The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 751-752
DND.751 – โอรสสวรรค์คุมวิญญาณ
หลังกลับเข้าเมืองซือหยูได้เดินไปยังเขตตระกูลหยวน แต่เขาก็หยุดเดินหลังจากเดินได้ไม่กี่ก้าว เขาหันไปมองชานเมืองและเดินไปยังป่า
“ตรงนี้ไม่มีใครอยู่เจ้าออกมาได้แล้ว”
ซือหยูกล่าวอย่างใจเย็นขณะมองไปยังตำแหน่งที่ห่างออกไปหกลี้จุดนั้นเงียบไปครู่หนึ่งราวกับไม่มีใครอยู่ตอบ แต่ซือหยูยังคงมองไม่ละสายตา
“หึหึสัมผัสแข็งแกร่งน่าตกใจยิ่งนัก!”
หมอกอสูรทมิฬพวยพุ่งจากพื้นก่อร่างเป็นเงามนุษย์
เมื่อเงากระจัดกระจายชายแก่ชุดดำเผยดวงตาอำพันปรากฏตัวขึ้น
“เจ้าบ่มเพาะวิถีอสูรรึ?”
ซือหยูขมวดคิ้วเบาๆ
“ข้าเป็นผู้เฒ่านอกตำหนักชิงวิญญาณข้าสกุลเหลียว ท่านเล่า?”
ผู้เฒ่าเหลียวถาม
ซือหยูตอบเรียบเฉย
“จะรู้ไปเพื่อสิ่งใดข้าก็ไม่ได้อยากรู้ว่าเจ้าตามข้ามาได้เช่นใด แต่ข้าอยากรู้ว่าเจ้าตามมาด้วยเหตุอันใด?”
ผู้เฒ่าเหลียวมิได้ไม่พอใจกับคำถามเขาหัวเราะตอบ
“ตรงไปตรงมานัก!ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ปิดบังสิ่งใดแล้ว”
เขาสูดหายใจ
“ท่านเป็นนักปรุงยาชั้นกลางการอาศัยในเทือกเขาครามถือเป็นการเสียความสามารถไปเปล่าๆ เหตุใดไม่มาเข้าร่วมกับตำหนักชิงวิญญาณเล่า? ท่านจักได้แสดงพรสวรรค์อย่างตระการตา ผลประโยชน์ยังมีอีกมากนัก!”
ซือหยูรู้ดีว่าเขาควรจะเข้าร่วมสักสำนักเพื่อบ่มเพาะพลังต่อไปเพราะจิวโจวเต็มไปด้วยยอดฝีมือ แม้เขาจะกลับไปตั้งรกรากในเฉินหลงตอนนี้ เขาก็มิอาจปกป้องคนเฉินหลงได้
ดังนั้นถ้าหากมีสำนักสักสำนักตั้งใจจะรับเขาเข้าไปช่วยบ่มเพาะและเติบโตแข็งแกร่งซือหยูก็ไม่คิดจะปฏิเสธข้อเสนอ และตำหนักชิงวิญญาณยังเป็นหนึ่งในสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดินแดนพรสวรรค์ มันยังคงเป็นสำนักอสูรที่แข็งแกร่งในลำดับต้นๆ ซือหยูอยากจะไปที่นั่นจริงๆ
แต่น่าเสียดายที่เขามีความบาดหมางมากมายต่อตำหนักชิงวิญญาณเขาสังหารศิษย์มากพรสวรรค์ของตำหนักชิงวิญญาณไปหลายคนในกระโจมเทพสวรรค์ เขายังฆ่าโจวฉีหมิงไปอีกด้วย ดังนั้นการเข้าสู่ตำหนังชิงวิญญาณก็ไม่ต่างจากการเข้ารังเสือ!
“แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?”
ซือหยูถาม
ผู้เฒ่าเหลียวยังคงยิ้มที่มุมปากแต่สีหน้าของเขาเย็นชาลงไปมาก
“ถ้าคงได้แต่ขออภัยเพราะข้าคงต้องจบชีวิตเจ้า อย่างไรก็ดีกว่าให้สำนักอื่นได้ตัวเจ้าไป!”
ซือหยูหัวเราะ
“ตำหนักชิงวิญญาณของเจ้ายังเป็นเหมือนเดิมสินะ”
ผู้เฒ่าเหลียวขมวดคิ้ว
“อะไรกัน?พูดอย่างกับตำหนังชิงวิญญาณเคยล่วงเกินเจ้ามาก่อน”
ซือหยูยักไหล่
“สำนักเจ้าไม่ได้ล่วงเกินข้าเพราะข้าฆ่าทุกคนที่กล้าล่วงเกินข้าไปหมดแล้ว!”
