้วยตัวของมันเองและกลืนเนตรอสูรกลืนสวรรค์เข้าไป มันหลอมรวมกันเรียบร้อยแล้ว
ซือหยูรู้สึกว่ามือของเขาหนักขึ้นเมื่อเนตรกับมุกได้หลอมรวมกันนั่นก็เพราะว่าเนตรในตอนนี้ได้หนักกว่าเดิมขึ้นมามากกว่าสิบเท่า มันเริ่มปล่อยพลังสวรรค์ที่น่ากลัวออกมา มันควรจะทำลายสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดได้!
ลำแสงปรากฏในดวงตาที่มืดบอดของซือหยูพลังสวรรค์พิโรธถูกเนตรอสูรกลืนสวรรค์ลบหายไป
“อีกแค่ก้าวเดียวข้าจะต้องใส่เนตรนี้ในตัวข้า!”
ซือหยูวางเนตรลงในหน้าผาก
ในตอนนั้นเขารู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสจนร่างกระตุก แต่แม้กระนั้น เขาก็ต้องคงความสุขุมเอาไว้ หากมองดูเฉยๆจะพบว่าเขาไม่ได้แสดงความเจ็บปวดออกมาเลย
มีรอยแยกปรากฏที่หน้าผากของซือหยูเมื่อเนตรใหม่ได้ฝังลงไปความเจ็บปวดนี้ไม่ต่างกับการเฉือนเนื้อของเขาเพื่อให้พื้นที่มากพอจะรับสิ่งแปลกปลอม มันเจ็บปวดจนเขาแทบทนไม่ไหว
แต่ซือหยูไม่ได้รู้สึกเจ็บมากนักเมื่อได้ผ่านความเจ็บปวดที่หนักหนายิ่งกว่าจากการสร้างจุดกำเนิดพลังขึ้นใหม่เมื่อการหลอมรวมจบลง รอยแยกที่หน้าผากของเขาได้ปิดลงไปเอง หลงเหลือเพียงแค่รอยแผลแดงบางบนหน้าผาก
เมื่อหลอมรวมสำเร็จพลังสวรรค์พิโรธที่เหลืออยู่ในดวงตาของเขาได้กระจัดกระจายไปในทันที ราวกับว่าพลังสวรรค์ของเนตรอสูรกลืนสวรรค์นั้นขเป็นพลังที่แท้จริงยิ่งกว่า ขณะที่พลังที่กู้ไทซูทิ้งเอาไว้นั้นเป็นของปลอม!
ที่โลกภายนอก…
ซือหยูที่เพิ่งจะผ่านความเจ็บปวดจากการปลูกถ่ายเนตรได้ลืมตาขึ้นช้าๆดวงตาของเขาที่เคยมืดบอดและไร้แววได้กลับมามีสีสันตามเดิม เขากลับมามองเห็นโลกอีกครั้ง!
แม้เขาจะไม่เคยพบสภาพตาบอดจริงๆเพราะเนตรวิญญาณแต่การมองโลกด้วยเนตรวิญญาณกับดวงตาเปล่านั้นแตกต่างกันมาก ในที่สุดเขาก็ได้เห็นโลกอันคุ้นเคยที่ทำให้เขาอบอุ่นใจอีกครั้ง
ซือหยูกระพริบตาขวามันเปล่งแสงสีแดงเพลิงออกมาและทะยานสูานภา เมื่อเขากระพริบตาซ้าย แสงสีม่วงได้สาดส่องออกมา ในที่สุดเขาก็ได้พลังมิติและห้วงเวลากลับมาอีกครั้ง!
“พลังข้าจะเป็นยังไงบ้างนะ?”
