The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 723-724
DND.723 – สู้กับจ้าวเทวะ
“ซือหยูพวกข้ามิได้มีเรื่องบาดหมางต่อเจ้า แม้แต่ข้าเองก็นับถือพรสวรรค์กับนิสัยใจคอของเจ้า”
คนแรกที่พูดคือสตรีจ้าวเทวะ
นางเป็นสตรีวัยกลางคนที่ดูค่อนข้างธรรมดาดวงตาดั่งวิหคเพลิงของนางดูเฉียบคม แม้คำพูดนางจะดูเหมือนการชมเชย แต่น้ำเสียงที่พูดออกมานั่นเย่อหยิ่งอย่างมาก
“แต่ก็น่าเสียดายที่เจ้าเลือกจะเป็นศัตรูกับพวกข้านี่คือเหตุผลที่เจ้าต้องตายในวันนี้ ได้เกิดใหม่เมื่อไร ชีวิตหน้าของเขาก็คงจะฉลาดขึ้นนะ”
สสตรีจ้าวเทวะพูดอย่างเรียบเฉย
ซือหยูมองนางอย่างเยือกเย็นและมองจ้าวเทวะอีกสองคน
“เจ้าสองคนไม่มีอะไรจะพูดรึ?”
ชายวัยกลางคนที่ด้านซ้ายเป็นชายหนวดยาวที่ร่างกายกำยำดวงตาของเขาเป็นสีทองแดง เขาหัวเราะชอบใจเมื่อซือหยูพูดกับพวกเขา
“ข้าไม่ได้สนใจอะไรเจ้านักหรอกแต่ก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าตอนนี้จะยังใจเย็นอยู่ได้ เจ้าทำให้ข้าประทับใจกว่าเดิมเสียด้วย”
เขาส่ายหน้าและพูดต่อ
“แต่ข้าเกลียดคนที่ทำใจดีสู้เสืออย่างเจ้าคิดรึว่าพวกข้าจะประทับใจกับท่าทางของเจ้าแล้วปล่อยเจ้าไป?”
ชายหนวดยาวหัวเราะอย่างเยือกเย็นเขาดูโหดร้ายแต่ก็เฉลียวฉลาด ชายอีกคนมองซือหยูและส่ายหน้า
“หลานกวงอย่าดูถูกไอ้เด็กนี่ ตามข้อมูลที่ได้ มันเป็นคนฉลาดมาก มันคงไม่ทำเรื่องโง่ๆอย่างที่เจ้าพูดหรอก ดูเหมือนว่าเขาแค่อยากจะลดความเครียดลงและให้พวกเรารับเขาเป็นพวก”
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่พวกเขาจะปล่อยซือหยูไปแต่พวกเขาสามารถรับซือหยูเข้าเป็นพวกได้ จ้าวเทวะสตรียิ้มเยาะที่มุมปาก
“ชางเซี่ยงอาจจะพูดถูกเจ้าเด็กนี่อยากให้พวกเรารับเขางั้นรึ? คนเรายินดีจะคว้าทุกอย่างตอนที่สิ้นไร้ไม้ตอกสินะ”
“เจ้าหนูนี่มีพรสวรรค์กับนิสัยที่ดีถ้าพวกเราฝึกเขา เขาก็มีโอกาสสูงที่จะมีลำดับในองครักษ์แสงกระจ่าง”
นางส่ายหน้าถอนหายใจ
“แต่น่าเสียดายที่เจ้าฆ่าคนที่มิควรไปแล้วไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก จงสู้จนตัวตายอย่างหมาจนตรอกไปซะ อย่างน้อยเจ้าก็จะได้ตายอย่างสมเกียรติ”
ทั้งสามพูดคุยกันราวกับมองเห็นแผนการของซือหยูซือหยูเพียงฟังทั้งสามโดยตลอดและไม่พูดขัด
“พวกเจ้าคุยกันเสร็จแล้วสินะ?”