“บอกได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใคร?”
ผู้เฒ่าเหลียวถามอีกครั้งขณะหรี่ตาเล็กน้อย
รอยยิ้มซุกซนฉายบนมุมปาก
“เจ้าไปถามโจวฉีหมิงไม่ดีกว่ารึ?”
คำพูดของซือหยูไม่ทิ้งข้อสงสัยใดไว้ให้ผู้เฒ่าเหลียวอีกแม้จะมีศิษย์มากกว่าสามสิบคนจากตำหนักชิงวิญญาณที่ตายในกระโจมเทพสวรรค์ แต่โจวฉีหมิงนั้นถูกสังหารโดยคนคนหนึ่งที่ทุกคนรู้นาม คนผู้นั้นได้นำมีดสมบัติเทพของโจวฉีหมิงมาประมูลต่อหน้าทุกคน!
ลือว่าบุรุษผู้นี้สังหารร่างเงาของกู้ไทซูที่มีพลังภูติระดับเก้าไปเช่นกันและบุรุษคนเดียวกันนี้ยังสังหารร่างเงาของหนึ่งในสองเจ้าตำหนักผู้ยิ่งใหญ่แห่งตำหนักโลหิตอย่างผู้เฒ่าฉีเทียนโจวไปด้วย ร่างเงานั้นมีพลังภูติระดับหก! บุรุษผู้นี้มีชื่อเสียงในตำหนักชิงวิญญาณ เขามิใช่ใครอื่นนอกจากซือหยู!
“เจ้าคือซือหยู!”
ผู้เฒ่าเหลียวเบิกตากว้างชนิดที่ว่าไม่เคยหวาดกลัวมากเช่นนี้มาก่อนถ้าเขาคือซือหยูจริง คนอย่างเขาที่มีพลังภูติระดับเจ็ดก็คงจะต้านทานไม่ได้!
รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏบนใบหน้าซือหยูที่ซ่อนไว้ในชุดฟางกันฝน
“ยินดีด้วยเจ้าตอบคำถามได้ถูกเผง”
ข้า!ต้อง! หนี! ผู้เฒ่าเหลียวตื่นตระหนก เขาตกใจและหันหนีไปทันที
หัวใจของเขาแทบจะระเบิดเพราะความกลัวใบหน้าแทบจะกลายเป็นสีเขียวเพราะความโศกเศร้า เขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อรับผู้ปรุงยาเข้าสำนัก แต่กลับได้พบเจอกับสัตว์ประหลายน้อย!
“หึหึเจ้ามาทันเวลาพอดี ยังมีเรื่องที่ข้าจัดการเองไม่ได้ เจ้าควรจะทำให้ข้านะ”
ซือหยูเผยรอยยิ้ม
เขายกมือโบกใส่ผู้เฒ่าเหลียวที่บินหนีเมฆทมิฬทะยานฟ้า เนตรยักษ์มองลงมาจากสวรรค์
พลังสวรรค์พิโรธไร้ขอบเขตปะทุออกพลังยิ่งใหญ่พอจะทำลายล้างโลก มันเหมือนกับเนตรสวรรค์
ผู้เฒ่าเหลียวสั่นไปทั้งกายเขาหยุดหนีโดยไม่รู้ตัว เขาไม่กล้าจะขยับแม้แต่นิดเดียว เขาเงยหน้ามองนภาด้วยความกลัวและตกตะลึงในหัวใจ
“นะ….เนตรสวรรค์!”
เขาพูดตะกุกตะกักเนตรนี้ลบเขาหายไปจากโลกได้ตามใจประสงค์!
“เป็นทาสข้าหรือตาย!”
ซือหยูเดินเรียบเฉย
“สามลมหายใจข้าให้เจ้า”
“ข้าจะเป็นทาสท่าน!”
ผู้เฒ่าเหลียวตะโกนโดยไม่คิดแม้แต่ลมหายใจเดียว
สำหรับผู้บ่มเพาะวิถีอสูรเขาเปิดรับทุกสิ่งตราบเท่าที่จะไม่ตาย เพราะความโหดร้ายป่าเถื่อนของสภาพแวดล้อมได้แสดงกับพวกเขาว่าชีวิตนั้นล้ำค่าเพียงใด
“ไม่เลว!อย่าขัดขืนก็แล้วกัน!”