ซือหยูพูดเบาๆ
เขาค่อนข้างคุ้นชินกับพลังทั้งสองเขาจึงตัดสินได้ว่าพลังนั้นเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนเพียงแค่ใช้พลังเล็กน้อย เมื่อวารีสีเพลิงไหลซึมไปที่มังกรตัวที่สาม พลังมิติและเวลาของเขาได้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกจำกัดว่าจะใช้พลังได้แค่วันละครั้งอีกแล้วตอนนี้เขาใช้พลังได้วันละสิบสองครั้ง แต่เขาก็เขาก็ต้องรอหนึ่งชั่วยามในการใช้แต่ละครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นเขาในตอนนี้ยังใช้พลังเร่งเวลาได้นานถึงสิบลมหายใจจากสามลมหายใจ และเขาใช้พลังหยุดเวลาได้สามลมหายใจจากลมหายใจเดียว นอกจากนั้นเขายังยักย้ายตัวเองไปได้ไกลกว่าเดิมร้อยลี้จากแค่สิบลี้ในอดีต
และเหนือสิ่งอื่นใดเขารู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมพลังทั้งสามได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่เขาต้องทดสอบในการต่อสู้เพื่อให้แน่ใจ
ซือหยูยืนขึ้นช้าๆและมองจุดสูงสุดของนภาเขาอยากจะไป แต่ก็รู้ว่าเขายังขาดบางสิ่งอยู่
เขาพลิกฝ่ามือตราหยกหลากสีได้ปรากฏในมือ มันมีพลังทำลายล้างอัดอยู่หนาแน่น สายฟ้าทุกสายข้างในนั้นเหนือกว่าวิบติอัสนีทั้งหมดรวมกัน
“จิตวิญญาณสายฟ้าหลอมรวมเสร็จแล้วสินะ?ข้าจะได้ใช้พลังสูงสุดของมันแล้ว!”
เป็นฝีมือซือหยูร่างมืดที่หลอมรวมจิตวิญญาณสายฟ้ากับตราสายฟ้าห้าธาตุเพราะซือหยูตอนนั้นมิอาจเอาชนะและผนึกจิตวิญญาณสายฟ้าได้ตอนนี้เขามีโอกาสสูงมากที่จะทำสำเร็จ!
DND.722 – ราชาผู้โดดเดี่ยวแห่งเฉินหลง
“ก็ยังไม่พอ…”
ซือหยูพูดกับตนเองเบาๆ
ฟู่กุยเป็นหนึ่งในสิบองครักษ์แสงกระจ่างดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่ทรงพลังอย่างมากแม้แต่ในองครักษ์แสงกระจ่างด้วยกันเอง นั่นหมายความว่าพลังของเขาจะต้องเหนือกว่าจ้าวเทวะทั่วไปอยู่มากโข
มันง่ายที่เกราะราชาศิลานิรันดร์จะป้องกันการโจมตีจากภูติแต่มันคงจะทำอะไรกับผู้ที่แข็งแกร่งระดับจ้าวเทวะไม่ได้มากนัก เขาจึงต้องการสิ่งป้องกันตัวที่แข็งแกร่งกว่านั้น
ซือหยูใช้วิญญาณเข้าสู่มุกวิญญาณเก้าหยกและไปยังต้นทับทิมวิญญาณขนนกเขาพบว่ามีหนอนผีเสื้อนอนอย่างเกียจคร้านอยู่ในใบทับทิมสีขาวหิมะ
ผีเสื้อโกลาหลนั้นตัวใหญ่กว่าเดิมหลังจากที่ได้กินแก่นโลหิตของจักรพรรดิโลหิตเข้าไปและตามที่หวูอู๋ยี่บอก มันได้ใกล้จะพ่นไหมออกมาแล้ว
แต่เมื่อซือหยูมาถึงก็พบว่ามันยังคงไม่ปล่อยไหมออกมามันยังคงนอนอย่างขี้เกียจดังเดิม! ว่ากันว่าไหมของมันนั้นมิอาจทะลุผ่านได้ เป็นเรื่องยากที่แม้แต่อสูรเนรมิตรจะฉีกมัน ซึ่งบอกได้เลยว่ามันจะมีผลอย่างมากต่อการป้องกันตัวของซือหยู!
