The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 741-742
DND.741 – ดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด
“แย่แล้ว!พวกเราโดยมันหลอก วานรอสูรตามเรามาตั้งแต่แรก พวกมันมาถึงกลางเขาพร้อมๆกับเรา!”
หัวหน้าอ้าฉิงใบหน้าหวาดกลัว
ถ้าวานรอสูรอยู่ในเขาส่วนนอกพวกเขาก็จะหันกลับและหนีไปได้ แต่พวกมันมาอยู่ที่กลางเขากันหมด นั่นหมายความว่าพวกเขาโดนล้อมโดยไม่มีโอกาสหนี
พวกเขาเคยได้ยินว่าวานรอสูรเจ้าเล่ห์เพียงใดและดูเหมือนว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง! แต่ที่อ้าฉิงตกใจมากที่สุดก็คือวานรอสูรได้มองอุบายของเขาจนขาดและตามพวกเขามาถูกทาง!
เทือกเขาวานรอสูรนั้นมีเส้นทางที่ซับซ้อนซึ่งได้เปรียบต่อเหล่าวานรและเส้นทางอันซับซ้อนนี้เองก็ทำให้พวกเขาซ่อนตัวได้อย่างดีขณะเดินทางด้วย
ดังนั้นอ้าฉิงจึงต้องสงสัย…วานรอสูรรู้ที่อยู่ของพวกเขาได้ยังไง?
เจี๊ยก!
ทันใดนั้นเงาทมิฬสูงสามเมตรได้กระโดดออกมาจากยอดเขา มันกางแขนขาราวกับวิหคยักษ์และพุ่งตรงไปยังรถม้า
ปั้ง!
รถม้าถูกกระแทกจมดินจนขยับไม่ได้ซือหยูเงยหน้ามองสัตว์ประหลาดนั้นและพบลิงขนาดยักษ์ที่มีขนสีดำปกคลุมทั้งตัว มันขนาดใหญ่เท่ามนุษย์สองคนต่อกันและมีแขนขาที่ยาวพร้อมกับกล้ามเนื้อแข็งแรง
หัวขนาดใหญ่ของมันปกคลุมด้วยขนดกดำดวงตาที่เหมือนกับมนุษย์ฉายแววชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ มันเกาะหลังรถม้าอย่างอวดดีและมองเหล่าทหารด้วยสายตาเหยียดหยาม
เหล่าทหารสูดหายใจเข้าลึกพวกเขาแข้งขาอ่อนด้วยความกลัว เขาพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับวานรอสูรที่น่ากลัว เรื่องราวเล่าขานตั้งแต่อดีตที่เคยได้ฟังกับเหล่าภูติหลายสิบคนที่ถูกสังหารได้ชัดแจ้งขึ้นมา ถ้าหากไม่มีหัวหน้าอยู่ด้วย พวกเขาก็คงจะหนีกันไปคนละทิศทางแล้ว
“อย่าแตกตื่นบุกใส่มันแล้วช่วยนายหญิงสองคนออกมา”
อ้าฉิงที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนดำกระโดดออกจากม้าและบินไปยังรถม้าเขาปล่อยฝ่ามือใส่ข้างรถม้าจนระเบิดออกเปิดช่องให้คนหนึ่งคนผ่านออกมาได้
“นายหญิงออกมาเร็ว!เร็วเข้า!”
อ้าฉิงตะโกนเสียงดัง
ในตอนนั้นได้มีบางอย่างที่มีสีดำแล่นผ่านเขาด้วยความเร็วสูงอ้าฉิงยกสมบัติเทพระดับสูงขึ้นมาปกป้องตัว
เป๊าะ!
กระบี่ของเขาหักรอยนิ้วทั้งห้าประทับที่ลำตัวของเขาลึกไปถึงกระดูก เขากระเด็นมากระแทกกับกำแพงศิลา
เขาบาดเจ็บสาหัสเพราะฝ่ามือของวานรอสูรในพริบตาเดียว!เขาผู้เป็นหัวหน้านั้นแข็งแกร่งที่สุด ทหารคนอื่นๆจ้องตากัน…แล้วชะตาพวกเขาจะเป็นอย่างไรล่ะ?
ทหารทุกคนล้อมวานรอสูรและพุ่งเข้าใส่ทุกคนกระเด็นออกมาราวกับก้อนหิน พวกเขากรีดร้องดังก้องฟ้า กึ่งภูติแปดคนที่มีแก้วสามดวงบาดเจ็บสาหัสในระยะเวลาอันสั้น กึ่งภูติที่เหลืออาจจะถูกฆ่าในพริบตาเดียว!
ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
วานรอสูรยืดตัวบนหลังคารถม้าและทุบอกด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกับแววตาสนุกสนานมันกำลังสนุกที่ได้เล่นกับมนุษย์ผู้อ่อนแอ
วารีอสูรก้มหน้ายกแขนยาวๆฉีกกระชากหลังคารถม้าเผยให้เห็นหญิงสาวสองคนด้านในที่ตัวสั่นด้วยความกลัว
“ท่านพี่ข้ากลัว!”