ซือหยูพอใจในคำตอบ
ความขมขื่นเอ่อล้นในใจผู้เฒ่าเหลียวแต่เขาก็ไม่กล้าจะต่อต้านซือหยู เขาล้มความคิดขัดขืนจนสิ้น
ซือหยูใช้โอรสสวรรค์จ้องนภาระดับคุมวิญญาณจะทำให้ซือหยูควบคุมวิญญาณคนที่ไม่มากกว่าเขาได้ทั้งขอบเขต
มันยังทำให้เขาสังหารยอดฝีมือได้เพียงประสงค์พร้อมทั้งควบคุมจิตใจ มันแข็งแกร่งและไร้ร่องรอย อีกฝ่ายมิอาจรู้ด้วยซ้ำว่าถูกคนอื่นบงการอยู่!
ในการต่อสู้กับผู้ศักดิ์สิทธิ์ในก้นบึ้งมังกรที่เฉินหลงซือหยูเคยใช้มันสั่งการหกศักดิ์สิทธิ์ด้วยวิธีนี้ให้หักหลัง นั่นทำให้ห้าศักดิ์สิทธิ์บาดเจ็บสาหัส
ในครานั้นแม้แต่ตัวหกศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่รู้ว่าถูกคนอื่นควบคุมอยู่ ดังนั้นผู้เฒ่าเหลียวจึงไม่มีทางเป็นอิสระจากการคุมวิญญาณของซือหยูนอกจากเขาจะกลายเป็นจ้าวเทวะ
“ถ้าเจ้าเชื่อฟังข้าจะเหลือสติไว้กับเจ้า ข้าอาจจะให้โอกาสเจ้าเป็นอิสระด้วย แต่ถ้าเจ้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ข้าจะลบตัวตนของเจ้าทิ้งเสีย เจ้าจะเป็นเพียงหุ่นเชิดของข้า! ถ้าคิดจะต่อต้านข้าก็จงคิดให้หนัก…”
ซือหยูเตือน
ผู้เฒ่าเหลียวยิ้มอย่างขมขื่น…ข้าทำผิดบาปอันใดถึงต้องมาเจอกับสัตว์ประหลาดตนนี้กัน?
“ขะ…นายท่านข้าจะเชื่อฟังคำชี้แนะของท่านแน่นอน”
ผู้เฒ่าเหลียวตอบ
ซือหยูพยักหน้าเขาไม่กลัวว่าผู้เฒ่าเหลียวจะเป็นอิสระจากการคุมวิญญาณ เพราะถ้าหากมันง่าย ซือหยูก็คงต้องประเมินโอรสสวรรค์จ้องนภาเสียใหม่
“เรียกข้าว่านายน้อยก็พอเจ้าหาวัตถุดิบพวกนี้ให้ข้าได้เท่าใด?”
ซือหยูถามและยื่นสูตรวารีผงกลั่นดวงใจให้กับเขา
ผู้เฒ่าเหลียวดวงตาสั่นระริก
“สูตรโอสถขั้นกลางรึ?อืม…เงื่อนไขเช่นนี้ ดูมิใช่จากยุคนี้ นี่คือสูตรโอสถโบราณรึ?”
เขารับรู้ต้นตอของโอสถเพียงแค่มองครั้งเดียว!ซือหยูตกใจอยู่บ้าง เขาสงสัย…ผู้เฒ่าเหลียวเป็นนักปรุงยารึ?
หลังจากผู้เฒ่าเหลียวหายตกใจเขาขมวดคิ้ว
“นายน้อยข้าหาวัตถุดิบอื่นได้เพราะมีตามท้องตลาดแม้ในวันนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว นั่นคือหญ้าพิณใจสลาย”
เขาส่ายหน้า
“หญ้าพิณใจสลายมีพิษร้ายทำลายดวงวิญญาณผู้คนนักปรุงยาสมัยก่อนใช้ปรุงยาพิษ แต่ยุคนี้ไม่เคยถูกใช้ จิวโจวเปลี่ยนแปลงจากอดีต วัตถุดิบสูญพันธุ์ตามกาลเวลา ข้าหาให้ท่านไม่ได้แน่นอน!”
ซือหยูขมวดคิ้วเขายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะมันคือโอสถที่จะช่วยปรับดวงวิญญาณของเขา!
“ไม่มีวัตถุดิบนี้เหลือแม้แต่ใบเดียวหรืออย่างไร?”
ผู้เฒ่าเหลียวส่ายหน้า
“มันต้องไม่มีอยู่แล้วข้าไม่เคยได้ยินว่ามันปรากฏขึ้นในรอบหมื่นปีนี้ แม้จะมีคนหาเจอก็มิอาจใช้ได้ มีแต่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ ยากมากที่จะหามันได้ มีเพียงเมล็ดเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่”
เมล็ดรึ?ซือหยูตกใจเมื่อรู้เรื่องนี้
“เจ้ารู้ที่หาเมล็ดหรือไม่?”