ซือหยูหันกลับไปอย่างไร้อารมณ์เขาจะออกจากที่นี่ในอีกไม่นาน แต่เขาก็เห็นบางสิ่งบางอย่างในใบไม้ใต้ตัวหนอน
เขาเห็นว่ามีบางสิ่งอยู่ที่นั่นแต่ตาเปล่ามิอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน เขาครุ่นคิดก่อนจะยกมือเด็ดใบนั้นขึ้นมา เขายื่นนิ้วชี้ยกหนอนผีเสื้อมาสังเกตใกล้ๆ
หนอนที่นอนอาบแสงอาทิตย์อย่างเกียจคร้ายพลิกตัวเล็กน้อยตัวอ้วนกลมของมันแสดงความไม่พอใจนักก่อนจะยอมรับชะตาปล่อยให้ถูกมองดูหัวจรดเท้า ซือหยูหยิบหนอนขึ้นมาและหันไปมองใบไม้ในมือ เขาดูที่ผิวใบแต่ก็ไม่พบสิ่งที่แปลกอะไร
แต่เขารู้สึกลึกๆว่ามันแปลกมากและไม่ใช่เขาที่คิดไปเอง
“ทำไมข้าไม่เห็นมันล่ะ?”
ซือหยูพูดเบาๆเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมีเพลิงปรากฏในมือ เพลิงนั้นเผาใบไม้จนเป็นเถ้าถ่านก่อนจะดับมอดไป
ซือหยูเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเพลิงของเขาถูกบางอย่างดูดซับเข้าไป!
“มีอะไรแปลกๆในใบไม้จริงๆด้วย!มันซัดฝ่ามือข้าตอนที่ใบไม้ถูกเผา!”
ซือหยูอุทานออกมา
เขากัดลิ้นพ่นโลหิตใส่มือเมื่อโลหิตกระจายในฝ่ามือก็พบว่ามีเส้นโลหิตบางๆปรากฏขึ้น
ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองมันอย่างละเอียดที่สุดเขามองเส้นไหมโลหิตจนพบว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งใด มันคือไหมไร้สีที่มองไม่เห็น มันแข็งแรงและบางเป็นอย่างมาก มันแทบจะไม่มีมวลสารอยู่เลย
ดังนั้นจึงเป็นการยากที่ตาเปล่าจะมองเห็นได้ถ้าหากเขาไม่พ่นโลหิตลงไป เขาก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ในมือของเขา!
เขาปล่อยพลังชีวิตออกมาและใช้มันทำลายเส้นไหมบางๆนั้นแต่มันก็สั่นสะเทือนเส้นไหมไม่ได้แม้แต่น้อย
ซือหยูมีแก้วพลังชีวิตหกดวงที่สมบูรณ์แบบหลังจากที่สร้างจุดกำเนิดพลังขึ้นใหม่นั่นหมายความว่าพลังที่เขาปล่อยออกมาเมื่อครู่นั้นมหาศาลจนทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในท้องทะเลได้ แต่เส้นไหมนี้กลับไม่แม้แต่ขยับเขยื้อน!
ตอนนี้เส้นไหมถูกเพลิงเข้าจู่โจมมันได้ดูดซับเพลิงเข้าไปด้วยตัวมันเองเพราะพลังป้องกันพิเศษของมัน ดังนั้นจึงยืนยันได้แล้วว่าเส้นไหมนี้คือไหมของผีเสื้อโกลาหล!
