The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 753-754
DND.753 – ท้าประลอง
หลังจากเจ้าตระกูลหยวนอารมณ์ดีขึ้นมาเขาได้ประกาศเริ่มประลองอย่างเป็นทางการ เขารู้ว่าโอสถระดับสี่ที่เป็นรางวัลแก่ผู้ชนะจะทำให้ผู้ร่วมประลองได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดขึ้น
ซือหยูยืนนอกลานประลองอย่างเงียบเชียบเขาพยักหน้า จิตวิญญาณนักสู้ของเหล่าคนเข้าร่วมประลองนั้นควรค่าแก่การชมเชย ฐานพลังของแต่ละคนก็น่าแปลกใจไม่แพ้กัน
หนึ่งในสิบของคนตระกูลหยวนทั้งพันคนที่มาเข้าร่วมนั้นเป็นกึ่งภูติมันพบหาได้ยากนักในโลกเฉินหลง!
การต่อสู้เริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นท้ายสุดก็เหลือคนเพียงสิบคน
หยวนหวังงปี่นั้นไร้เทียมทานในด้านวิชากระบี่ยากที่คนขอบเขตเดียวกันจะชนะนางได้ มีกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงเพียงแค่สองคนนอกจากนาง ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกที่มีแก้วสองดวงทั้งหมด
คู่ประลองถูกลดลงเมื่อเหลือเพียงสิบคนที่แกร่งสุดรอบๆสนามประลองมีผู้คนส่งเสียงดังลั่น ผู้คนพลันมองไปยังคนเพียงผู้เดียว นั่นคือนายหญิงที่สองหยวนหยิงหยิง!
เพราะนางเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วดวงเดียวฐานพลังของนางมิอาจประเมินให้ด้อยกว่าผู้อื่น นางมีฐานพลังสูงกว่าหลายๆคนในตระกูลที่อายุเท่านาง แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ นางกลับไม่เคยได้ลำดับหนึ่งในร้อยมาก่อน การที่นางมาถึงหนึ่งในสิบได้นั้นทำให้ผู้คนตกตะลึง
แม้แต่เจ้าตระกูลหยวนเองก็ตกใจเขาเอาแต่มองดูนักปรุงยาชั้นต้นทั้งเจ็ดจนไม่สังเกตว่าลูกสาวคนสุดท้องของเขาได้ฝ่าด่านยากลำบากทั้งหมดมาถึงสิบลำดับแรก เขาทั้งตกตะลึงและดีใจคำความสำเร็จของนาง
เหล่าผู้เฒ่าในตระกูลตกใจไม่แพ้กันแต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามสิ่งใด นั่นก็เพราะทุกคนรู้ว่าอาจารย์ของนางคือจ้าวเทวะที่ทรงพลัง
ความสำเร็จของนางจะต้องมาจากการชี้แนะของเขาแน่นอนมีเพียงแค่การสอนสั่งของเขาเท่านั้นที่จะทำให้หยวนหยิงหยิงก้าวกระโดดถึงระดับนี้ได้
หยวนหวังปี่ที่อยู่บนลานประลองตกใจไม่ต่างกันนางมองน้องสาวอย่างไม่เชื่อสายตา
เมื่อครึ่งเดือนก่อนหยวนหยิงหยิงเป็นแค่เด็กสาวอ่อนแอไร้ประโยชน์ที่มักจะตามนางไปทุกที่ หยวนหวังปี่นั้นชิงชังนางเพราะเรื่องนี้
แต่ที่นี่หยวนหยิงหยิงได้ยืนเคียงข้างนางและมีลำดับใกล้เคียงกัน! ความริษยา ความโกรธ ความเศร้า และความกังวลเอ่อล้นในใจ
“ยอดเยี่ยม!เอาล่ะ มาถึงการต่อสู้สุดท้ายแล้ว”
เจ้าตระกูลหยวนคาดหวังในการประลองสุดท้ายมากเขาให้ความสนใจกับการประลองของหยวนหยิงหยิงเป็นพิเศษ
เขาตกใจอย่างหนักเมื่อเห็นว่าหยวนหยิงหยิงเอาชนะโดยแทบไม่ต้องลงแรงนางเป็นฝ่ายบดขยี้คู่ประลองอยู่ฝ่ายเดียว นางเอาชนะกึ่งภูติที่มีแก้วสองดวงได้ง่ายๆ
เขาคุ้นเคยกับวิชาบ่มเพาะของหยวนหยิงหยิงเขารู้ว่ามันไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ แต่สิ่งที่ผู้คนตกใจก็คือฐานพลังของนาง
“กึ่งภูติที่มีแก้วสามดวง…ในระดับพลังสูงสุด?”