หยวนหยิงหยิงกลัวจนร้องไห้นางเคยได้ยินเรื่องความชั่วร้ายของวานรอสูรมาก่อน
แต่ผู้เป็นนั้นพี่กลัวยิ่งกว่านางเสียอีกนางหน้าซีดเหมือนคนตาย ดวงตามีแต่ความตื่นตระหนกและหวาดกลัว นางตัวสั่นไม่ขยับไปไหน นางไม่กล้าจะขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วเดียว!
เจี๊ยก!เจี๊ยก!
วานรอสูรทุบอกด้วยความตื่นเต้นมันโอบร่างของหญิงสาวทั้งสองเอาไว้
อ้าฉิงรีบบินเข้าไปด้วยความโกรธ
“ปล่อยนายหญิงนะ!อ๊ากก! ข้าจะเสี่ยงชีวิตช่วยนายหญิง!”
เขาพยายามตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวเพื่อให้วานรอสูรกลัวแต่วานรนี้ฉลาดอย่างมาก มันมองอ้าฉิงด้วยสายตาเหยียดหยามและร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง เสียงคำรามของมันปนไปด้วยเสียงหัวเราะ มันกระโดดขึ้นด้วยขาทั้งสองข้างทะยานขึ้นไปราวกับวิหคยักษ์ก่อนจะกระเด็นไปยังกลุ่มเทือกเขา
ถ้าหากมันหนีรอดไปได้…อ้าฉิงก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะตามหานายหญิงทั้งสองถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น พี่น้องทั้งสองคงจะตกเป็นผู้หญิงของวานรอสูรและถูกสัตว์หน้าขนทรมานไม่รู้จบสิ้น!
หยวนหยิงหยิงร้องไห้ด้วยความกลัวเมื่อรู้ถึงอนาคตอันน่ากลัวนางพยายามตีแขนวานรอสูรด้วยพลังทั้งหมดที่มีและกรีดร้อง
“ปล่อยข้านะใครก็ได้…ได้โปรดช่วยข้ากับท่านพี่ด้วย! อ๊าาา! อ๊าาาาา…”
ส่วนคนพี่นั้นหน้าซีดด้วยความกลัวนางแทบจะสลบไปและไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว
อ้าฉิงที่อยู่เบื้องล่างทำได้แค่มองวานรอสูรที่หนีไปอย่างสิ้นหวังเขาไม่มีพลังพอจะไล่ตาม ดวงตาของเขามีโลหิตแตกออกมาหลังจากที่จ้องมองมันมายาวนาน
ในตอนนั้นเองได้มีเสียงดังก้องเทือกเขา
“เจ้าสัตว์ร้ายข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามาแล้ว มันยากมิใช่รึที่เจ้าจะบ่มเพาะมาถึงขั้นนี้ ข้าใจดีให้ชีวิตใหม่กับเจ้า แต่เจ้ากลับมาทำชั่วช้าทำร้ายมนุษย์เหมือนเดิม!”
เสียงดังนั้นต่อไป
“ข้าผ่านมาที่นี่ในวันนี้บังเอิญนักที่จะได้มาฆ่าเจ้า!”
เสียงลึกลับทำให้ทุกคนตกตะลึงแต่สิ่งที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ได้เปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ…
วานรอสูรที่เพิ่งจะกระโดดขึ้นฟ้าไปยังส่วนลึกของภูเขาได้กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับพบเจออะไรบางอย่างดวงตาดุร้ายของมันทั้งหวาดหวั่นและหวาดกลัว
มันต้องทนความเจ็บปวดหนีไปยังยอดเขามันกลายเป็นเงาทมิฬหนีไปที่ส่วนลึกของภูเขา พี่น้องตระกูลหยวนที่ถูกปล่อยตัวใช้พลังที่เหลือรีบบินกลับมายังคาราวาน
ผู้พี่ที่เพิ่งจะหายตกใจหายใจหอบขณะที่ถูกอ้าฉิงพยุงหยวนหยิงหยิงกำลังเช็ดน้ำตาและคุกเข่าลงด้วยความขอบคุณ
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือพวกเรา!ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิต”
ผู้เป็นพี่กลับมาได้สตินางประสานมือและคุกเข่าลงกับพื้น
“ขอบคุณที่ช่วยพวกข้าท่านโปรดปรากฏตัวออกมาให้ข้าได้แสดงความนับถือได้หรือไม่?”