ผู้เฒ่าเหลียวตกใจเขาสงสัย…เขาจะทำอะไรกับเมล็ดได้เล่า?
เขารีบตอบ
“ที่ตำหนักชิงวิญญาณเก็บรวบรวมเมล็ดเอาไว้แต่พลังของโลกตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เมล็ดมิอาจเติบโตได้อีก นายน้อยคิดดีแล้วหรือไม่?”
ซือหยูตาลุกวาว
“ไม่จำเป็นหรอกข้าต้องการเมล็ดของมัน! เจ้าเอาเมล็ดกับวัตถุดิบอื่นๆมาให้ข้าได้เลย”
ผู้เฒ่าเหลียวพยายามยืนกรานแต่ก็หุบเงียบไปเพราะการหาเมล็ดมิใช่เรื่องยากสำหรับเขา เพราะวัตถุดิบต่างๆก็มีอายุสั้นไม่เหมือนกับเมล็ดที่เขารวบรวมได้ล่วงหน้า
“เข้าใจแล้ว!นายน้อย ข้าควรไปตอนนี้เลยหรือไม่?”
ผู้เฒ่าเหลียวถามต่อ
ซือหยูส่ายหน้า
“ยังเจ้าอยู่ในเมืองจนกว่าข้าจะออกจากเทือกเขาคราม เจ้าควรพร้อมรับใช้ข้าตลอดเวลาด้วย”
ซือหยูรู้ว่าเขามิอาจต่อสู้เป็นเวลานานได้ถ้าหากสายพลังโลหิตภายในยังไม่ฟื้นฟูดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมตัวช่วยไว้สักหน่อย ผู้เฒ่าเหลียวเป็นภูติระดับเจ็ด พลังควรจะถือว่าสูงส่งในเทือกเขาคราม ซือหยูรู้สึกเบาใจกว่าหากมีเขาอยู่ใกล้ๆ
“ขอรับ!”
ผู้เฒ่าเหลียวพยักหน้าอีกครั้ง
ทั้งคู่จึงจากไปทั้งสองเดินแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน
ไม่นานนายน้อยหน้าตาหล่อเหลาก็ที่สวมชุดขาวงดงามได้ร่อนลงพื้นใบหน้าเขาเรียบเนียนดั่งหยกขาว
เขามีดวงตาสดใสที่มีพลังสะกดสาวน้อยได้มากมายร่ายกายสูงโปร่งราวกับวีรบุรุษผู้เป็นขุนนาง
“สวรรค์พิโรธรึ?”
นายน้อยหนุ่มมองสวรรค์พิโรธที่หลงเหลือในสายลมด้วยความแปลกใจ
“เทือกเขาครามเล็กๆนี่มีตัวตนชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่อยู่ด้วยสินะ?”
เขาพูดเช่นนี้เพราะสวรรค์พิโรธมักจะปรากฏในพื้นที่ที่มีสิ่งชั่วร้ายร่อนเร่ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกและผิดปกติที่จะมีสวรรค์พิโรธปรากฏมาได้
“นายน้อยเราจะไปตระกูลหยวนส่งของขวัญหมั้นทันทีหรือไม่?”
บุรุษอีกคนร่อนลงมาถามนายน้อยไม่นานก็มีชายร่างกำยำเกินร้อยนายร่อนลงตามมา แต่ละคนมีของของขวัญสีแดงเพลิงติดตัว
นายน้อยหนุ่มส่ายหน้า
“มิได้ข้าทำตามความปรารถนาท่านพ่อยอมรับงานหมั้น มิใช่ว่าจะไม่สืบเสาะเรื่องราวใด! มองหาที่พัก ข้าจะไปปะปนในเมืองถามหาน้ำใสใจคอคู่หมั้นข้า”
หลังพูดจบนายน้อยหนุ่มพุ่งเข้าเมืองด้วยความเร็วสายฟ้าทิ้งไว้เพียงเงา ซือหยูหันกลับไปมองโดยมิรู้ตัวเมื่อรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ผ่านไป
ใจสั่นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกดูท่าเทือกเขาครามจะเก็บซ่อนยอดฝีมือมากมายเอาไว้ เขาคงต้องเจียมตัวยิ่งกว่าเดิมนับแต่นี้ หลังจากกลับมาถึงตระกูลหยวน ซือหยูได้ไปที่ห้องของหยวนหยิงหยิงทันที
“ปู่ซือปู่หายไปไหนมาตั้งนาน? ข้าเป็นห่วงนะ!”