เจ้าตระกูลหยวนพูดด้วยความตกใจเขาไม่อยากจะเชื่อแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าหลบายคนเบิกตากว้างทุกคนทำราวกับเห็นผี
เพราะเมื่อครึ่งเดือนก่อนนางยังเป็นแค่กึ่งภูติที่มีแก้วดวงเดียวตอนนี้นางกลับมาถึงจุดสูงสุดของกึ่งภูติในเวลาอันสั้น! นางจะเป็นภูติในอีกครึ่งก้าวเท่านั้น!
นอกจากตกใจเหล่าผู้คนยังริษยานาง เพราะการมีอาจารย์เป็นจ้าวเทวะนั้นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง อนาคตของนางจะเติบโตอย่างยิ่งใหญ่
หยวนหวังปี่เองก็แข็งแกร่งนางเอาชนะศัตรูในไม่กี่กระบวนท่า ท้ายสุดจึงเหลือแค่พี่น้องทั้งสอง
“ไม่เลวนี่น้องข้ายากนักที่ข้าจะไม่อิจฉาเจ้า ไม่ว่าข้าจะพยายามอย่างไร สิบปีที่บ่มเพาะอย่างเหน็ดเหนื่อยก็เทียบไม่ได้กับโชคดีของเจ้าแค่ครั้งเดียว”
หยวนหวังปี่ไม่คิดเลยว่าน้องสาวไร้ค่าของนางจะมีวันได้มาสู้กับนาง
หยวนหยิงหยิงถอนหายใจ…ข้าปรารถนาจะให้คนอื่นรู้นักว่าข้าต้องพยายามมามากเท่าใดกว่าจะถึงขั้นนี้!
คนอื่นคงจะเห็นเป็นเพียงโชคดีของนางแต่เรื่องจริงก็คือการเพิ่มขึ้นของฐานพลังในครึ่งเดือนที่ผ่านมาของนางนั้นล้วนเกิดจากความยากลำบากในการปรุงโอสถของนางทั้งสิ้น มิใช่เพราะจ้าวเทวะ!
คนเดียวที่เข้าใจนางคือซือหยูปู่ที่นางรักในจิตใจ ซือหยูคือคนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดนอกจากผู้เป็นพ่อ
นางมองพี่สาวที่แอบชิงชังและโศกเศร้าในใจความปรารถนาการยอมรับจากผู้เป็นพี่ได้เสื่อมถอยลง นางตัดสินใจว่าจะไม่ใฝ่หาการยอมรับอีกแล้ว มันมิใช่เรื่องสลักสำคัญ นางยังมีท่านพ่อ ปู่ซือ และวิชาปรุงยาที่หลงใหล! เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“เข้ามา!แสดงให้ข้าเห็นว่าครึ่งเดือนนี้เจ้าผ่านอะไรมาบ้าง”
หยวนหวังปี่มองดูโอสถระดับสี่ที่เป็นรางวัลความหวังในชัยชยะฉายผ่านดวงตา
ถ้าหากนางได้โอสถมาครองนางก็จะมีโอกาสได้เป็นภูติ! นางจะต้องได้มัน!
แต่นางตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของหยวนหยิงหยิง
“ข้ายอมแพ้ท่านพี่เอาโอสถไปเถอะ”
นางเดินลงจากลานประลองท่ามกลางแววตาตกตะลึงของเหล่าคนดูมิใช่แค่เหล่าผู้เฒ่าในตระกูลที่ก้าวถอยหลัง แม้แต่หยวนหวังปี่เองก็สับสน เพราะนางคิดว่าน้องสาวของนางก็อยากจะได้โอสถล้ำค่าไม่ต่างกัน
เจ้าตระกูลหยวนถอนหายใจความรักหยั่งราก ความรู้สึกผิดเอ่อล้น เขารู้ว่าบุตรสาวคนสุดท้องไม่อยากจะทำร้ายความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพี่สาว นางจึงยินดียอมแพ้แบบเดียวกับที่นางได้ยอมรับการหมั้นเฉาหยินแทนพี่สาวของนางในอดีต
แต่การเสียสละเหล่านี้มิอาจเปลี่ยนใจพี่สาวนางได้
เมื่อหยวนหวังปี่กลับมารู้สึกตัวนางก็เข้าใจความตั้งใจของหยวนหยิงหยิงทั้งหมด นางยิ้ม
“เจ้ายังขี้ขลาดเหมือนในอดีตเจ้ายังน่าขยะแขยงเหมือนเดิม”
หยวนหยิงหยิงที่กำลังเดินออกจากลานประลองตัวสั่นนางกำหมัดแน่นและคลายมือ นางเดินเงียบๆไปหาซือหยู
“เหตุใดเจ้าไม่สู้?นางรับกระบวนท่าวิชาวิญญาณของเจ้าสักกระบวนเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
หยวนหยิงหยิงก้มหน้ามองเท้านางฝืนยิ้ม
“เราเป็นพี่น้องกันถ้าท่านพี่อยากได้โอสถ ข้าก็ต้องให้นางได้ อย่างไรปู่ก็อยู่ที่นี่ ข้าไม่ขาดโอสถหรอก”
ซือหยูยิ้มอย่างใจดีกับนาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าตัดสินใจไปแล้วตอนที่สอนวิชาโจมตีวิญญาณกับเจ้าถึงข้าจะเศร้าที่เจ้าต้องเสียสละไปมาก ข้าก็ยินดีที่เห็นว่าเจ้ายังรักษาหัวใจอันบริสุทธิ์เอาไว้โดยมิโดนบดบังให้มืดบอดเพราะความชิงชัง”
หยวนหยิงหยิงอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้ฟังนางแลบลิ้นให้ซือหยูอย่างซุกซน
“ปู่จะชมหรือด่าข้ากันแน่?”