หยวนหยิงหยิงนั้นขอบคุณจากใจแต่พี่สาวนางนั้นมีนัยซ่อนเร้น เพราะนางไม่รู้ว่าวานรอสูรมีชีวิตอยู่หรือจะกลับมาแก้แค้นหรือไม่ นางจึงคิดจะให้ผู้อาวุโสที่ไล่วานรอสูรเดินทางไปด้วยกันเพื่อที่พวกนางจะได้ปลอดภัย
“เเป็นเรื่องง่ายดายนักสำหรับข้าไม่จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องขอบคุณ แต่พวกเจ้าควรจะรีบไปไล่มัน มันอาจจะกลับไปที่ถ้ำหลังจากบาดเจ็บ มีผู้หญิงคนอื่นที่ถูกมันทำร้าย เป็นโอกาสดีที่เจ้าจะได้ช่วยพวกนาง”
เสียงนั้นชี้แนะขึ้นมา
ผู้เป็นพี่ละสายตา
“ท่านผู้อาวุโสท่านจะไม่มากับพวกเรารึ?”
เสียงนั้นจางหายไป
“พวกเจ้าไม่ต้องการข้าสัตว์ร้ายนั่นอยู่ได้อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มันทำร้ายใครไม่ได้แล้ว ไปจัดการมันด้วยตัวพวกเจ้าเองเถอะ”
นางแอบดีใจที่ได้ยินคำพูดของเขานางประสานมือแสดงความนับถืออีกครั้ง
“ขอบคุณท่านยิ่งนัก”
“ไปได้แล้ว!”
เสียงนั้นจางหายไป
ซือหยูที่กำลังขี่ม้าลืมตาขึ้นช้าๆเขาหน้าซีดเผือด เขาอ่อนแออย่างมากเมื่อให้วิญญาณออกจากร่างไป
เมื่อเสียงลึกลับนั้นหายไปจนหมดนายหญิงหนึ่งได้ยืนขึ้นด้วยความดีใจและประกาศ
“ทหารพวกเรามีโอกาสที่จะได้ทำการใหญ่ ตามข้ามา ไปฆ่าวานรอสูรนั่นกัน!”
ต่อให้นางไม่พูดเหล่าทหารก็รู้ความยิ่งใหญ่ของเรื่องนี้อยู่แล้ว แม้จะไม่มีเรื่องรางวัลมาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็ต้องฆ่าวานรอสูรให้ได้ และแค่ของที่มันขโมยมาหลายสิบปีก็เป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขาแล้ว
ต่อให้ได้ส่วนแบ่งคนละเล็กน้อยมันก็คงจะมากกว่ารายได้ของพวกเขาห้าปีรวมกัน! เพียงแค่คิดพวกเขาก็รีบตามเส้นทางของวานรอสูรไป
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามพวกเขาได้พบกับถ้ำใต้ดินที่ไม่สะดุดตาในภูเขาทมิฬ พลังอันดุร้ายของวานรอสูรปะทุออกมาถึงด้านนอกถ้ำ มีเสียงของมนุษย์ผู้หญิงอยู่ภายใน
พวกเขาดีใจมากเมื่อพบถ้ำของมันพวกเขาเข้าไปข้างในทันที ในถ้ำนั้นกว้างและทอดยาวเกือบลี้ มันปูพื้นด้วยขนสัตว์อ่อนนุ่ม
เนื้อแห้งทุกประเภทแขวนไว้บนกำแพงถ้ำกลิ่นน่าเอร็ดอร่อยของมันโชยตามมา ยังมีผลไม้จำนวนมากที่มันเก็บมาจากป่าใกล้ๆ
หญิงสาวเปลือยเปล่าสามคนกอดกันและกันอยู่ที่มุมถ้ำพวกนางตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อมองไปยังซือหยูและคนอื่นๆที่เข้าถ้ำมา
“หาเสื้อผ้าให้พวกนางพยายามปลอบพวกนางด้วย”
นายหญิงหนึ่งสั่งเหล่าทหาร
นางมองไปยังวารีอสูรไร้ชีวิตที่กลางถ้ำ
“วานรอสูรอยู่ได้ไม่นานอย่างที่ผู้อาวุโสคนนั้นบอกเลย”
“อ้าฉิงมัดวานรอสูรเอาไว้ พาตัวมันกลับเทือกเขาครามกับพวกเรา”
นางสั่ง
อ้าฉิงเลียริมฝีปาก…คุณพระคุณเจ้านี่คือวานรอสูรตัวเดียวกับที่ก่อเรื่องมาหลายครั้งในเทือกเขาคราม!
