The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 787-788
DND.787 – อสูรสาวลงเขา
เจ้าตำหนักคงฉานกับเจ้าตำหนักฮั่วมองหน้ากันด้วยความตกใจทั้งคู่คิด…เป็นเรื่องจริงรึ? มีเด็กตระกูลเฉารอดแค่สามคนเรอะ?
“เอาล่ะเจ้าตระกูลเฉา อยากพูดสิ่งใดก็พูดมา”
เจ้าตำหนักคงฉานกล่าว
เฉาเอวี่ยหมมิงมองซือหยูที่นั่งสมาธิพักอยู่จิตสังหารเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งปะทุออกมาจากร่าง
“ท่านเจ้าตำหนักโปรดมอบความเป็นธรรมแก่ข้าโดยการทำลายฐานพลังของซือหยูเซี่ยนและล้างแค้นให้กับเด็กตระกูลเฉาของข้าด้วย”
ผู้คนจำนวนมากหันไปมองซือหยูและสงสัย…ความสูญเสียครั้งใหญ่ของตระกูลเฉาเกี่ยวข้องกับเขารึ?แต่พวกเขาไม่ได้เป็นห่วงซือหยูนัก พวกเขาเพียงแค่มองดูเฉาเอวี่ยหมิงที่โกรธแค้นอย่างบันเทิงใจ
“ทำไมเจ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนกว่านี้เล่า?”
เจ้าตำหนักคงฉานถามอย่างใจเย็น
เฉาเอวี่ยหมิงแปลกใจกับท่าทางของคนจำนวนมากเขาอยากจะอธิบายว่าเกินอะไรขึ้นแต่ก็มิอาจข่มจิตสังหารในใจออกไปได้ น้ำตารื้นเมื่อเขาเล่าด้วยความโศกเศร้าหมดอาลัย
“ลูกข้าเฉาหลิงเจี้ยนถูกซือหยูเซี่ยนฆ่าตายแล้วก็เป็นฝีมือซือหยูเซี่ยน ที่คนตระกูลข้ากระจัดกระจายจนโดนฝูงสัตว์อสูรฆ่า”
เฉาเอวี่ยหมิงพูดต่อ
“เขาฝ่าฝืนกฎและสังหารเด็กตระกูลเฉาที่เข้าสอบฐานพลังจะต้องถูกทำลาย เจ้าตำหนักคงฉานโปรดเมตตาด้วย”
เจ้าตำหนักคงฉานใบหน้าไร้อารมณ์
“หืม?เจ้ามีหลักฐานหรือไม่? ตำหนักโลหิตจัดการเรื่องราวอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว คำพูดของเจ้าเพียงอย่างเดียวมิอาจทำให้พวกเราตัดสินได้”
ในตอนนั้นเฉาเอวี่ยหมิงผลักเด็กตระกูลเฉาสองคนไปด้านหน้า ทั้งคู่คุกเข่าลงกับพื้นและเริ่มร่ำไห้เสียงดัง
หนึ่งในพวกเขาอ้อนวอน
“ท่านเจ้าตำหนักโปรดมอบความยุติธรรมให้นายน้อยของพวกเราด้วย คนชั่วผู้นี้เข้ามาเริ่มสู้กับนายน้อยของเรา นายน้อยช่วยปกป้องให้พวกเราหนีรอดปลอดภัย จากนั้นนายน้อยก็ตาย เป็นฝีมือเขาไม่ผิดแน่!”
ถ้าพวกเขาได้ยินเรื่องนี้มาก่อนตระกูลอื่นๆจะยังพอสงสัยว่าซือหยูเป็นคนฆ่าเฉาหลิงเจี้ยนจริงหรือไม่ แต่ดูจากการสอบของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนลงมือจริงๆ
แต่ผู้ชมก็มองตระกูลเฉาด้วยใบหน้ารื่นรมย์เพราะถ้าหากมันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ เจ้าตำหนักคงฉานก็คงจะให้ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดลงโทษซือหยู แต่ในตอนนี้นั้น…
“แล้วอย่างไร?มันหมายความว่าพวกเจ้าไม่เห็นซือหยูเซี่ยนฆ่าเฉาหลิงเจี้ยนมิใช่หรือ?”
เจ้าตำหนักคงฉานถามอย่างใจเย็น
เด็กตระกูลเฉาทั้งสองตะลึงงันกับคำถามทั้งคู่รู้สึกแย่กับเรื่องนี้ ทั้งสองส่ายหน้า
“เราไม่เห็นแต่ถ้านายน้อยหายตัวไปหลังจากนั้น มันก็ต้องเป็นฝีมือเข…”
ผั่วะ!
จู่ๆเด็กตระกูลเฉาทั้งสองก็หน้าแดงและกระอักเลือดออกมาเจ้าตำหนักคงฉานจ้องมองทั้งสองด้วยความโกรธ
“อะไรนะ?พวกเจ้าไม่เห็น แต่ยังกล้าใส่ร้ายเขาโดยไร้หลักฐานงั้นเรอะ?”
จากนั้นเจ้าตำหนักคงฉานหันไปถามซือหยู
“ซือหยูเซี่ยนเหตุใดไม่พูดบ้างล่ะ? คนตระกูลเฉาบอกว่าเจ้าสู้กับเฉาหลิงเจี้ยน แล้วเขาก็หายตัวไป เจ้าได้ฆ่าเขาหรือไม่?”