ซือหยูไม่ตอบอะไรเขามองดูช่วงสุดท้ายของการประลอง นั่นก็คือการมอบรางวัล
เจ้าตระกูลหยวนยืนขึ้นยิ้มแย้มก่อนจะประกาศ
“ทุกคนทำได้ดีมาก!ขอให้พรสวรค์ของตระกูลหยวนคงอยู่ต่อไปเช่นนี้! รางวัลอันเป็นเกียรติครั้งนี้ขอมอบแก่หยวนหวังปี่! ยินดีด้วย!”
เจ้าตระกูลหยวนหยิบขวดหยกขึ้นมาแต่เขามิได้ยื่นให้หยวนหวังปี่ในทันที เขาพูดต่อ
“ยังมีอีกข่าวดีที่ข้าจะประกาศ…นั่นก็คือนักปรุงยาชั้นกลางคนที่สองได้ปรากฏในตระกูลของเราแล้ว!”
ทุกคนบินขึ้นด้วยความยินดีและปรบมือเสียงดัง
“อะไรกัน?นักปรุงยาชั้นกลางรึ? มีอีกคนรึ?”
ผู้คนร้องด้วยความตกใจพวกเขาตกใจเสียยิ่งกว่าตอนที่หยวนหยิงหยิงได้อยู่ในสิบลำดับแรก!
“เขาเป็นใครกัน?ใครคือนักปรุงยาชั้นกลางคนใหม่ของตระกูลเรา?”
อีกคนตะโกนขึ้น
ไม่นานทุกคนก็ตะโกนขึ้นพร้อมกันนี่คือความสุขสูงสุดของตระกูลหยวนในรอบสิบปี!
หนึ่งในเหตุที่พันธมิตรปรุงยาเหนือกว่าตระกูลหยวนก็เพราะจำนวนนักปรุงยาชั้นต้นที่มากกว่าแต่เหตุผลสำคัญก็คือพวกเขามีนักปรุงยาชั้นกลางสองคน และถ้าตอนนี้ตระกูลหยวนมีนักปรุงยาชั้นกลางเพิ่มขึ้น นั่นก็หมายความว่าตระกูลหยวนจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง!
เจ้าตระกูลหยวนยิ้มกว้างและมองเหล่าผู้คน
“ทุกท่านโปรดใจเย็นก่อนนี่เป็นวาระแห่งความสุขที่แท้จริง งานเลี้ยงทั้งตระกูลจะจัดหลังจากจบงานชุมนุมเทือกเขาครามวันพรุ่งนี้”
เขาไม่บอกทุกคนว่าใครคือนักปรุงยาชั้นกลางเพราะเขายังไม่รู้ในตอนนี้แม้กระนั้นเขาก็อยากจะใช้โอกาสนี้แสดงถึงความจริงใจของตระกูลหยวนแก่คนผู้นั้น และเป็นการต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น
ใบหน้าของนักปรุงยาชั้นต้นทั้งเจ็ดเต็มไปด้วยความอิจฉาซือหยูกับหยวนหยิงหยิงเองก็มีสีหน้าประหลาย
“ปู่ซือเราจะทำยังไงกันดี? ข้าจะแสดงตัวตอนนี้เลยหรือไม่?”
หยวนหยิงหยิงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ซือหยูส่ายหน้าและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ยังไม่ถึงเวลารอจนถึงงานเลี้ยง วันนี้เจ้าได้รับความสนใจมากพอแล้ว เจ้าปล่อยให้คนในตระกูลตกใจกับพลังของเจ้าในการประลองวันนี้ก่อนดีกว่า”
หยวนหยิงหยิงพยักหน้าอย่างว่าง่ายนางเห็นบางสิ่งบางอย่างในคำพูดของซือหยู
“ได้เลยปู่ซือข้าจะทำตามที่ปู่บอก”
จบวันหยวนหวังปี่ได้โอสถในท้ายสุด เมื่อได้รับมอบรางวัล นางได้เดินไปหาซือหยูกับหยวนหยิงหยิงด้วยรอยยิ้มจางๆ
“น้องข้าขอบคุณที่ให้โอสถนี้กับข้า ข้าจะใช้มันอย่างสบายใจ เจ้ากับข้าก็จะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ!”
หยวนหยิงหยิงเพียงยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดภูมิใจของพี่สาวแต่นางไม่ตอบอะไร
“ไม่ว่าอาจารย์เจ้าจะสั่งสอนยังไงเจ้ามันก็ต่ำต้อยกว่าข้าเสมอเมื่อในอดีต และตอนนี้ข้ามีโอสถ เจ้าก็จะต่ำเสียยิ่งไปอีก!”
หยวนหวังปี่หัวเราะเบาๆขณะที่ถือขวดโอสถอย่างดีใจ
นางหันไปเตรียมจะกลับเรือนแต่ก็มีทหารรีบรายงานขาวด่วนจากด้านนอก
“แย่แล้ว!ท่านเจ้าตระกูล นายน้อยเฉานำกลุ่มคนมาที่นี่! พวกเขามาถึงแล้ว!”
ทุกคนรู้ว่ามีคนเดียวที่จะถูกเรียกว่านายน้อยเฉานั่นก็คือเฉาหยินแห่งพันธมิตรปรุงยา เขาเป็นภูติระดับสอง เขาแข็งแกร่งกว่าหลายคนในรุ่นเดียวกัน ทุกคนรู้ว่าเขามีพรสวรค์อันน่าตกตะลึง
กลุ่มทหารมิอาจขวางได้เขาบุกเข้ามาถึงลานประลองอย่างไม่ยากเย็น
“เฉาหยินเจ้ามาตระกูลหยวนทำไม? แม้แต่พ่อเจ้าก็บุกเข้ามาที่นี่ไม่ได้ แต่กล้ายังกล้าเสนอหน้ามางั้นรึ? เจ้ามันอวดดียิ่งกว่าพ่อ!”
เจ้าตระกูลหยวนตะโกนใส่ผู้มาใหม่อย่างโกรธแค้น
เจ้าตระกูลหยวนนั้นถูกพันธมิตรปรุงยาจับตามองและยังถูกบังคับให้เชื่อมสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานเขาต้องสละบุตรสาวคนที่สองไป ทั้งหมดก็เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างสองฝ่าย
แต่การที่เฉาหยินบุกเข้ามาในพื้นที่ตระกูลหยวนนั้นคือเป็นการดูถูกอย่างร้ายแรงแม้ตระกูลหยวนจะอ่อนแอกว่าพันธมิตร พวกเขาจะไม่ทนเรื่องนี้โดยไม่ตอบโต้แน่!
“เฉาหยินเจ้ากล้าบุกเข้ามาในวันนี้ คงเตรียมตัวไม่กลับไปไหนแล้วสินะ! ทุกตระกูลต้องปกป้องเกียรติยศ เจ้าทำสิ่งที่ไม่ควรทำไปเสียแล้ว…นั่นคือการยั่วยุดูหมิ่นพวกเรา!”
ปั่วจินพูดด้วยน้ำเสียงแหลมคมทั้งจ้องมองเฉาหยิน
คนตระกูลหยวนจ้องมองเขาอย่างโกรธเกรี้ยวพวกเขาคิดว่าถูกเหยียดหยามอย่างอภัยให้ไม่ได้
แต่เฉาหยินนั้นใจเย็นเขาแสยะยิ้มออกมา เขาไม่สนใจคนตระกูลหยวนเลย
เฉาหยินแสดงตราเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเขาโยนมันไปที่เจ้าตระกูลหยวน เจ้าตระกูลหยวนรับมันไว้ทันทีและก้มมองดูใกล้ๆ
เจ้าตระกูลหยวนเบิกตากว้างแต่เมื่อผ่านไปนาน เขาก็ขว้างตรากลับไปพูดด้วยเสียงลึกล้ำ
“ได้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอธิบาย แต่ถ้าเหตุผลไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะมีตรานี้หรือไม่ เจ้าก็อย่าคิดฝันจะมีชีวิตรอด สบายใจได้ ข้ารักษาคำพูดเสมอ!”