ซือหยูยังคงใจเย็นอย่างเดิมไม่มีความรู้สึกบนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย
ชายหนวดยาวหัวเราะเยาะ
“หัวหน้าอู๋หยางหยุดเสียเวลากับมันดีกว่า ไม่นานมันก็จะเอาชีวิตมาเข้าสู่กับเรา เรารีบกำจัดมันจะดีกว่า”
สตรีจ้าวเทวะอู๋หยางนั้นอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาพวกเขาทั้งหมดเพิ่มจะเป็นจ้าวเทวะได้ไม่นาน แต่พลังของนางนั้นแข็งแกร่งกว่าอีกสองคนเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงได้ตำแหน่งหัวหน้า
“รอก่อนเถอะท่านฟู่กุยสั่งให้เราล้อมมันเท่านั้น เรารอท่านฟู่กุยก่อนจะตัดสินใจเถอะ”
อู๋หยางส่ายหน้า
หลานกวงกับชางเซี่ยงขมวดคิ้วฟู่กุยนั้นไม่ลังเลที่จะใช้หอคอยจักรพรรดิเพียงเพื่อให้พวกเขาได้ข้ามมิติมาจับตัวและสังหารเด็กคนนี้
แต่พวกเขาสับสนที่ฟู่กุยกำชับให้พวกเขาไม่ต่อสู้อย่างประมาทกับซือหยูแต่พวกเขาต้องบอกฟู่กุยเมื่อเจอตัวซือหยู พวกเขาทั้งหมดรู้เรื่องฐานพลัง วิชา และวิธีการต่อสู้ทั้งหมดของซือหยู และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ดูถูกซือหยู พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องบอกฟู่กุย!
ชายสองคนเหลือบตามองกันแต่ไม่พูดอะไรเพราะองครักษ์แสงกระจ่างต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด พวกเขาไม่กล้าจะขัดคำสั่งฟู่กุย
“เข้าไปล้อมมันแต่ไม่ต้องสู้ข้าติดต่อท่านฟู่กุยแล้ว เขาคงจะมาในอีกไม่นาน”
อู๋หยางกล่าว
ทั้งสามเข้าล้อมซือหยูจากทุกทิศทางพวกเขาไม่ได้ใช้อะไรปิดล้อมนอกจากตัว แต่พวกเขาก็จ้องมองซือหยูอย่างละเอียดเพื่อที่จะได้ตอบสนองในทันทีที่ซือหยูเคลื่อนไหว
ซือหยูหายใจเบาๆ
“สุดท้ายพวกเจ้าก็คุยกันจบแล้วสินะ”
หลานกวงจ้องมองเขา
“หุบปาก!แค่รอให้ท่านฟู่กุยมาตัดสินชะตาเจ้าก็พอ เจ้าจะพูดอะไรพวกข้าก็ไม่สนใจทั้งนั้น”
อู๋หยางขมวดคิ้วและถอนหายใจ
“อย่างไรเจ้าก็ต้องตายทำไมไม่ลองตายอย่างมีเกียรติบ้างเล่า? อย่ามาเล่นลูกไม้กับพวกข้า นั่นจะทำให้พวกข้าดูถูกเจ้ายิ่งกว่าเดิม”
ชางเซี่ยงมองซือหยูอย่างเหยียดหยาม
ซือหยูส่ายหน้า
“พวกเจ้าคงเข้าใจข้าผิดข้าปล่อยให้พวกเจ้าพูดคุยอย่างที่ต้องการ มิใช่เพื่อให้พวกเจ้าไว้ชีวิตข้า แต่เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สั่งเสียให้เสร็จ ถ้าพวกเจ้าพูดออกมาหมดแล้ว…จงมาสู้กับข้าซะ!”
ผมขาวของซือหยูสั่นไหวตามแรงลมมีแสงสีเลือดเปล่งออกมาจากผนึกแดงที่หน้าผาก เขามองจ้าวเทวะทั้งสามด้วยเนตรโลหิต อู๋หยางใจเต้นแรงและรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับอสูรชั่วร้าย
“เจ้าหนูหยุดเล่นละครได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะท่านฟู่กุยสั่งให้ล้อมเจ้า ข้าคงลบเจ้าหายไปจากโลกนี้แล้ว!”