แค่ร่างกายของมันอย่างเดียวก็นับเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่แล้วโดยเฉพาะแกนอสูรที่จะใช้ทำโอสถได้มากมาย
ทหารทั้งสี่รีบไปลากร่างของวานรอสูรและมัดมันอย่างแน่นหนาเหล่าคนรอบๆตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มีเพียงนายหญิงที่ขมวดคิ้ว
นั่นก็เพราะนางสังเกตเห็นว่าไม่มีสิ่งของใดอยู่ในถ้ำเลยนอกจากผลไม้วิญญาณตามบันทึก สิ่งที่วานรอสูรขโมยมาควรจะมีจำนวนมหาศาล! และผู้หญิงที่ถูกจับตัวมาก็ต้องมากกว่าสามคนที่พบในวันนี้แน่นอน
แต่ยังพออธิบายได้ว่าผู้หญิงที่เหลือน้อยเพราะพวกนางมิอาจทนกับความโหดร้ายของวานรอสูรได้พวกนางจึงเลือกที่จะจบชีวิตตนเอง แต่เรื่องสิ่งของที่วานรอสูรขโมยมานั้นทำให้นางหนักใจ
เพราะมันคือวานรเป็นไปไม่ได้ที่มันจะใช้สิ่งของเหล่านั้น! นางสงสัยขึ้นมา…ของมีค่าพวกนั้นหายไปไหนล่ะ?
ซือหยูที่คิดแบบเดียวกันมองรอบๆด้วยสายตาคมกริบถ้ำนี้ดูไม่เหมือนถ้ำปกติและมีพื้นที่ลับมากมายที่เหมือนกับถูกมนุษย์สร้างขึ้นมา ยังมีร่องรอยสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์อยู่ด้วย
ซือหยูเห็นเข็มยาวๆสีดำอยู่ข้างๆเท้าของเขาถ้าหากเขาไม่มีสายตาที่สมบูรณ์แบบก็คงจะมองไม่เห็น
เขาหยิบมันขึ้นมาดมเบาๆกลิ่นประหลาดได้ไหลเข้าผ่านทางจมูก เขารู้สึกว่าหัวหนักอึ้ง แต่เพราะหม้อเก้ามังกรจึงได้สติกลับมา
“กลิ่นอะไรกัน!มันส่งผลต่อจิตใจ…”
ซือหยูเก็บเข็มทมิฬใส่กระเป๋า
“หยิงหยิงข้าขอถามเจ้าสักเรื่องได้หรือไม่?”
ซือหยูเดินไปถามหยวนหยิงหยิง
“มีคนที่เชี่ยวชาญการปรุงพิษหรือโอสถในอาณาเขตเทือกเขาครามหรือไม่?”
ซอืหยูคิดว่านี่ไม่ใช่พิษธรรมดาๆมันคือพิษที่พุ่งเป้ากับพวกภูติ เขาอยากจะเรียนรู้ให้มากเท่าที่จะทำได้
หยวนหยิงหยิงกระพริบตาตอบ
“พิษกับโอสถรึ?ปู่ซือพูดถึงตระกูลหยวนรึ? พวกเราเป็นตระกูลปรุงโอสถ พวกเราต้องมีความรู้ถึงโอสถทุกประเภท….รวมถึง….พิษ…ก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย…”
ตระกูลปรุงโอสถรึ?ซือหยูหรี่ตาและถามต่อ
“มีคนอื่นนอกเหนือจากตระกูลหยวนหรือไม่?”
“มีสำนักหลายสำนักในเทือกเขาครามที่ปรุงโอสถแต่มีแค่พันธมิตรปรุงยาเท่านั้นที่จะเทียบกับพวกเราได้ โอสถของพวกนั้นยอดเยี่ยมกว่าพวกเรา”
หยวนหยิงหยิงตอบ
ทันทีที่นางพูดจบก็ได้มีเสียงโกรธเกรี้ยวดังตามมา
“ทำไมเจ้าถึงพูดข่มตัวเองเล่า?โอสถตระกูลหยวนต่ำต้อยกว่าพันธมิตรปรุงยาตั้งแต่ตอนไหน?”
พี่สาวนางที่หาสมบัติไม่เจอค่อนข้างรำคาญและหงุดหงิดนางรู้สึกไม่พอใจขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินผู้เป็นน้องพูดเช่นนั้น
หยวนหยิงหยิงพูดเบาๆ
“พันธมิตรปรุงยาก็ดีกว่าพวกเรามาตลอดนั่นแหละ”
“พันธมิตรปรุงยารึ?”