หยวนหยิงหยิงกอดแขนซือหยูด้วยความรัก
ซือหยูยิ้มเขาหยิบเอาแหวนมิติออกมา มันมีแก้วสามพันดวงอยู่ข้างใน เขายื่นให้กับนาง
“นี่ส่วนแบ่งของเจ้าถ้าเจ้าจะฝึกปรุงยาต่อและขาดแคลน เจ้าก็จะไม่ขาดเงินจับจ่ายอีกแล้ว!”
ซือหยูยิ้มและมอบแหวนมิติให้นางโดยไม่คิดอะไรหยวนหยิงหยิงพลันชะงัก นางปล่อยวิญญาณลงสู่แหวนมองดูภายในพร้อมเบิกตากว้าง
“ว้าว!เยอะขนาดนี้เชียว? ตอนนี้ข้ามีเงินเยอะกว่าท่านพี่เสียอีก!”
ซือหยูเตือนนางทันที
“เจ้ามิควรเปิดเผยเรื่องเงินต่อหน้าผู้ใดและจงอย่าให้ใครรู้ว่าเจ้ามีฐานะเช่นนี้ด้วย!”
DND.752 – โอสถระดับสี่
“ได้เลยปู่ซือ”
หยวนหยิงหยิงยิ้มเป็นสุขก่อนจะหอมแก้มซือหยู
“ปู่ซือดีกับข้าเกินไปแล้วข้าอยากจะอยู่กับปู่ตลอดไปเลย!”
ซือหยูยื่นมือแตะแก้มด้วยความเขินอายเพราะเขารุ่นราวคราวเดียวกับหยวนหยิงหยิง แต่นางเห็นเขาเป็นชายแก่
“ปู่อายหรือ?”
หยวนหยิงหยิงเบิกตาโพลงนางถามตรงๆ
“ถ้าปู่หนุ่มกว่านี้สักแปดสิบปีข้าก็จะแต่งงานกับปู่จริงๆนะ! ต่อให้ต้องหนีงานแต่งงานที่ตระกูลจัดไว้ไปกับปู่ก็ไม่เป็นไร ข้าจะได้อยู่กับปู่ตลอดไปเลย!”
ซือหยูไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้เพราะเขาเพิ่งจะอายุยี่สิบ!
“เอาเถอะๆอย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย เราต้องเริ่มปรุงยาได้แล้ว จงจำให้ดี เจ้าลองได้แค่สามครั้งเท่านั้น”
ซือหยูหยิบเอาวัตถุดิบขยายภูติสามชุดออกมา
“แต่อย่าปรุงระดับสามครั้งนี้จงปรุงระดับสี่ เก็บหนึ่งชุดเอาไว้ ส่วนอีกสองชุดเราจะแบ่งกันปรุง!”
“โอสถระดับสี่รึ?”
หยวนหยิงหยิงส่ายหน้า
“วิชาปรุงยาขั้นสูงสุดของข้าในตอนนี้ยังเป็นไปไม่ได้หรอก”
ซือหยูเผยยิ้ม
“ถ้าข้าช่วยเจ้าก็เป็นไปได้!เจ้าแค่ลองดูก็พอ”
ซือหยูเร่งนางหยวนหยิงหยิงรับวัตถุดิบไป แต่เมื่อนางเห็นวัตถุดิบก็ตกใจอย่างมาก
“อ๊ะ!วัตถุดิบบริสุทธิ์นัก! ข้าไม่รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมเลย!”
ในตอนนั้นนางเข้าใจซือหยูแล้วเพราะว่าวัตถุดิบนี้บริสุทธิ์อย่างมาก
“ปู่ซือทำได้ยังไง?ปู่เก่งเกินไปแล้ว! ปู่ชำระล้างมันสินะ? ข้าไม่เคยเห็นวัตถุดิบบริสุทธิ์เท่านี้เลย! ท่านพ่อยังชำระล้างไม่ได้ระดับนี้เลย”
หยวนหยิงหยิงตกตะลึง
ซือหยูพูดด้วยรอยยิ้ม
“รีบปรุงได้แล้วถ้าเจ้าทิ้งมันไว้นาน มันจะดูดซับสิ่งปนเปื้อนจากภายนอก!”