หลานกวงเย้ยหยันอย่างเย็นชา
ซือหยูตอบกลับ
“เจ้าเข้าใจผิดอีกแล้วเป็นข้าที่ตัดสินว่าจะสู้หรือไม่ ไม่ใช่เจ้า”
เมื่อพูดจบเขาขว้างเม็ดมุกสีครามอำพันตรงไปยังชายหนวดยาว
“ปากเจ้าน่ารำคาญนักข้าจะเริ่มจากเจ้าในการล้างบางจ้าวเทวะครั้งนี้…”
ซือหยูพูด
หลานกวงโกรธจนหัวเราะดังลั่นเขามิอาจเชื่อว่าเด็กกึ่งภูติจะพูดว่าเขาสังหารจ้าวเทวะสามคนได้ด้วยตัวคนเดียว คำพูดของเขามันน่าขันเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่มันก็เป็นเพียงคำพูดจากเด็กอวดดีเท่านั้น!
“ย่อมได้ถ้าเจ้าลงมือก่อนแล้วตายตอนที่ข้าป้องกันตัว มันก็จะไม่นับว่าข้าขัดคำสั่ง”
หลานกวงพูดอย่างเย็นชา
หลานกวงไม่แม้แต่ละหลบเมื่อเม็ดมุกที่ดูธรรมดาลอยมาหาเขาเขากลับพุ่งเข้าใส่แต่ก็ระวังตัว
“ผนึกราชากระจ่าง!”
หลานกวงตะโกนเบาๆมีรูปปั้นอรหันต์ปรากฏตรงหน้า
มันดูมีชีวิตราวกับรูปปั้นเพชรของจริงรูปปั้นเพชรประสานมือเข้าหากันและปล่อยแสงสีทองที่แผ่ขยายไปสิบเมตรรอบตัวเขา
“วิชาระดับตำนานขั้นกลางระดับแรกแบบสมบูรณ์!หลานกวงบ่มเพาะจนถึงระดับนั้นได้ด้วยตัวเอง!”
ชางเซี่ยงลืมตากว้างขึ้นมาเล็กน้อย
อู๋หยางตกใจเช่นกัน
“มันจงใจใช้วิชานั้นต่อหน้าเราเพราะว่ามันไม่พอใจข้างั้นรึ?”
หลายต่อหลายคนมักจะพยายามเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้แต่เขากลับใช้มันต่อกรกับเด็กที่อ่อนแอ บอกได้เลยว่าเขาอยากจะแสดงพลังและท้าทายอู๋หยาง
แต่การกระทำเช่นนี้ก็น่ายกย่องสำหรับซือหยูเพราะไม่มีใครควรออมมือตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรู และตามที่ข้อมูลของพวกจิวโจวมี พวกนั้นรู้ว่าเขามีพลังที่ทำให้แม้แต่จ้าวเทวะยังต้องกลัว
“ถึงเจ้าจะดูหยาบกร้านเจ้าก็ฉลาดรอบคอบ เจ้าควรจะได้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่าอีกสองคน”
ซือหยูมองเขาอย่างไม่แยแส
“แต่น่าเสียดายนักที่เจ้าประมาทมุกเม็ดนั้น”
หลานกวงหัวเราะชอบใจ
“มุกเม็ดเล็กๆจะไปทำอะไรได้กัน?”
แม้เขาจะดูถูกซือหยูเขาก็ใช้พลังปริมาณมากกับซือหยู กระบวนท่าของเขามีพลังสองในสิบของจ้าวเทวะ มันมีพลังชีวิตที่มากมายไร้ขอบเขต มันส่งผลต่อสภาพแวดล้อมรอบและฉีกกระชากมิติเป็นทางยาว
พลังของเขาเกือบเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของกระบี่ปราบมังกรที่กู้ไทซูใช้ต่อให้เป็นสมบัติวิญญาณระดับสูงก็มิอาจป้องกันได้ แล้วจะเดือดร้อนอะไรกับมุกเม็ดเล็กๆเล่า?
แต่แท้จริงแล้วมุกเม็ดนี้หาใช่สมบัติวิญญาณระดับสูง เพราะมันน่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว
ปั้ง!
อ๊ากกก!
เสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังก้องมหาสมุทรไร้ขอบเขตหลานกวงที่มีพลังมหาศาลคิดจะทำลายมุกเม็ดเล็กๆด้วยกำปั้นและอัดมันให้กระเด็นหายไป แต่เมื่อได้สัมผัส พลังอันน่าสยดสยองของมันบดขยี้แขนทั้งสองข้างของเขาอย่างง่ายดายก่อนจะระเบิดอกของเขาจนกระเด็นกลับ
เงารูปปั้นที่เปล่งแสงสีทองทนรับได้เพียงพริบตาเดียวก่อนจะระเบิดหายไปวิชาของเขาเปราะบางราวกับกระดาษเมื่อเจอกับมุกเม็ดนี้
หลานกวงขนลุกและตะโกนเสียงดังเมื่อมุกกำลังจะบดขยี้ร่างของเขา
“ก้าวเงาเวหาขั้นสุดยอด!”