ซือหยูพูดเบาๆ
หลังจากที่ผ่านไปสองชั่วยามกลุ่มทหารทำตามคำสั่งของนายหญิงจนสำเร็จ พวกเขาแบกร่างของวานรอสูรออกจากเทือกเขาวานรอสูร
หลังจากเดินทางสามวันพวกเขาได้มาถึงเมืองขนาดยักษ์ มันไม่เล็กกว่าเมืองไหนๆที่ซือหยูเคยเจอตลอดทางที่ล่าจักรพรรดิโลหิต
“นี่คือเทือกเขาครามของพวกเราเราเป็นเมืองระดับกลางที่มีลำดับในร้อยลำดับแรกของดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด…”
หยวนหยิงหยิงพูดแนะนำเมืองของนางอย่างภาคภูมิใจ
DND.742 – อุบายลึกล้ำ
เมืองนี้เป็นแค่เมืองลำดับที่ร้อยงั้นรึ?ซือหยูตกใจกับข้อมูลนี้
เมื่อคิดจนตลอดเขาไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะลงเอยโดยการย้ายตัวเองจากเขตกลางมาถึงดินแดนพรสวรรค์ด้วยวายุมิติของเขา เขามีการกระทบกระทั่งมากมายกับดินแดนพรสวรรค์เมื่อครั้งที่อยู่ในกระโจมเทพสวรรค? เขาได้พบชางก่วนชิงเอ๋อแห่งตำหนักโลหิต ลู่จือยี่จากตำหนักเมฆาม่วง และปรมาจารย์หุ่นเชิดหยูเทียนฉี
หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจอย่างกู้ไทซูก็อยู่ที่นี่เช่นกันแต่ซือหยูเพียงแต่ได้ต่อสู้กับร่างเงาของเขาสองครั้งในตอนที่พบกัน เขาไม่เคยสู้กับร่างหลักของกู้ไทซูสักครั้ง และเมื่อเขาได้มาที่ดินแดนพรสวรรค์ก็หยุดไม่ได้ที่จะคิดว่าต้องเจอกับกู้ไทซูอีกหรือไม่
ซือหยูกลับมามองความเป็นจริงและส่ายหน้าพร้อมตามตระกูลหยวนไปเมื่อถึงเมือง
“ลงจากม้าซะ!อ้าฉิง บอกตระกูลหยวนให้ส่งคนมาพาตัวเราไป!”
นายหญิงสั่งและลงจากรถม้า
อ้าฉิงไปที่หน้าเมืองณ จุดที่มีตำหนักใหญ่ตั้งอยู่ มันถูกคนตระกูลหยวนที่สวมเครื่องแบบปกป้องดูแล
“นายหญิงหนึ่งและสองกลับมาแล้ว!บอกตระกูลให้ใช้กระเรียนเงามารับพวกนาง!”
อ้าฉิงสั่งทหารตระกูลหยวนที่เฝฝ้าหน้าประตูทหารเข้าไปยังตำหนักในทันทีเพื่อแจ้งข่าว
เมืองนั้นกว้างและยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดมันใหญ่เท่ากับโลกเฉินหลง แม้จะใช้ม้าหมื่นลี้ พวกเขาก็ต้องใช้เวลาครึ่งวันกว่าจะถึงกลางเมือง!
ด้วยเหตุนี้ตระกูลหยวนจึงต้องส่งสัตว์อสูรอย่างกระเรียนเงามารับพวกนาง กระเรียนนี้บินด้วยความเร็วที่สูงมาก มันจะพาพวกเขาไปถึงตำหนักตระกูลหยวนได้ในหนึ่งชั่วยามเท่านั้น!
“ปู่ซือถ้าปู่ไม่มีบ้านให้กลับ เหตุใดไม่มาตำหนักตระกูลหยวนกับพวกเราล่ะ?”
หยวนหยิงหยิงดึงมือซือหยูและถามเขาด้วยดวงตากลมโตสดใส
ตลอดเวลาในการเดินทางนางได้พูดคุยกับซือหยูจนเริ่มสนิทกับเขา นางยังไม่อยากจะแยกจากเขาในตอนนี้
แต่พี่สาวนางก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ซือหยูจะตอบ
“หยิงหยิงเจ้าทำตามใจอีกแล้วนะ ท่านซือหยูจะต้องมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำแน่ เขาจะตามเจ้าไปได้อย่างไร?”
แม้นางจะอ้างเช่นนี้แต่เหตุแท้จริงที่ไม่อยากให้ซือหยูไปด้วยก็คือนางอยากจะแยกซือหยูกับน้องสาวของนางเพื่อที่จะได้มีโอกาสแอบลอบฆ่าเขา!
ซือหยูมองนางด้วยแววตามีเลศนัยและพูดอย่างใจเย็น
“ข้าไม่เป็นไรหรอกส่วน ‘เรื่องสำคัญ’ ที่เจ้าพูดถึงน่ะ ข้าจะทำเมื่อไหร่ก็ได้”
“นี่เจ้า!”
นางไม่พอใจอย่างมากเพราะคนแก่ตัณหากลับผู้นี้กล้าจะเข้าไปในตระกูลของนาง!แต่นางก็ทำอะไรไมได้เพราะกลัวว่าเขาอาจจะเปิดเผยเรื่องราวในวันนั้น
“โอ้!ดีเลย! ท่านพี่ได้ยินไหม? ปู่ซือหยูเซี่ยนตอบตกลงกับข้าด้วย”
หยวนหยิงหยิงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ส่วนพี่สาวนางทำได้ถอนหายใจแรงและรอคอยอย่างอดทนเมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็มีเสียงกระเรียนดังจากบนฟ้า กระเรียนขนาดใหญ่สิบตัวบินมาทางพวกเขา
ความเร็วของกระเรียนนั้นเร็วมากมันเทียบได้กับมนุษย์ภูติระดับห้า! นี่คือกระเรียนส่วนตัวของตระกูลหยวน มีคนอยู่บนหลังกระเรียนแต่ละตัวที่ทำหน้าที่ควบคุมมัน
ซือหยูถามด้วยความสงสัย
“คนพวกนั้นทำอะไรรึ?”