ว่ากันว่ามันยากมากที่พลังของอสูรเนรมิตรจะทำให้เส้นไหมของมันเสียหายแต่แม้ว่าเส้นไหมของเขาจะมาจากผีเสื้อกลายพันธุ์ที่ไม่ได้แข็งแกร่งจริงๆ มันก็ควรจะมีพลังป้องกันที่มากพอตัว ซือหยูเก็บเส้นไหมของมันด้วยความระมัดระวังและมองจนทั่วหุบเขา
เขาพบว่ามีสาวน้อยร่างเล็กถูกวิบัติอัสนีกดพลังเอาไว้นางหน้าซีดราวกับคนตาย สีหน้าของนางท้อแท้หมดอาลัย เขายังเห็นอีกว่าพลังชีวิตของนางอ่อนแอเหลือเกิน
ความหยิ่งยโสทั้งหมดที่นางมีได้มลายหายไปสิ้นเมื่อเจอการทรมานจากวิบัติอัสนีแม้แต่สติส่วนหนึ่งของนางก็ถูกวิบัติอัสนีลบหายไป
เป๊าะ!
ซือหยูดีดนิ้วสลายวิบัติอัสนีจางตี๋เก้อที่เป็นอิสระล้มลงไปกองกับพื้น
“เจ้ายังไม่คิดจะก้มหัวให้ข้าอีกรึ?”
ซือหยูถามออกไป
จางตี๋เก้อสั่นไปทั้งตัวเสียงของซือหยูไม่ต่างกับภูติดุร้ายต่อนางแม้นางจะเป็นภูติผีตัวจริงก็ตาม นางก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
“นายท่านโปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ”
จางตี๋เก้อถูกทรมานจนหวาดกลัวเขาจากก้นบึ้งของจิตใจ
ซือหยูมองนางอย่างไร้อารมณ์
“เจ้าควรจะสวดวิงวอนที่ข้ากลับมาอย่างปลอดภัยเพราะถ้าข้าตาย มุกวิญญาณเก้าหยกจะสลายไป เจ้าจะถูกผนึกที่นี่ไปตลอดกาล”
ซือหยูไม่รอให้นางตอบก่อนที่จะเรียกวิญญาณกลับเข้าร่างเขาลืมตาช้าๆและพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆเขาอย่างเงียบเชียบ นางมีร่างกายอันยั่วยวนและใบหน้าที่เย็นชาแต่ดูน่ารัก
“นายน้อยจะไปแล้วรึ?โปรดพาข้าไปกับท่านด้วยเถอะ”
หวูอู๋ยี่มองซือหยูขณะที่ขอร้องให้ได้ติดตามเขาไปด้วย
เมื่อครั้งแรกที่นางถูกเขาจับตัวเพราะความเข้าใจผิดนางโศกเศร้าและชิงชังเขา แต่ความรู้สึกเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกขอบคุณต่อเขามาก นางยังมอบร่างกายให้แก่เขา นั่นจึงเป็นเหตุให้นางต้องการจะติดตามเขาไปเพื่อต่อสู้ครั้งสุดท้ายด้วยกัน และใช้ชีวิตกับเขาด้วย
ซือหยูหันไปมองหวูอู๋ยี่ความอบอุ่นปรากฏในสายตาเย็นชาของเขา แต่เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธนาง
“เจ้าควรอยู่ที่นี่และไม่ว่าข้าจะกลับมาหรือไม่ เจ้าก็ยังมีหวังและชีวิตข้างหน้า เจ้าจะเจอกับอันตรายเท่านั้นถ้าตามข้าไป”
ซือหยูก้าวเพียงก้าวเดียวสายฟ้าเข้าล้อมร่างกาย เขาเดินทางสิบลี้ในก้าวเพียงก้าวเดียวนี้
เขาไม่ให้โอกาสหวูอู๋ยี่ได้ไล่ตามด้วยซ้ำเพราะเขาได้ทำให้เซี่ยนเอ๋อเป็นเช่นนั้นไปแล้ว เขาไม่อยากจะทำให้หวูอู๋ยี่ผิดหวังไปอีกคน
“เจ้าพันธมิตรซือมาแล้ว!”