ร่างเงามากมายปรากฏขึ้นแต่ทุกร่างได้ถอยอย่างรวดเร็ว เม็ดมุกได้บดขยี้ร่างเงาแต่ละร่างไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไปไม่ถึงร่างหลักของหลานกวงก่อนจะเสียแรงและร่วงลงไปที่เบื้องล่าง
ซือหยูยกมือขึ้นเรียกมุกกลับมาในมือเขาจะประมาทจนปล่อยให้มันตกลงไปที่พื้นไม่ได้ เพราะน้ำหนักมหาศาลของมันจะทำให้ทั้งก้นบึ้งมังกรพังทลาย
หลานกวงที่รอดตายหวุดหวิดมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่ใบหน้าเขาหน้าซีดราวกับกระดาษ ในแววตามีแต่ความกลัว เพราะถ้าหากเขาลังเลไปแม้แต่ครู่เดียว เขาก็อาจจะถูกมุกเม็ดนั้นบดขยี้จะตาย!
“เจ้าหนูสิ่งนั้นมันคืออะไร?”
อู๋หยางถามดูเหมือนว่าหลานกวงจะมิใช่คนเดียวที่ตกตะลึงจากมัน แม้แต่อู๋หยางกับชางเซี่ยงเองก็ตกใจ
พวกเขารู้ว่าซือหยูมีวิธีการบางอย่างในการเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะแต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าซือหยูจะมีเม็ดมุกที่น่ากลัวเช่นนี้! พวกเขาหยุดประมาทในทันที พวกเขารู้แล้วว่าทำไมฟู่กุยถึงสั่งให้พวกเขาไล่ต้อนซือหยูโดยไม่ต้องต่อสู้
สีหน้าท่าทางที่ไม่ยี่หระและเยือกเย็นของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ชางเซี่ยงรีบไปข้างหลานกวงเร็ว…”
อู๋หยางตะโกนหลังจากที่เห็นสภาพของหลานกวง
หลานกวงเสียแขนไปทั้งสองข้างเขาต้องการให้คนมาปกป้องก่อนจะฟื้นฟูตัว พวกเขารีบเดินทางไปหลายร้อยลี้เร็วราวกับใช้ประตูมิติ
“หลานกวงรีบกินโอถสกลิ่นกล้วยไม้สวรรค์รักษาแขนของเจ้าซะ”
อู๋หยางพูดเสียงดัง
หลานกวงใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเขาพ่นพลังชีวิตไปโอบล้อมนิ้วชี้ที่ขาดจากตัว แหวนบนนิ้วชี้กระตุกพร้อมกับมีขวดหยกปรากฏขึ้นมา
เขาเปิดขวดด้วยพลังชีวิตและหยิบเม็ดโอสถออกมาใส่ปากจากนั้นก็มีแสงสีครามปรากฏขึ้นที่แขนทั้งสองข้างที่ถูกทำลาย พร้อมกันนั้น แขนยังเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาด้วย!
หลังจากที่ความเจ็บปวดหายไปหลานกวงถอนหายใจยาวก่อนจะเงยหน้าจ้องมองซือหยูอย่างเคียดแค้น
“เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าสาหัสเช่นนี้ไม่เลว! ข้าตัดสินใจแล้วว่า…”
ซือหยูพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่เขาจะพูดจบซือหยูพูดอย่างสบายใจ
“จะตัดสินใจอย่างไรก็หาได้เปลี่ยนชะตาของเจ้าไม่…เพราะเจ้าคือคนแรกที่ต้องตาย”
DND.724 – สู้กับฟู่กุย
คำพูดของซือหยูทำให้อู๋หยางใจเต้นแรงอีกครั้งนางตระหนักได้ว่าซือหยูในตอนนี้กำลังยืนนิ่งอยู่กับที่ขณะที่รอให้หลานกวงฟื้นฟูตัว…
หรือว่าเขาจะไม่ทำอะไรเพราะรอให้หลานกวงรักษาแขน…จากนั้น…เขาก็จะฆ่าหลานกวงรึ?
แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคิดเรื่องอันน่าขันนี้ขึ้นมาได้เพราะพลังของมุกเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเหตุผลที่หลานกวงเจ็บหนัก แต่เหตุผลหลักคือหลานกวงประมาทเกินไป
หลานกวงไม่พอใจจนหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม
“เจ้าเด็กอวดดีคิดว่าข้าจะกลัวเจ้าร…”
ซือหยูพูดขัดเขาอีกครั้ง
“เจ้าจะกลัวข้าหรือไม่ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง”
เมื่อพูดจบสภาพอากาศของโลกทั้งใบได้เปลี่ยนไป ท้องนภามืดลงพร้อมกับเมฆาทมิฬจำนวนมากที่รวมตัวกัน พลังสวรรค์พิโรธเริ่มปะทุออกมาจากเมฆาเหล่านั้น
“สวรรค์พิโรธเรอะ?”
จ้าวเทวะทั้งสามอุทานขึ้นมาพร้อมกัน
ขณะที่พวกเขายังตกตะลึงอยู่นั้นเมฆาได้แยกออกและเผยเนตรยักษ์ออกมา เนตรนี้ดูราวกับสุริยันจันทรา มันลอยอย่างองอาจอยู่บนฟ้าและเหลือบมองโลกมนุษย์เบื้องล่าง
“เนตรสวรรค์?”
ทั้งสามอุทานพร้อมกันอีกครั้ง
พวกเขานิ่งราวกับกิ่งไม้พวกเขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เนตรนั้นเต็มไปด้วยพลังสวรรค์พิโรธอันน่ากลัว และมันก็มากพอที่จะทำให้จ้าวเทวะอย่างพวกเขาสั่นกลัว
พวกเขาใจเต้นอย่างบ้าคลั่งราวกับเนตรนั้นส่งคำเตือนว่าถ้าหากพวกเขาขยับแม้แต่นิดเดียวเนตรนั้นก็จะสังหารพวกเขาอย่างง่ายดาย! มันมิได้เกิดกับแค่สามคนนี้เท่านั้น ผู้คนทั้งเฉินหลงยังได้ให้เนตรสวรรค์บนชั้นฟ้าเบื้องบน
ฟู่กุยที่กำลังรีบเดินทางมาด้วยความเร็วสูงสีหน้าหม่นหมอง
“ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์!กู้ไทซูผนึกมันไปแล้วมิใช่รึ? ทำไมมันปรากฏอีกครั้งเล่า?”
เขาพูดต่อด้วยความหวาดกลัวบนใบหน้า
“แย่แล้ว!อู๋หยางกับสองคนนั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย!”
ในตอนนั้นมีชายร่างสูงยืนอยู่เหนือยอดเขาขนาดยักษ์ที่กลางทวีปดวงตาของเขาแปลบปลาบราวกับสายฟ้า เขาเงยหน้าจ้องมองเนตรสวรรค์นั้น
เขายิ้มเบาๆ
“เราเจอกันอีกแล้วฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์”
เขาพูดจบและก้าวเดินพร้อมกับหายตัวไปในกลีบเมฆ
เหนือก้นบึ้งมังกร
“ฆ่ามัน!”
ซือหยูสั่งการทั้งโลกปั่นป่วนราวกับเสียงคำสั่งของเขาเป็นเสียงจากสวรรค์ พลังของมันเหนือกว่าสิ่งใด!
เนตรสวรรค์กระพริบตาเบาๆและลืมตาขึ้นมาอีกครั้งการกระพริบตาอย่างปกติของมันทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความเงียบ
หลานกวงที่ถูกปกป้องจากอู๋หยางและชางเซี่ยงได้หยุดการเคลื่อนไหวเริ่มมีเสียงแตกดังออกมาจากร่างกาย หลานกวงกับอู๋หยางที่อยู่ด้านหน้าหันกลับมามองและหยุดนิ่งราวกับศิลา
นั่นก็เพราะดวงตาของหลานกวงนั้นมิใช่ดวงตาของผู้ที่มีชีวิตเขาไม่มีแม้แต่พลังกายหลงเหลืออยู่เลย! ร่างกายของเขาเริ่มสลายราวกับไม้ที่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ร่างของเขาสลายเป็นเศษเสี้ยวตกไปยังก้นบึ้งมังกรจ้าวเทวะผู้ไร้เทียมทานตายแล้ว!