หยวนหยิงหยิงสับสนกับคำถาม
“ปู่ไม่เคยเห็นมาก่อนรึ?พวกเขาคือคนฝึกสัตว์! พวกเขามีพลังจิตควบคุมสัตว์อสูรได้ มีแค่ไม่กี่คนที่จะมีพลังเช่นนี้ ตระกูลหยวนของเราใช้เงินไปมากเพื่อที่จะเชิญผู้ฝึกสัตว์หนึ่งดาวมาห้าคน ทั้งดินแดนนี้ มีคนฝึกสัตว์อยู่ไม่ถึงสิบคน!”
ผู้ฝึกสัตว์รึ?ดูเหมือนว่าซือหยูจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่อีกแล้ว
ในตอนนั้นเขาสังเกตว่ากระเรียนมีคนสองคนขี่อยู่ หนึ่งคนเป็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหราและดูสง่างาม รูปลักษณ์และร่างกายของเขาดูเหมือนคนทั่วไป แต่เขาก็ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ ความมั่นใจเช่นนี้จะมีได้ในคนที่ครองตำแหน่งสูงมานานเท่านั้น
“ฮ่าๆๆๆน้องปี่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาและมองพี่สาวหยิงหยิงคนเดียวเท่านั้นเขาไม่สนใจคนอื่นๆที่นี่เลย
นางขมวดคิ้ว
“เฉาหยิน?ทำไมเจ้าถึงมากับคนในตระกูลข้า?”
ดูเหมือนว่าเฉาหยินจะไม่รู้ถึงความไม่พอใจของนางเขายิ้มอย่างมั่นใจ
“น้องปี่อย่าใจร้ายกับข้าสิเดี๋ยวเราก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
สีหน้าของนางเยือกเย็นขึ้น
“ระวังคำพูดของเจ้าให้ดีข้าไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับเจ้า! หยุดพูดให้คนเข้าใจผิดได้แล้ว”
นางพูดต่อ
“แล้วก็ตอนเรียกข้าให้เรียกชื่อเต็มๆของข้า โดยเฉพาะตอนที่เจ้าอยู่ต่อหน้าคู่หมั้นของเจ้า!”
เฉาหยินตกใจและอับอายในน้ำเสียงและคำพูดของนางเขาทั้งโกรธและรำคาญนาง แต่เขาไม่กล้าจะแสดงความโกรธต่อหน้าคนจำนวนมาก
เขาอดทนต่อความโกรธเอาไว้ราวกับเพิ่งรู้ว่าหยวนหยิงหยิงกลับมาด้วย
“หยิงหยิงเจ้าก็กลับมาด้วยรึ! ดีเหลือเกินที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
หยวนหยิงหยิงกำหมัดและก้มหน้าซ่อนตัวด้านหลังซือยหูนั่นมิใช่เพราะนางเขินอาย ซือหยูเห็นความเศร้าในใบหน้าของนาง จากที่เดินทางด้วยกันมา นางร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ แทบจะไม่ได้เห็นความเศร้าในใบหน้าของนางเลย
เมื่อซือหยูสังเกตดูเฉาหยินก็ส่ายหน้าเพราะถ้าตาไม่บอดก็บอกได้ว่าเฉาหยินนั้นไม่ได้สนใจคู่หมั้นของตนเลย เขากลับสนใจแต่พี่สะใภ้ในอนาคต…หยวนหวังปี่!
เฉาหยินถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาจากหยวนหวังปี่และแม้แต่หยวนหยิงหยิงก็หลบหน้าเขาเขาอับอายเกินกว่าจะอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่ไปกับพวกเจ้าไว้เจอกันโอกาสอื่นก็ได้”
เฉาหยินจากไป
หยวนหวังปี่มองร่างของเขาที่ห่างไปเรื่อยๆและขึ้นกระเรียนขาวเสี่ยวเถาติดตามนางไปติดๆ
เมื่อทุกคนไปแล้วใบหน้าเฉาหยินแสดงถึงความเยือกเย็น เขาต้องมองหยวนหวังปี่ที่อยู่บนกระเรียนอย่างไม่ละสายตา
“นังโสเภณี!เมื่อก่อนเอาแต่เรียกหาข้า แต่ตอนนี้กลับทำแบบนี้กับข้าเรอะ! เปลี่ยนไปเร็วเหลือเกินนะ!”