หยวนหยิงหยิงรีบปรุงยาทันทีส่วนซือหยูที่คุ้นชิดกับการปรุงโอสถขยายภูติก็รีบปรุงส่วนของตัวเองเช่นกัน
ผ่านหนึ่งชั่วยามใบหน้าหยวนหยิงหยิงชุ่มเม็ดเหงื่อ แต่ยังคงกัดฟันปรุงต่อไป นางรู้ดีว่ายิ่งวัตถุดิบบริสุทธิ์มาก ขั้นหลอมรวมสุดท้ายก็ยิ่งยาก นางหลอมรวมโอสถระดับสามได้ง่ายดาย แต่ตอนนี้นางทำไม่ได้แม้จะพยายามหลายครั้ง
เวลาผ่านไปช้าๆแม้จะผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามนางก็ค่อยๆพยายามขั้นตอนหลอมรวม มันกินเวลาไปอีกหนึ่งชั่วยามก่อนที่การหลอมรวมโอสถจะเสร็จสิ้น เสียงเบาๆเริ่มดังมาจากในหม้อ
หยวนหยิงหยิงล้มกายลงไปกับพื้นทั้งร่างชุ่มเหงื่อ
“ว่าแล้วว่าทำโอสถระดับสี่มันยากข้าเพิ่งจะทำเสร็จตอนนี้เอง! ปู่ซือดูสิ”
ซือหยูเปิดหม้อพลังระเบิดปะทุออกมา ซือหยูรีบผลักหยวนหยิงหยิงไว้ที่ด้านหลัง
กลิ่นโอสถโชยจากหม้อเม็ดกลอนสีม่วงที่มีลวดลายสี่ลายได้พุ่งทะลุหลังคาออกจากห้องไป ซือหยูรีบไปที่หลังคาหลังจากยืนยันว่าหยวนหยิงหยิงปลอดภัย จากนั้นจึงกลับมายังห้องปรุงยาขณะที่ทั้งคู่ได้แต่หวังว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…
“ปู่ซือท่านพ่อจะจับได้ไหม?”
หยวนหยิงหยิงค่อนข้างงตกใจ
“ไม่คิดเลยว่าโอสถระดับสี่จะมีพลังขนาดนั้นกับหมเอหม้อของข้าระดับไม่สูงพอ มันทนไม่ไหวจนระเบิด!”
ซือหยูงุนงง
“ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็เห็นโอสถมันถูกปรุงสำเร็จ! เราต้องไปหาหม้อปรุงระดับสูงมาเดี๋ยวนี้ เราจะปรุงโอสถขยายภูติที่จะใช้เอง!”
หยวนหยิงหยิงตื่นเต้นโดยพลันนางพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา
…
เจ้าตระกูลหยวนกำลังอ่านตำราปรุงยาอยู่ในห้องสีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อมองทิศทางห้องหยวนหยิงหยิง เขาเห็นว่ามีเม็ดบางอย่างลอยมาที่เขา! เขางุนงงอย่างมาก เขายื่นมือรับมันเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
โอสถรึ?เขาแบมือออก กลิ่นโอสถรุนแรงปะทะกับจมูก เขาตกตะลึงเมื่อได้มองมัน
“โอสถระดับสี่!”
มันมีสีม่วงเข้มพร้อมกับลายทั้งสี่เขาตกใจมากเพราะมีไม่ถึงสามคนในทั้งเทือกเขาครามที่จะปรุงโอสถระดับสี่ขึ้นมาได้
และก็ไม่ใช่ตัวเขาเองที่ปรุงมันขึ้นมาเขาต้องใช้ความคิด…
หรือจะเป็นสองคนนั่นจากพันธมิตร?
ไม่สิไม่น่าจะใช่…
ในตอนนั้นเขาก็สังเกตุว่ามีบางอย่างแปลกไปจากนั้นจึงอ้าปากค้าง มันคือโอสถขยายภูติ!
โอสถขยายภูติจำนวนมากที่ปรากฏขึ้นในเทือกเขาครามได้ทำให้เกิดความแตกตื่นมีคำลือเล่ามากมายว่าหม้ายอสรพิษกับกลุ่มขวานได้เริ่มต่อสู้เข่นฆ่ากันเพื่อชิงโอสถ ภูติสามในหกคนของหม้ายอสรพิษได้ตายไปเพราะการปะทะกับกลุ่มขวาน
ส่วนผู้ปรุงยานั้นยังไร้ร่องรอยมีเพียงคนเดียวที่รู้จักนักปรุงยาผู้นั้นก็คือหูเสี่ยวเตี้ยที่หนีไปแล้ว! ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนเช่นกัน!