อู๋หยางกับชางเซี่ยงไม่กล้าขยับตัวทั้งคู่รู้สึกว่าเนตรที่ชั้นฟ้ากำลังจ้องมอง พวกเขารู้สึกว่าตายได้ทุกเมื่อ และถ้าหากผลีผลามทำอะไรลงไป ชะตาของพวกเขาก็คงไม่ต่างจากหลานกวง!
เสียงกลืนน้ำลายด้วยความหนักใจดังมาจากชางเซี่ยงขณะที่เหงื่อเย็นๆได้ผุดขึ้นมาบนหน้าผากอู๋หยางทั้งสองจ้าวเทวะไม่กล้าจะสู้กลับอีกแล้วในตอนนี้
ในทีแรกพวกเขาดูถูกซือหยู แต่พอมาถึงตอนนี้ พวกเขาไม่มีแม้ทั้งความคิดที่จะต่อสู้ ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มันลักลั่นยิ่งนัก!
อู๋หยางใจสั่นและเจ็บแปลบนางขบริมฝีปากแดงและขัดขืนในแววตา นางอยากจะอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อซือหยูดูเหมือนสิ้นไร้ไม้ตอกนางได้ตำหนิซือหยูอย่างผู้ชนะ ตอนนั้นนางบอกเขาว่าถ้าคิดจะตาย เขาก็ควรจะตายอย่างมีเกียรติ แต่เมื่อนางเผชิญสถานการณ์แบบเดียวกัน นางถึงได้คิดอ้อนวอนขอชีวิต!
ปั้ง!ปั้ง!
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังจนทำให้อู๋หยางใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิมหัวใจนางแทบจะทะลักออกจากอกและไม่กล้าขยับตัว
เมื่อเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเสียงเรียบเฉยของซือหยูก็ดังตามมา
“เจ้าอยากจะอยู่หรือตาย?”
ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้คำถามนี้คงจะทำให้พวกเขาหัวเราะลั่นกับเรื่องตลกที่เด็กไร้เดียงสากล่าว มันน่าขันนักที่กึ่งภูติถามจ้าวเทวะว่าจะอยู่หรือตาย แต่ตอนนี้เรื่องราวมันเปลี่ยนไปแล้ว!
“ข้ายังไม่อยากตาย!พวกเราพูดไปแล้ว…พวกเรามิได้มีเรื่องบาดหมางต่อกัน โปรดไว้ชีวิตพวกข้าเถอะ”
ชางเซี่ยงหน้าซีด
ชางเซี่ยงรู้สึกว่าความกดดันลดลงเมื่อซือหยูละสายตาจากเขาดูเหมือนว่าซือหยูจะปล่อยเขาไป ชางเซี่ยงรู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบลงไปเพราะความเจ็บปวดในหัวใจเมื่อครู่ก่อน
“เจ้าล่ะ?”
ซือหยูมองอู๋หยาง
อู๋หยางขบริมฝีปากนางอยากจะปฏิเสธข้อเสนอของเขา แต่นางก็ตอบเช่นนี้
“ข้ายังไม่อยากตาย…”
อู๋หยางพูดออกมา
สีหน้าของซือหยูยังคงไร้อารมณ์ราวกับว่าการกดขี่จ้าวเทวะสองคนมิใช่เรื่องน่ายินดี
“ดีตอนที่ข้าบอกให้เจ้าทำอะไรก็จงทำตามคำสั่ง ข้าจะฆ่าคนที่ขัดขืนให้ไม่เหลือแม้แต่ซาก!”
ซือหยูสั่งพวกเขาในเวลาต่อมา
ร่างของจ้าวเทวะทั้งสองชุ่มไปด้วยเหงื่อราวกับว่าเพิ่งเดินผ่านประตูนรกทั้งคู่พยักหน้าอย่างรีบร้อน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจ้าวเทวะจริง พวกเขาในตอนนี้ก็รู้สึกราวกับเป็นมนุษย์ที่ไร้พลัง
“ไปซะ…”
ทั้งคู่เบิกตากว้างและลังเลแต่เมื่อเงยหน้าพบเนตรสวรรค์ก็พยักหน้าอย่างขมขื่นและทำตามคำสั่งที่เขาได้บอกเมื่อครู่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าแค่ประสงค์เดียวจากซือหยูก็สังหารพวกเขาได้ในพริบตา
ฟึ่บ!