เขาสับสนว่าเหตุใจหยวนหวังปี่ถึงเปลี่ยนไปมากนักเพราะก่อนที่นางจะเดินทาง นางยังแอบเจอเขาอยู่เลย นางยังซ่อนความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อน้องสาว พวกเขาแอบคบหาดูใจกันมานาน นอกเหนือจากการมอบความบริสุทธิ์ให้ นางได้ทำทุกอย่างกับเขาตั้งแต่จับมือถือแขนอย่างใกล้ชิดและกระทั่งจูบ!
แต่เมื่อนางกลับจากการเดินทางนางได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นหลังมือ นางไม่ต่างกับคนแปลกหน้าสำหรับเขา เฉาหยินทั้งสับสนและโกรธเคือง!
ในตอนนั้นเขาเดินไปยังจุดที่เสี่ยวเถาเคยเหยียบ มีเข็มเล่มบางตกอยู่ที่นั่น เฉาหยินหยิบมันขึ้นมาและเปิดออกอย่างชำนาญ
“ดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง”
เขาเรียกพลังมาที่นิ้วมือทั้งสองและเพื่อบีบเข็มเขาหยิบเอากระดาษบางๆออกมาจากด้านใน เมื่อเขาเปิดก็พบกับข้อความเล็กๆมากมาย ถ้าหากหยวนหวังปี่อยู่ที่นี่ก็คงจะบอกได้ว่านี่คือลายมือของเสี่ยวเถา!
นางไปที่ทะเลสาบเมฆขาวรึ?เฉาหยินสับสน นางจะไปที่นั่นทำไมกัน? ที่นั่นเป็นอาณาเขตของตระกูลชางก่วน
เฉาหยินสีหน้าหม่านหมองเมื่อได้อ่านนามตระกูลชางก่วนเพราะตระกูลนี้แผ่ขยายอำนาจครอบคลุมพื้นที่ล้านลี้! พวกเขาปกครองเทือกเขาทั้งเก้า ภูเขายิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด ดินแดนพรสวรรค์ทั้งหก และห้าเมือง และเทือกเขาครามก็บังเอิญเป็นหนึ่งในเก้าเทือกเขาของตระกูลชางก่วน!
แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเปลี่ยนแปลงของหยวนหวังปี่เล่า?เขาอ่านต่อไปพร้อมกับชักสีหน้า
ไอ้แก่นั่น!บังอาจแตะต้องผู้หญิงของข้า! ความเยือกเย็นปรากฏในใบหน้าของเขา
แต่จากนั้นเขาก็ต้องสับสนเพราะเขาไม่รู้ว่าทำไมปี่เอ๋อถึงไม่ฆ่าชายแก่ แต่พาเขากลับไปยังตระกูลหยวน?
เฉาหยินครุ่นคิดและหรี่ตา…ไอ้แก่บัดซบนั่นกุมความลับของนางไว้และสั่งนางงั้นรึ?นั่นน่าจะเป็นเหตุที่นางแสร้งทำเป็นจบความสัมพันธ์กับข้า!
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาฉลาดจริงๆเพราะเขาเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้ถูกถึงครึ่งส่วน
“ไอ้แก่บัดซบ!เจ้ามันก็แค่ซากกระดูกเดินได้ถ้ากล้ามายุ่งกับผู้หญิงของข้า!”
เฉาหยินพูดเบาๆเขาเริ่มเกลียดชังซือหยูขึ้นมาจริงๆแล้ว
…
ขณะที่นางขี่กระเรียนอยู่บนฟ้าหยวนหวังปี่ได้ถามอย่างเย็นชา
“เจ้าได้ทิ้งจดหมายให้เขาหรือไม่?”
เสี่ยวเถาที่อยู่ข้างๆพยักหน้า
“ข้าเบี่ยงความสนใจของเขาไปที่ผู้เฒ่านั่นแล้วถ้าเขาอ่านจบ เขาก็ต้องคิดว่าชายแก่เป็นคนทำให้ความสัมพันธ์ของเขาจบลง และเขาก็จะไม่มีวันรู้ว่านายหญิงได้หมั้นหมายกับนายน้อยตระกูลชางก่วน!”
หยวนหวังปี่นั้นเจ้าอุบายและเฉลียวฉลาดเช่นเดียวกับเสี่ยวเถาสาวใช้ของนาง!
“เฉาหยินโง่นักที่คิดว่าข้าเป็นสายลับให้เขาและบงการนายหญิงของข้าให้เพราะเสนอของเล็กน้อยกับข้า!ข้าอยากจะเห็นนักว่าเฉาหยินฆ่าไอ้แก่นั่นยังไง!”
เสี่ยวเถาพูดเยาะเย้ย
เสี่ยวเถานั้นแสร้งทำเป็นไส้ศึกของเฉาหยินขณะที่ทุ่มเทและภักดีต่อหยวนหวังปี่!