ด้วยข้อมูลทั้งหมดสิ่งสุดท้ายที่เจ้าตระกูลหยวนจะคิดได้ก็คือโอสถที่บังเอิญลอยมาหาเขาในตอนนี้ ความผิดพลาดนี่ทำให้สัญชาตญาณทำงาน มันบอกเขาว่าคนที่ปรุงโอสถนี้อยู่ในตำหนักตระกูลหยวน!
เขาสีหน้าหม่นหมอง
“มีคนแอบใช้ความร่ำรวยของตระกูลเราแอบฝึกวิชาปรุงยาจนกลายเป็นนักปรุงยาชั้นกลางได้สำเร็จ…”
คนที่เจ้าตระกูลหยวนสงสัยในตอนนี้คือนักปรุงยาทั้งสิบในตำหนักสามคนนั้นเป็นคนตระกูลหยวน ส่วนอีกเจ็ดคนถูกจ้างมาด้วยราคาแพง
ถ้าหากคนผู้นั้นเป็นคนตระกูลหยวนเขาก็จะดีใจอย่างมาก แต่ถ้าคนผู้นั้นมาจากตระกูลจริง คนผู้นั้นก็ไม่ควรจะแอบฝึกฝนอย่างลับๆ สิ่งเดียวที่เป็นไปได้ก็คือนักปรุงยาทั้งเจ็ดที่เขาจ้างมา หนึ่งในนั้นจะต้องใช้สิ่งที่ตระกูลมีแอบฝึกจนกลายเป็นนักปรุงยาชั้นกลาง!
แม้ว่าเขาจะโกรธเขาก็ไม่กล้าจะไปสืบหาตัวตนของคนผู้นี้ เพราะถ้าหากเขาได้กลายเป็นนักปรุงยาชั้นกลางที่เทียบเท่ากับตัวเขาเอง หากเขาไม่แสดงความนับถือ คนผู้นั้นก็อาจจะไปเข้าร่วมกับพันธมิตรปรุงยา นั่นจะทำให้ตระกูลหยวนลำบากยิ่งกว่าเดิม!
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าจะต้องพยายามเก็บนักปรุงยาผู้นี้เอาไว้ที่ตระกูล…
…
ซือหยูกับหยวนหยิงหยิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องของเจ้าตระกูลทั้งคู่ได้แต่ปรุงโอสถระดับสี่ต่อไป
หลังจากใช้เวลาหมดไปทั้งวันอย่างยากลำบากพวกเขาได้ปรุงโอสถระดับสี่สองเม็ดสำเร็จ ในตอนนี้ ซือหยูจะกลายเป็นภูติได้ทุกเมื่อทันทีที่สายพลังโลหิตของเขาฟื้นตัวเต็มที่!
“หยิงหยิงยังเหลืออีกสี่วันก่อนจะถึงการประลองของตระกูล เจ้าควรเผยพรสวรรค์ในตอนนั้น! ตอนนี้ไม่ต้องปรุงโอสถแล้ว เจ้าจะต้องบ่มเพาะพลังให้ดี”
ซือหยูพูดและหยิบม้าเมฆาออกมาจากมุกวิญญาณเก้าหยก
เขามอบมันให้แก่นาง
“กินสิ่งนี้มันจะช่วยเจ้าในอีกสี่วันข้างหน้า”
หยวนหยิงหยิงจำมันได้เพียงเหลือบมองครั้งเดียวจากการที่เป็นบุตรสาวแห่งตระกูลปรุงยา
“อ๊ะ!ม้าเมฆา! มันจะเติบโตเมื่อมีพลังวิญญาณหน้าแน่นเท่านั้น มันหายากมาก! มันจะส่งผลกับภูติให้เลื่อนระดับพลัง!”
นางแปลกใจจนหุบปากไม่ลง!
“ข้าเพิ่งจะเคยได้เห็นมันครั้งแรกนี่แหละ!”
“กินซะ…”
ซือหยูพูดและกินโอสถคืนชีพหยางพิสุทธิ์เพื่อรักษาสายพลังโลหิตสุดท้าย
เวลาผ่านไปในพริบตาหลังจากสี่วัน หยวนหยิงหยิงได้กลายเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงอย่างที่เขาคาด และนางยังมีพลังขั้นสูงสุดของขอบเขต!