เฉาหยินเยือกเย็นโดยสมบูรณ์เขาหัวเราะหลังจากที่รับตรากลับ
“ท่านเจ้าอารมณ์เกินไปแล้ว!ข้าเพียงมาส่งจดหมายท้าประลองกับท่าน แต่ข้ารับใช้ท่านกลับหยุดข้า ข้าเป็นลูกเขยในอนาคตมิใช่รึ? เหตุใดจริงจังนัก?”
เขาพูดด้วยรอยยิ้มและหันไปมองหยวนหยิงหยิงแต่นางก็เข้าไปซ่อนตัวหลังซือหยูอย่างรวดเร็ว นางกอดแขนเขาอย่างเป็นกังวล นางดูจะเชื่อใจเขามาก
สายตาเฉาหยินเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งเมื่อมองซือหยูเขาคิดขณะโกรธเกรี้ยวในใจ…หยวนหวังปี่ก็ถูกเจ้าล่วงเกินไปแล้ว…ตอนนี้ยังมาหว่านเสน่ห์กับคู่หมั้นข้าอีกเรอะ!
เฉาหยินถอนหายใจแรงและละสายตาไปมองเจ้าตระกูลหยวน
“อย่างที่ข้าพูดข้าถูกสั่งให้มาที่นี่เพื่อส่งจดหมายท้าประลอง”
จดหมายท้าประลองรึ?เจ้าตระกูลหยวนไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
“เจ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนเสียหน่อยเล่า?งานชุมนุมเทือกเขาครามจัดวันพรุ่งนี้ ถ้าเจ้าอยากจะสู้ เจ้าจะท้าประลองใครก็ได้ เหตุใดต้องเป็นวันนี้?”
DND.754 – คำเตือนของจิงหยู
เฉาหยินหัวเราะ
“จดหมายประลองนี้ไม่เหมือนจดหมายปกติมีเดิมพันเขียนไว้ด้วย”
“เดิมพันเรอะ?จงกลับบ้านเจ้าไปซะ ตระกูลข้าไม่ต้องเดิมพันอะไรกับเจ้า”
เจ้าตระกูลหยวนปฏิเสธอย่างหนักแน่น
ตระกูลหยวนนั้นอยู่ในสถานะที่อ่อนแอแต้มต่อการเดิมพันน้อยกว่าพันธมิตรปรุงยา แม้แต่การเดิมพันที่ยุติธรรมยังเสียเปรียบ หากตระกูลหยวนแพ้เดิมพัน สถานการณ์ก็คงแย่ยิ่งกว่าเดิม และอาจจะเสียกระทั่งโอกาสกอบกู้ตระกูล
ส่วนพันธมิตรปรุงยาแม้จะแพ้เดินพันก็ไม่เสียหายนัก พันธมิตรยังคงอยู่เหนือกว่าตระกูลหยวนต่อไป ดังนั้นเขาจะต้องไม่ยอมรับการเดิมพันนี้ เพราะมันจะเสียมากกว่าได้กับตระกูลหยวน
“หึหึท่านไม่ฟังของเดิมพันเสียก่อนรึ?”
เฉาหยินถาม
“หากตระกูลหยวนของท่านชนะพันธมิตรปรุงยาจะให้หนึ่งในเก้าตลาดของเราตามใจท่านเลือก ท่านควรจะรู้รายได้ต่อปีของตลาดแต่ละที่อยู่แล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินสิ่งเดิมพันความโกรธของเจ้าตระกูลหยวนเบาบางลง เพราะเงินจากค่าเช่าตลาดอย่างเดียวก็ตีเป็นแก้วมากกว่าสามหมื่นดวง นั่นคือเงินจำนวนมหาศาล! และตระกูลหยวนเองก็จะขายโอสถในตลาดได้ นั่นจะทำให้พวกเขาได้กำไรในระยะยาว
แม้แต่เจ้าตระกูลหยวนก็ถูกข้อเสนอนี้ล่อลวงถ้าพวกเขาได้ตลาดมาสักหนึ่งแห่ง สถานการณ์ตระกูลหยวนตอนนี้ก็จะดีขึ้นมาก
“แล้วถ้าเราแพ้ล่ะ?เราต้องให้ตลาดของเรากับเจ้างั้นรึ?”
เจ้าตระกูลหยวนถาม
เฉาหยินส่ายหน้า
“มิได้ถ้าท่านแพ้ พวกข้าก็ต้องการคนเพียงคนเดียว”
คนคนเดียวรึ?ทุกคนมองหน้ากันอย่างท้อแท้ นอกจากเจ้าตระกูลหยวนกับเหล่าผู้เฒ่าเสาหลักแล้วใครกันจะมีค่าเท่ากับทั้งตลาด?
“ใคร?”