“แต่มันจะไม่เสี่ยงรึที่จะให้คนอื่นรู้ว่านายหญิงถูกล่วงเกินเช่นนั้น?ถ้าเฉาหยินกระจ่ายข่าวไปถึงตระกูลชางก่วนก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะตระกูลชางก่วนให้คุณค่ากับเกียรติยศมากนัก นายหญิงจะประมาทไม่ได้!”
เมื่อได้ฟังคำเตือนหยวนหวังปี่ยิ้มที่มุมปาก
“เท่าที่ข้ารู้จักเฉาหยินข้ารู้ว่ามันจะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี มันจะไม่ยอมให้คนอื่นรู้แน่ว่าผู้หญิงที่มันแอบคบหาถูกคนอื่นล่วงเกิน! สบายใจเถอะ ดูเหตุการที่มันพลิกผันอย่างเบาใจเสีย…”
เสี่ยวเถาพยักหน้าและยิ้มออกมา
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามที่ตำหนักตระกูลหยวน
ตำหนักตระกูลหยวนนั้นกว้างขวางและยิ่งใหญ่มันกินพื้นที่เกือบหนึ่งในร้อยของทั้งเทือกเขาคราม มันใหญ่เท่ากับเกาะเฉินยี่ในโลกเฉินหลง ที่นี่เต็มไปด้วยข้ารับใช้ที่เดินอย่างพลุกพล่าน
ในที่พำนักและห้องภายในตำหนักถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยการตกแต่งและสถาปัตยกรรมนั้นตระการตาราวกับตำหนักวังหลวง! มีลำดับมากมายที่ถูกจัดวางเอาไว้ทั่วทุกมุมและรวบรวมพลังวิญญาณของโลกมาที่นี่ นั่นทำให้พลังวิญญาณภายในตำหนักนั้นหนาแน่นกว่าโลกภายนอก
ว้าว!ซือหยูแอบอุทานในใจ ยากที่เขาจะเชื่อว่าแม้แต่ตำหนักเดียวของจิวโจวก็หรูหราเช่นนี้!
“ตามข้ามาไปเจอเจ้าตระกูลด้วยกัน จะลืมการสังหารวานรอสูรของพวกเจ้าไปไม่ได้”
หยวนหวังปี่พูดและนำเหล่าทหารไปพบเจ้าตระกูลทหารรีบตามนางไปอย่างตื่นเต้น
ซือหยูแอบชื่นชมนางเพราะนางฉลาดและจัดการกับทุกเรื่องได้อย่างเหมาะสม นั่นทำให้เหล่าทหารภักดีต่อนาง
ซือหยูหันไปมองหยวนหยิงหยิงและส่ายหน้าเพราะแม้นางจะเดินทางไปด้วยกันและควรได้รับการยอมรับด้วย เหล่าทหารก็รู้สึกขอบคุณเพียงแต่หยวนหวังปี่เท่านั้น คงยากที่จะนางจะก้าวข้ามผ่านเวลานี้ไปได้
เจ้าตระกูลหยวนนั้นอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกตระกูลหลักทุกคนเขารอพวกนางอยู่ในโถงตำหนักแล้ว เขาเป็นสุภาพบุรุษที่อายุราวสี่สิบปี ความสุภาพเรียบร้อยมาพร้อมกับดวงดาลึกล้ำสดใส
“ท่านพ่อทุกคนมาแล้ว”
หยวนหวังปี่เดินเข้ามาอย่างสง่างาม
ผู้เฒ่าทุกคนในห้องมองนางอย่างชื่นชมบางคนคิดกระทั่งริษยาเจ้าตระกูลที่มีบุตรสาวอย่างหยวนหวังปี่ เพราะหยวนหวังปี่นั้นสมบูรณ์แบบในทุกระเบียดนิ้ว
นางคิดอ่านได้รวดเร็วและรู้วิธีวางตัวนางยังมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลัง และรูปลักษณ์อันงดงามของนางยังทำให้ยากที่คนอื่นๆจะเห็นข้อบกพร่อง
“ฮ่าๆๆๆลูกสาวที่รักของข้ากลับมาแล้ว”
เจ้าตระกูลเข้ามาทักทายลูกสาวอย่างไม่ใส่ใจความอลังการของห้องโถงเขาดึงแต่ละคนเข้ามาใกล้และมองทั้งสองด้วยความยินดีของผู้เป็นพ่อ
“ข้าคิดถึงท่านพ่อ!”
หยวนหยิงหยิงหอมแก้มเขา
นางมักจะทำตามใจเสมอนางมิได้มีนัยยะซ่อนเร้นในแต่ละการกระทำ พ่อลูกคู่นี้มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นจนเหล่าผู้เฒ่าขมวดคิ้วขึ้นมาเมื่อมองทั้งสาม