“เจ้าพันธมิตรซืออาการบาดเจ็บท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”
หลากหลายคนมองซือหยูด้วยความเป็นห่วงนับถือ และตั้งคำถาม
พวกเขาสงสัยว่าพวกเขาจะต้องทำสิ่งใดเพราะแม้แต่ภูติระดับเก้าก็บดขยี้ซือหยูจนเกือบตายและเสียฐานพลัง! พวกเขาเห็นเรื่องเหล่านี้กับตา พวกเขาจึงทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในก้นบึ้งมังกร
ซือหยูไม่ตอบเสียงตะโกนเหล่านั้นเขาเงยหน้ามองนภานอกก้นบึ้งมังกร ท้องนภาสีครามดั่งกระจกใสที่เพิ่งถูกชะล้าง
ทั้งหมดที่ซือหยูมองเห็นในตอนนี้มีเพียงภาพรอยยิ้มที่เซี่ยนเอ๋อมอบให้เขาก่อนตายแม้นางจะรักซือหยูไม่เต็มใจจะแยกจากเขา นางก็ยังคงคิดจะส่งเขาให้กับเซี่ยจิงหยูและจบความสัมพันธ์ระหว่างกันก่อนที่นางจะตาย ดังนั้นนางจึงไม่มีทั้งความเสียใจและคำบ่นว่า
ความรู้สึกเหล่านั้นถาโถมเข้ามาในใจที่มักจะเยือกเย็นดั่งวารึในบึงของเขาซือหยูลูบอกที่เจ็บแปลบตั้งแต่เซี่ยนเอ๋อตาย
“ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางและต้องตอสู้ต่อให้จบข้ายังมีหนี้ค้างที่ต้องชดใช้ ข้าต้องไป โปรดดูแลตัวพวกเจ้าเองด้วย”
ซือหยูมองทุกคนในก้นบึ้งมังกร
เขาประสานหมัดโค้งคำนับแก่ทุกคนใบหน้าของจิวหยวนโจว จ้าวคณะวิหคเพลิง เฟิงเซี่ยน ฉีหยุนเซี่ยงและหวูอู๋ยี่ที่เพิ่งจะถูกเขาสลัดมาล้วนมีความรู้สึกต่างๆปะปนกันไป พวกเขาต่างรู้ว่าซือหยูคิดจะสู้จนตัวตาย แต่ก็ไม่มีใครคิดจะหยุดเขา
“ท่านซือหยูไม่ว่าท่านจะกลับมาได้หรือไม่ ท่านก็จะอยู่ในหัวใจคนเฉินหลงทุกคนตลอดไป โปรดถนอมตัวด้วย”
ผู้เฒ่าเฉินโค้งคำนับให้เขาเมื่อน้ำตาแห่งความขมขื่นร่วงหล่นจากดวงตา
เมื่อคำพูดอันงดงามของเขาดังขึ้นมาเหล่าทุกคนในเฉินหลงก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“เจ้าพันธมิตรซือถนอมตัวด้วย!”
ถ้อยคำอำลานี้ดังก้องก้นบึ้งมังกรจนสั่นไปถึงเมฆากระจ่างมันเป็นบรรยากาศอันหมองหม่นที่ชวนให้เศร้าใจ
ผู้เฒ่าเฉินจับชายผ้าคลุมด้วยมือเหี่ยวย่นและคุกเข่าลงหนึ่งข้างเขาคุกเข่าอย่างสง่างาม
“ท่านเจ้าพันธมิตรเฉินเว่ยฉีผู้นี้จำต้องขอลาท่าน”
ลั่วซวงที่เจ็บปวดถืออาวุธด้วยมือซ้ายและคุกเข่าขวาลงเขาตะโกนสุดเสียง
“นายท่านหน่วยกวาดล้างขออำลาแก่ท่าน”
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เสียงเหล่าผู้คนพุ่งเข้ามาคุกเข่าลงและตะโกนพร้อมกัน
“ท่านเจ้าพันธมิตรพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ขออำลาแก่ท่าน”
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ทั้งแสนคนที่ถูกเรียกรวมตัวจากทั้งทวีปที่นี่พวกเขาคุกเข่าลงแม้จะมิใช่คนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ ความนับถือ ความเศร้าหมอง ทั้งหมดได้หลอมรวมเป็นเสียงตะโกนที่คำรามก้องก้นบึ้งมังกร
“ท่านเจ้าพันธมิตรคนเฉินหลงขออำลาแก่ท่าน”
เสียงตะโกนจนแสบแก้วหูนั้นน่าตะตกลึงใบหน้าพวกเขาเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาอุ่นเมื่อมองราชาของพวกตน เขาคือราชาผู้โดดเดี่ยวที่ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของพวกเขา
ซือหยูมองพวกเขาและพยักหน้าเบาๆก่อนจะบินออกไป
เมื่อถึงทางเข้าออกของก้นบึ้งมังกรเขาแตะใบไม้สีทองด้วยมือพร้อมกับจิตสังหารที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่ไร้ชีวิต
“เปิดผนึก!”