เจ้าตระกูลหยวนถาม
เฉาหยินเหยียดปลายดัชนีไปที่ซือหยู
“ข้าต้องการมัน”
ผู้คนส่งเสียงดังเมื่อได้ยินคำตอบเจ้าตระกูลหยวนสับสนไม่ต่างกับคนอื่นๆ
“นายน้อยเฉาเจ้าจะมาเล่นตลกกับพวกข้ารึ? เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเฉาหยินจะนำคนจำนวนมากบุกมาที่นี่เพียงเพื่อขอตัวชายแก่คนเดียว
เฉิาหยนสีหน้าเยือกเย็นเขาเดินไปทางซือหยูและพูดช้าๆ
“ข้า…ต้อง…การ…มัน!ได้ยินข้าชัดหรือยัง?”
ผู้คนสับสนจนพูดไม่ออกซือหยูกลับถอยหลายก้าว
“นายน้อยเฉาข้าเป็นแค่คนกวาดทำความสะอาดเท่านั้น ต่อให้ท่านต้องการข้า ข้าก็ไม่ต้องการท่าน”
หยวนหยิงหยิงหัวเราะเบาๆเมื่อได้ฟังคำตอบอันหน้าด้านของซือหยูแต่นางก็รีบกลับมาใจเย็นและมองเฉาหยินด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าจะบ้าไปแล้วรึ?เจ้าจะทำอะไรกับปู่ซือน่ะ?”
เฉาหยินไม่พอใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังหัวเราะเยาะเขา
“ข้าอยากได้มันมาเป็นทาสในพันธมิตร”
หยวนหวังปี่กระพริบตาอย่างเย็นชาและไปยืนระหว่างเฉาหยินกับซือหยู
“เฉาหยินทำไมเจ้าถึงมาก่อเรื่องโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้?”
เมื่อเห็นหยวนหวังปี่กำลังช่วยขวางซือหยูเฉาหยินก็ยิ่งไม่พอใจขึ้นไปอีก เรื่องนี้ทำให้เฉาหยินยืนยันได้ว่าซือหยูจะต้องกุมความลับบางอย่างของหยวนหวังปี่เอาไว้ เขาคิดไปถึงว่าซือหยูได้หลับนอนกับนางและบังคับให้นางฟังคำสั่งทุกอย่าง!
เขาเกลียดชังซือหยูมากกว่าเดิมเมื่อคิดให้ถี่ถ้วน
“ข้าพูดไปแล้วข้ามีคำขอเดียวเท่านั้น ท่านเจ้าตระกูลจะยอมรับหรือไม่?”
เจ้าตระกูลหยวนเจ็บใจการแลกคนที่ไม่ใช่ญาติมิตรกับเขาเพื่อโอกาสได้ครองตลาดนั้นเป็นตัวเลือกที่คนสติดีหน้าไหนก็พร้อมรับ แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบ หยวนหยิงหยิงก็พูดขึ้นมา
“ไม่ต้องพูดแล้วท่านพ่ออย่าตกลงกับเขานะ ไม่งั้นข้าจะฆ่าตัวตาย”
หยวนหยิงหยิงออกมายืนหน้าซือหยูและพูดอย่างหนักแน่น
เจ้าตระกูลหยวนมองลูกสาวก่อนจะมองซือหยูเขาถอนหายใจ
“เฉาหยินโปรดกลับไปซะเราไม่รับการเดิมพันนี้”
เขารู้ว่าลูกสาวของเขาเริ่มสนิทชิดเชื้อกับชายแก่ถ้าหากแพ้เดิมพัน ลูกสาวของเขาจะเสียสหายไปและทำให้นางเกลียดเขา
เฉาหยินยังคงมุ่งมั่นอยากได้สิ่งที่ต้องการแม้จะถูกปฏิเสธ
“อย่างนั้นรึ?ท่านเจ้าตระกูลคิดดูใหม่ก็ได้นะ มิเช่นนั้นตระกูลหยวนก็ไม่ต้องไปงานชุมนุมเทือกเขาครามพรุ่งนี้แล้ว ท่านคงรู้ว่าคนผู้นั้นกับพันธมิตรปรุงยามีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
หลังจากเฉาหยินกล้าขู่เจ้าตระกูลหยวนหรี่ตาพร้อมกับจิตสังหารที่เอ่อล้น เหตุที่ตระกูลหยวนถูกบังคับให้ก้มหน้าหมั้นบุตรสาวกับคนของพันธมิตรปรุงยาก็เพราะการเข้ามายุ่งของคนคนเดียว ถ้าหากไม่ใช่คนผู้นั้น เจ้าตระกูลหยวนจะไม่มีวันอ่อนข้อกับพันธมิตรเลย
ผู้เฒ่าเสาหลักในตระกูลส่งสัญญาณทางสายตากับเจ้าตระกูลพวกเขาหวาดกลัวคนผู้นั้น เจ้าตระกูลได้แต่ลังเลเมื่อเห็นว่าคนทั้งตระกูลอยากให้เขายอมรับ
ในตอนนั้นเองซือหยูพูดออกมา
“หึหึท่านเจ้าตระกูลจะคิดสิ่งใดอยู่เล่า? พันธมิตรปรุงยาหมายจะมอบของขวัญเป็นตลาดอยู่แล้ว ท่านไม่อยากได้รึ? จักลังเลอยู่ใย?”