ไม่นานก็มีชายร่างผอมเบ้าตากลวงโบ๋ที่มีเพลิงอยู่ภายในบินมาถึงเขาคือหนึ่งในสิบองครักษ์แสงกระจ่าง…ฟู่กุย
มีองครักษ์แสงกระจ่างมากมายในเขตกลางแต่ก็มีองครักษ์แสงกระจ่างสิบลำดับแรกที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่ถูกเลือกมารับตำแหน่ง ทั้งพรสวรรค์และประสบการณ์ของแต่ละคนอยู่ในขั้นสูงสุด บอกได้เลยว่าฟู่กุยที่ถูกเลือกให้มาตามหาเฉินอี้เจิงนั้นต้องมีพรสวรรค์ที่น่ายกย่อง
“นายท่าน!”
อู๋หยางกับชางเซี่ยงพูดขึ้นมาพร้อมกัน
ทั้งคู่มีคราบโลหิตที่มุมปากในดวงตาเต็มไปด้วยความกลัว พวกเขาหนีจากซือหยูมาที่ข้างฟู่กุย
ฟู่กุยสีหน้าหม่นหมองเมื่อดูสภาพของทั้งสอง
“ข้าบอกให้พวกเจ้าล้อมเขาไม่ใช่ฆ่าเขา!ใครอนุญาตให้พวกเจ้าลงมือตามอำเภอใจกัน!”
อู๋หยางพูดอย่างขมขื่น
“เราทำตามคำสั่งท่านแล้วแต่ไอ้เด็กนี่มันยั่วพวกเรา! หลานกวงไม่พอใจที่ซือหยูลงมือก่อนเลยเริ่มสู้กลับ”
หลานกวงรึ?ฟู๋กุยสับสนเมื่อได้ฟังคำพูดนาง…เพราะเขาคือคนที่เรียกทั้งสามคนมา เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าคนที่ตัวเองเรียกมานั้นเป็นเช่นใด!
แม้หลานกวงจะอารมณ์ร้อนเขาก็เป็นคนฉลาด เป็นไปได้รึที่เขาจะกล้าขัดคำสั่ง?
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาสั่งให้ทั้งสามล้อมซือหยูโดยไม่ฆ่าเขาก็เริ่มเข้าใจเรื่องราว เพราะหลานกวงคงประมาทศัตรูในท้ายสุด
ฟู๋กุยมองรอบๆและเงยหน้ามองเนตรสวรรค์
“ถ้าอย่างนั้น…หลานกวงก็ตายไปแล้วสินะ?”
อู๋หยางโทษตัวนางเอง
“นายท่านมันเป็นเพราะข้าปกป้องเขาไม่ดีพอ”
ฟู่กุยละสายตาจากเนตรสวรรค์และส่ายหน้าช้าๆ
“ข้าไม่โทษเจ้าหรอกฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของเจ้านี่มีทัณฑ์แทนสวรรค์ ต่อให้ข้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยเขาไม่ได้หรอก”
อู๋หยางกับชางเซี่ยงคอตกเมื่อได้ฟังฟู่กุยทั้งสองเหลือบมองกันเงียบๆ เพราะถ้าหากฟู่กุยช่วยพวกเขาไม่ได้ พวกเขาก็คงได้แต่ทำตามคำสั่งของซือหยู
ฟู่กุยชายตามองซือหยู
“เจ้าทำให้ข้าตกใจมานักต่อนักแม้จุดกำเนิดพลังจะถูกทำลาย เจ้าก็แข็งแกร่งกว่าเดิมโดยไม่เสียพลังไป! ข้าบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นภูติหรือกึ่งภูติกันแน่”
เขาคิดว่าถ้าซือหยูปรากฏตัวก็คงไม่เป็นปัญหานักเพราะเขาเสียพลังไปแล้วไม่มีใครคิดเลยว่าซือหยูจะโชคดีเช่นนี้หลังจากถูกทำลายฐานพลังไป! และเขาก็ฆ่าจ้าวเทวะไปแล้วหนึ่งคนทันทีที่ปรากฏตัว!