เขาตะโกน
ฟึ่บ!
ใบไม้สีทองเริ่มกระจัดกระจายขณะที่ปล่อยให้จิตสังหารของเขาพุ่งเสียดฟ้า
ฟึ่บ!
ชายผมขาวทะยานขึ้นสู่เหนือก้นบึ้งมังกรดวงตาของเขาแดงดั่งโลหิตและมีแต่จิตสังหาร ดวงตาของเขาราวกับดวงตาของเทพปีศาจ!
รอยแผลสีแดงบางเป็นแนวตั้งระหว่างคิ้วดูไม่ต่างจากผนึกโลหิตปีศาจผมขาวและเนตรโลหิตทำให้เขาดูราวกับเป็นเทพปีศาจจริงๆ!
ซือหยูลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหวเขาพูดอย่างเยือกเย็นด้วยแววตานั้น
“จงออกมาแล้วตายไปซะ”
เสียงคำสั่งของเขาก่อให้เกิดคลื่นซัดผิวทะเลที่บ้าคลั่งทุกสิ่งหวาดกลัวและหนีหายจนไม่เหลือใครเหนือพื้นที่แห่งนี้นอกจากเขา
“ข้าต้องเชิญพวกเจ้างั้นรึพวกสามจ้าวเทวะ?”
ซือหยูถามอย่างไม่แยแส
จ้าวเทวะสามคนรึ?คนในก้นบึ้งมังกรเบิกตากว้าง ความโศกเศร้าในใจพุ่งทะยานยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ฟังคำพูดของซือหยู พวกเขารู้ว่าเจ้าพันธมิตรซือจะต้องตายแน่นอนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะแค่คนเดียว แต่เขากลับพูดว่ามีจ้าวเทวะถึงสามคน!
ปั้ง!
คลื่นเสียงแตกซ่านมาจากท้องทะเลเบื้องล่างสามคนบินเข้าล้อมรอบซือหยู สองคนเป็นชายวัยกลางคน ขณะที่คนสุดท้ายเป็นสตรีวัยกลางคน
ทั้งหมดมีพลังที่สงบนิ่งและมีแววตาสุขุมพวกเขาค่อนข้างมีระเบียบ
ทั้งสามสวมชุดเกราะสีอำพันและมีมงกุฎหยกอยู่ที่ศีรษะด้วยมีดวงสุริยาที่ลุกไหม้สลักอยู่บนมงกุฎของบุรุษ ขณะที่จันทร์กระจ่างถูกสลักอยู่บนมงกุฎของสตรี
ตะวันจันทราเป็นสัญลักษณ์แห่งแสงกระจ่างเหล่านี้คือสัญลักษณ์ขององครักษ์แสงกระจ่าง!
ทั้งสามคือจ้าวเทวะที่ถูกส่งมาที่นี่เพื่อสังหารซือหยู!สิ่งที่เกิดขึ้นน่าตกตะลึงแม้แต่ในจิวโจว แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เห็นกลุ่มจ้าวเทวะร่วมมือกันสังหารกึ่งภูติแค่คนเดียว!