หืม?เจ้าตระกูลหยวนหันไปมองซือหยู ชายแก่ที่โดดเด่นราวกับมาจากต่างโลกมักจะทำให้เขารู้สึกพิกลอยู่เสมอ หากเขาพูดด้วยความมั่นใจเช่นนี้ เจ้าตระกูลหยวนก็ได้แต่สงสัยว่าซือหยูมีนัยยะซ่อนเร้นอย่างไร
เจ้าตระกูลหยวนจึงพยักหน้า
“ก็ได้เฉาหยิน ถ้าเจ้าสามารถเป็นตัวแทนของพันธมิตรได้ ข้าก็จะรับเดิมพัน แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ก็กลับบ้านไปซะ”
เฉาหยินแสยะยิ้ม
“สบายใจได้ข้าได้รับคำยินยอมจากพันธมิตรแล้ว”
เขาหยิบปฏิญาณสัตย์ดวงใจออกมาซือหยูจำมันได้ในทันที มันมีพลังที่ยิ่งใหญ่มาก แม้แต่ภูติก็กำจัดพลังของมันแทบไม่ได้
เงื่อนไขการเดิมพันเขียนเอาไว้ในม้วนกระดาษมันยังมีหยดโลหิตของผู้นำพันธมิตรทั้งอสงอยู่ด้วย เหลือเพียงเจ้าตระกูลหยวนต้องหยดโลหิตลงไปเท่านั้น
เจ้าตระกูลหยวนกัดนิ้วปล่อยหยดโลหิตลงไปจากนั้นปฏิญาณสัตย์ดวงใจก็ได้กลายเป็นเงาร่างลอยไปยังมือเจ้าของโลหิต
“ฮ่าๆๆๆดี เจ้าตระกูลหยวน เราจะแข่งขันกันพรุ่งนี้ คนที่เหนือกว่าจะเป็นผู้ชนะ”
เฉาหยินหัวเราะชอบใจเขามองซือหยูอย่างเยือกเย็นก่อนจะออกจากตระกูลหยวน
ซือหยูมองสายตานั้นพร้อมสงสัย…พันธมิตรปรุงยาวางอุบายอะไรกัน?ซือหยูคิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เข้าใจได้หากเฉาหยินคนเดียวทำท่าทางอวดดีเช่นนี้แต่เป็นไปไม่ได้ที่ผู้นำของพันธมิตรทั้งสองจะปล่อยให้เฉาหยินออกมาก่อเรื่อง! เจ้าตระกูลหยวนสงสัยไม่ต่างกัน เขาคิดว่ามีเรื่องราวซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้
หลังเฉาหยินออกจากตำหนักหยวนลูกน้องด้านหลังเขาพูดขึ้นมา
“พวกคนตระกูลหยวนโง่เง่านักพวกมันคิดว่าได้เปรียบ แต่ไม่รู้เลยว่าพวกมันกำลังพลาดโอกาสงาม ชายแก่นั่นอาจจะเป็นผู้ร้ายที่ราชาเขตกลางต้องการตัวมากที่สุดก็ได้ หัวของเขามีค่าเป็นแก้วสิบล้านดวง! อ๊ะ! แค่ข้าคิด…”
“หุบปากเจ้าอยากจะให้คนอื่นรู้งั้นเรอะ? ถ้าผู้เฒ่าเหลียวรู้เข้า ทั้งตระกูลเจ้าก็ถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร…”
เฉาหยินพูดแทรกขึ้นมา
หลังจากซือหยูและหยวนหยิงหยิงกลับห้องสีหน้านางนั้นแสดงความรู้สึกผิด
“ปู่ซือข้าไม่อยากให้พวกมันเอาตัวปู่ไป”
ซือหยูปลอบนางด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ข้าไม่เป็นไรมีหยิงหยิงของข้าอยู่ทั้งคน”
หยวนหยิงหยิงกำหมัดแววตามุ่งมั่น แต่เมื่อนางเดินออกไปแล้วเขาก็หนักใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
หลังจากบ่มเพาะพลังมานานจนถึงวันนี้เขานั้นเห็นอนาคตได้ลางเรือน ความรู้สึกหนักใจนี้คือลางร้าย สื่อถึงอันตรายครั้งใหญ่ที่เขาจะต้องเผชิญ
แต่สิ่งใดในเทือกเขาครามจะเป็นภัยกับข้าเล่า?