นี่เป็นวันที่การประลองตระกูลหยวนจะเริ่มขึ้นการประลองเช่นนี้จัดขึ้นสี่ครั้งต่อไป
ในการประลองผู้เฒ่าเสาหลักตระกูลจะเข้าชมลูกหลานและตัดสินความสามารถตามแต่พลัง การประลองนี้สำคัญยอ่างมาก มิเพียงแต่ผู้เฒ่าของตระกูลจะมา แต่นักปรุงยาชั้นต้นของตระกูลรองได้ถูกเชิญมาด้วย
จำนวนของคนในครั้งนี้มากกว่าการประลองที่แล้วถึงสามเท่าเป็นอย่างน้อยในตระกูลหยวนจึงมีเสียงดังสนั่น!
“ทำไมครั้งนี้คนเยอะกันล่ะ?”
คนจากตระกูลรองสงสัย
“แปลกนักดูนั่นสิ! ผู้เฒ่าปั่วจินก็อยู่ที่นี่ ข้าได้ยินว่าเขาถูกส่งไปที่ร้านขายโอสถ เหตุใดถึงถูกเรียกตัวกลับมา?”
อีกคนถาม
ทุกคนที่นี่ตกใจและสับสนแม้แต่คนที่ฉลาดเจ้าเล่ห์อย่างหยวนหวังปี่ก็ไม่เข้าใจว่าท่านพ่อว่างแผนอะไรอยู่ ไม่นานเจ้าตระกูลก็มาถึง
“ทุกท่านโปรดใจเย็นและอย่าตื่นเต้นเกินไปนักการประลองกำลังจะเริ่มแล้ว แต่ขั้นแรก ให้ข้าประกาศบางอย่างเสียก่อน…”
เจ้าตระกูลสีหน้ามีชีวิตชีวา
“ข้าขอบคุณที่ยอดฝีมือในตระกูลเข้าร่วมมากมายเช่นนี้ข้าเตรียมสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องตกใจเอาไว้แล้ว คนที่ได้ลำดับหนึ่งจะได้รางวัลนี้ไป”
ทุกคนตกตะลึงสิ่งที่จะตกใจรึ? ในการประลองคราวก่อนๆ ผู้ชนะได้แก้วยี่สิบดวงกับโอสถระดับสามหนึ่งเม็ดเสมอ …แล้วรางวัลครั้งนี้ล่ะ?
“รางวัลก็คือโอสถขยายภูติระดับสี่!”
เจ้าตระกูลหยวนตะโกนเสียงดังเขาหยิบขวดหยกที่มีโอสถสีม่วงเข้มออกมา
ทุกคนตกตะลึงเมื่อได้เห็นเพราะทุกคนรู้ว่าเจ้าตระกูลมักจะยุ่งกับการจัดการตระกูล เป็นการยากอย่างยิ่งที่เขาจะมีเวลามากพอจะปรุงโอสถในแต่ละปี
อย่างมากเขาก็เพียงปรุงได้สักสามสี่เม็ดต่อปีและโอสถเหล่านั้นก็จะใช้ในเรื่องสำคัญที่มิใช่การประลองภายในตระกูล! ดังนั้นจึงยากที่จะเชื่อว่าเจ้าตระกูลจะมีเวลาปรุงโอสถระดับสี่นี้ขึ้นมาอีก!
“ระดับสี่!ไม่มีทาง! โอสถนี้จะต้องเพิ่งโอกาสการเป็นภูติได้เสียสิบส่วน!”
ผู้คนทึ่งและเริ่มพูดคุยกัน…
“ไม่ใช่แค่สิบ!มันจะเพิ่มสิบห้าส่วน!”
“ไม่ใช่หรอก!โอสถระดับสี่น่ะ จะเพิ่มได้หกสิบส่วน!”
การปรากฏของโอสถทำให้เหล่าหนุ่มสาวหัวใจหยุดเต้นหยวนหวังปี่ดีใจอย่างมากเช่นกัน โอสถระดับสี่นั้นยังเป็นความฝันอันห่างไกลของนาง นางมองผู้เป็นพ่ออย่างขอบคุณ เพราะนางมักจะได้ที่หนึ่งเสมอในการประลอง
นางทั้งนับถือและยอมรับในตัวผู้เป็นพ่อเพราะเขาคือคนเดียวในตระกูลที่จะปรุงโอสถระดับสี่ขึ้นมาได้ นั่นก็เพราะเขาคือนักปรุงยาชั้นกลางคนเดียว นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งนางจะไปถึงระดับนั้นบ้าง!
ซือหยูกับหยวนหยิงหยิงที่อยู่ในบรรดาผู้คนรู้สึกและหันมามองหน้ากันด้วยความท้อใจและแปลกใจ
เหตุใดโอสถระดับสี่เม็ดนี้ถึงเหมือนกับโอสถที่ทะลุหลังคาเม็ดนั้นเหลือเกิน?