แววตาของซือหยูไม่ใส่ใจนัก
“เจ้ายังพอมีโอกาสบอกข้ามาว่าเซี่ยจิงหยูเอาร่างเซี่ยนเอ๋อไปไว้ที่ไหน”
จิตสังหารแผ่ออกมาจากดวงตาซือหยูเมื่อเอ่ยนามเซี่ยจิงหยูแม้เซี่ยนเอ๋อจะไม่ได้ตายเพราะนาง แต่หลายต่อหลายเหตุการณ์ก็เกิดจากนางที่หักหลัง
คนอื่นยังคงเชื่อว่าเซี่ยจิงหยูถูกฮงหลวนควบคุมเอาไว้แต่ซือหยูที่มีเนตรวิญญาณรู้ดีว่าฮงหลวนไม่ได้ควบคุมวิญญาณของเซี่ยจิงหยูแม้แต่น้อย
ทุกอย่างเป็นฝีมือของเซี่ยจิงหยูเอง!
“ข้าสกัดพลังสายโลหิตของนางมาแล้วมีแค่เศษกระดูกนางเหลืออยู่เท่านั้น ถ้าเจ้าชุบชีวิตโครงกระดูกได้ข้าก็จะเมตตาคืนมันให้เจ้า”
ฟู่กุยหัวเราะอย่างชั่วร้าย
แต่สายตาซือหยูกลับไม่แปรเปลี่ยน
“ถ้าตอบแล้วข้าก็จะส่งเจ้าไปลงนรก…”
เสียงของเขาดั่งสายฟ้าลั่นที่มีพลังจากสวรรค์
เมฆาทมิฬบนนภากระจัดกระจายเผยให้เห็นเนตรสวรรค์ที่กระพริบตามองฟู่กุยมีเสียงกรีดเนื้อดังเหมือนกับมีบางอย่างถูกฉีกกระชาก
แต่ฟู่กุยยังคงยืนอยู่อย่างปลอดภัยมีผงสีดำร่วงลงมาจากชุดของเขา
“หึหึฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์นี้แข็งแกร่งจริงๆ มันคงจะดีถ้าใช้กับจ้าวเทวะคนอื่น! แต่กับข้าน่ะไม่ได้ผลหรอก!”
ฟู่กุยเย้ยหยันหัวผีสิบหัวพุ่งออกมา แต่ละหัวมีรูปลักษณ์ใบหน้าที่น่าเกลียดและมีเขี้ยวยาว แต่ละหัวนี้มีพลังภูติระดับเก้า
ฟู่กุยได้ใช้หัวผีหนึ่งหัวมารับพลังแทนเขาในตอนที่ใกล้ตาย
“กินมัน!”
ฟู่กุยสั่งเหล่าหัวผีขณะที่เขาถอยออกไปเขาอยากจะรักษาระยะห่างระหว่างซือหยูเผื่อว่าเขาจะมีวิชาประหลาดที่อาจใช้ได้
ซือหยูแววตาเยือกเย็นเขาไม่ได้สับสนกับความล้มเหลวของเนตรสวรรค์เลย
เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นสิ่งที่ฟู่กุยต้องหวาดกลัวได้เกิดขึ้นตามมา อู๋หยางกับชางเซี่ยงได้จู่โจมเขาด้วยวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละคน!
“หนามกระหายเลือด!”
อู๋หยางตะโกนและดันฝ่ามือที่มีพลังมหาศาลออกไปพลังระดับนี้ใช้ได้จากจ้าวเทวะเท่านั้น
พร้อมกันนั้นชางเซี่ยงยังดันฝ่ามือไปที่แผ่นหลังของฟู่กุยขณะที่ตะโกน
“ฝ่ามือสุริยันเผาสวรรค์!”
ฝ่ามือของชางเซี่ยงมีพลังชีวิตที่ทรงพลังและสามารถแยกแผ่นดินออกมาได้ส่วนฝ่ามือของอู๋หยางก็อัดพลังประหลาดลงในร่างฟู่กุย
ฟู่กุยถูกลอบโจมตีโดยคนของเขาเอง!เขาที่ไม่ระวังตัวได้รับกระบวนท่าทั้งสองโดยตรง!