การมาของเฉาหยินในวันนี้ทำให้เขาไม่สบายใจนักเขารู้สึกว่าลางร้ายอยู่ใกล้กับขอบนภา เขาที่คิดเรื่องนี้ได้หลับไป
“พี่ซือหยูนี่ข้าเอง จิงหยู! พี่ต้องหนี…ตอนนี้เลย!”
ขณะที่ฝันซือหยูพบว่าอยู่ในแดนไร้ขอบ เสียงนั้นดังก้องฟ้า เป็นเสียงของเซี่ยจิงหยู
“จิงหยูข้าฝันอยู่รึ?”
เขาถาม
“พี่ซือหยูข้าใช้ฎีกาสวรรค์ของเราเชื่อมจิตเข้าหากัน แต่มันจะอยู่ได้ไม่นานเท่านั้น จำคำพูดของข้าเอาไว้ ห้ามลืมเด็ดขาด…”
เซี่ยจิงหยูเตือน
ซือหยูตกใจกับคำพูดนางนี่ไม่ใช่ฝัน! ยิ่งไปกว่านั้น ฎีกาสวรรค์ของพวกเขาทำให้ทั้งสองสื่อสารกันได้แม้จะถูกแยกจากกันนับพันล้านลี้! มันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
“พี่ซือหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายข้าเห็นวิถีของพี่มาถึงจุดจบ พี่จะตาย”
น้ำเสียงของนางโศกเศร้า
“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเกิดกับพี่แต่พลังมองอนาคตของข้าไม่เคยพลาด พี่ต้องจริงจังกับมัน”
ซือหยูตอบ
“ถ้าเห็นวิถีของข้าจบแล้วนั่นไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องตายแน่นอนรึ?”
เซี่ยจิงหยูรีบตอบ
“ไม่ใช่ข้าเห็นแสงสีม่วงบดบังวิถีของพี่ มันแข็งแกร่งมาก ข้ามองผ่านไปไม่ได้แต่รู้ฃว่ามันคือโอกาสเปลี่ยนชะตา พี่ซือหยู ถ้าหากเจอของสีม่วง พี่จะต้องรับมันเอาไว้! แล้ว…พี่ต้องจำไว้ว่า…”
คำพูดของนางหายไปราวกับว่ามีบางอย่างเข้ามาขวางนางทิ้งซือหยูไว้ในความเงียบเพียงลำพังในแดนไร้ขอบ ท้องฟ้าพลันเปล่งประกาย ดวงตะวันสีทองห้าดวงได้ปรากฏข้างดวงตะวันเดี่ยวบนฟ้า
ดวงตะวันทั้งห้าปล่อยความร้อนสูงมันเปลี่ยนแดนไร้ขอบเป็นทะเลเพลิง เพลิงนั้นห้อมลอมสังหารซือหยูในพริบตา ซือหยูตกใจและตื่นจากฝัน
เขาลืมตาด้วยความสับสน
“เกิดอะไรขึ้น?จิงหยูเห็นอะไร? แล้ว…สุริยาห้าดวงนั่น? มันเป็นแค่ความฝันรึ?”
มันดูเหมือนฝันแต่ก็ดูไม่ใช่ความฝันมันดูเหมือนภาพลวงตาแต่แลไม่ใช่ เขาสับสนอย่างหนัก สิ่งที่เพิ่งได้เห็นนั้นสมจริงเกินไปมาก! โดยเฉพาะทะเลเพลิง มันเหมือนจริงจนร่างกายของเขาเจ็บปวด
ซือหยูรู้สึกร้อนผ่าวที่มือเขาก้มลงมองและเห็นรอยแผลเป็นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ มันคือบาดแผลจากเพลิงที่เผาเขาในความฝัน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ฝัน!
ณพันล้านลี้ห่างจากเขา ในแดนไร้ขอบจุดเดียวกับที่ซือหยูเห็นในความฝัน คนห้าคนได้ยืนอยู่ที่นั่น คนเหล่านี้เปล่งแสงสีทองออกมา ดวงตากำลังท่องคาถาบางอย่าง มงกุฎสุริยันจันทราลอยอยู่เหนือศีรษะ
ทั้งห้าคืออสูรเนรมิตร!พวกเขาลืมตาพร้อมกัน คนที่ยืนอยู่ตรงกลางพูดขึ้นมา
“ข้าเจอแล้ว!มันอยู่ในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด! ข้าทิ้งรอยเอาไว้ที่มันแล้ว”
จากนั้นเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งห้าได้หายไปพร้อมกันแดนไร้ขอบที่ได้กลายเป็นทะเลเพลิง