ซือหยูลืมตายักไหล่
“ข้าสู้กับพี่ชายเฉาบนเสาศิลาพวกเรายังต่อสู้กับไม่จบ พอข้าได้เจอกับเขา ข้าก็เชิญให้เขามาสู้กับข้า”
เขาพูดต่อ
“ข้าชนะพี่ชายเฉาในตอนนั้นเขาท้อแท้จนเข้าไปในป่าลึก ก่อนจะไป เขาบอกว่าเขาจะบ่มเพาะพลังที่นั่นอีกสิบปีเพื่อที่จะบ่มเพาะวิชาไร้เทียมทานก่อนจะกลับมาสู้กับข้าอีกครั้ง”
หลังพูดจบซือหยูยิ้มมองเฉาเอวี่ยหมิงก่อนจะพูดต่อ
“เจ้าตระกูลเฉาถ้าท่านรีบไปโดยเร็วก็อาจจะเจอลูกชายที่หน้าผาก็ได้นะ”
ฮ่าๆๆ!
คนที่คิดอ่านรวดเร็วบอกได้ง่ายๆเลยว่าซือหยูส่งเฉาหลิงเจี้ยนไปโลกหน้าแล้วแต่เขาก็ยังดึงดันจะเล่นสนุกกับพวกเขา!
“เจ้า!เจ้ามันพูดเหลวไหล! เจ้าสองคนต่อสู้กันถึงตาย มันจะเป็นแค่การประลองที่ไม่สู้เอาชีวิตได้ยังไง?”
หนึ่งในสองเด็กตระกูลเฉากล่าวทั้งคู่ไม่พอใจและโกรธจัดจนอกแทบจะระเบิด
ซือหยูมองทั้งสองและถามอย่างใจเย็น
“ใยข้าต้องสู้จนตัวตายอย่างไร้เหตุผลด้วยเล่า?ข้าไปล่าสัตว์อสูรไม่ดีกว่ารึ?”
“เจ้าทำก็เพราะพวกเราทำให้เจ้าโมโหไง!”
เด็กตระกูลเฉาระเบิดเสียงตอบ
ซือหยูแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น
“พวกเจ้าทำข้าโกรธยังไงรึ?ทำไมไม่อธิบายรายละเอียดสักหน่อยเล่า? พวกเจ้าทำเรื่องที่ไม่ควรจะทำอย่างไล่ล่าสังหารเด็กตระกูลซือถูงั้นรึ?”
เด็กตระกูลเฉาทั้งสองหวาดกลัวขึ้นมาทันทีหนึ่งในนั้นตะโกนทันที
“ไม่พวกข้าไม่ได้ทำอะไร! อย่าพูดเหลวไหล!”
“พอได้แล้ว!”
เจ้าตำหนักคงฉานขมวดคิ้วมองเด็กตระกูลเฉาทั้งสอง
“ความลับพวกเจ้ามากมายนักพวกเจ้ายังหลงลืมว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ พยานสองคนนี้น่าเชื่อถือเรอะ? เจ้าตระกูลเฉา เอาพวกมันกลับไปกับเจ้า อย่ากล้าพูดเรื่องนี้อีกถ้าไม่มีหลักฐาน”
เฉาเอวี่ยหมิงหัวใจหยุดเต้นเมื่อได้ฟังถ้อยคำไร้เมตตาเขาเห็นแล้วว่าบรรยากาศรอบๆแปลกไป เขาคิดว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากล เขาหยุดสงสัยไม่ได้…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเจ้าตำหนักคงฉานถึงจงใจเข้าข้างซือหยูล่ะ?
“ท่าเจ้าตำหนักไม่ว่าจะอย่างไร โปรดให้ข้าจัดการกับซือหยูเซี่ยนเถอะ คนตระกูลเฉาจะต้องไม่ตายเปล่า…”
เฉาเอวี่ยหมิงก้าวไปข้างหน้าเขาพยายามต่อรองกับนาง
เพราะซือหยูสังหารบุตรชายคนเดียวของเขาไปและยังทำให้เด็กมากมายในตระกูลต้องตาย เขาจะไม่ล้างแค้นได้อย่างไร?
เจ้าตำหนักคงฉานสีหน้าเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“เฉาเอวี่ยหมิงข้าต้องพูดซ้ำอีกเรอะ? พอได้แล้ว”
นางเริ่มเรียกเขาว่าเฉาเอวี่ยหมิง แทนที่ เจ้าตระกูลเฉา เห็นได้ชัดว่านางกำลังโกรธ เฉาเอวี่ยหมิงใจตสั่นและลังเลก่อนจะถอยหลัง เขาก้มหน้าเงียบกริบ จิตใจกำลังครุ่นคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เอาล่ะการสอบจบลงแล้ว คนที่ผ่านบททดสอบทั้งงสองได้สำเร็จจงตามข้าไปยังตำหนักนอก เจ้าตระกูลทุกท่านพักในตำหนักนอกได้อีกหลายวันก่อนจะเดินทางกลับ…”
เจ้าตำหนักคงฉานประกาศ
นางนำเหล่าผู้เฒ่าและคนที่สอบผ่านไปยังตำหนักนอกเฉาหลี่ตามไปติดๆ แต่ก่อนจะไป นางได้โยนเครื่องประดับหยกให้เฉาเอวี่ยหมิง
ไม่เหมาะที่นางจะพูดในตอนนั้นเพราะเจ้าตำหนักคงฉานกำลังทำหน้าที่อยู่นี่จึงเป็นโอกาสแรกที่นางได้บอกเฉาเอวี่ยหมิงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เฉาเอวี่ยหมิงวางมันลงบนหน้าผากเสียงส่งผ่านถึงจิตใจ
“ท่านเจ้าตำหนักอดทนไว้ก่อน ซือหยูเซี่ยนข้ามประตูมังกรถึงขั้นห้าสิบ เขาเป็นที่นับถือในฐานะศิษย์นอก เจ้าตำหนักคงฉานกับเจ้าตำหนักฮั่วเข้าข้างเขาอยู่ โปรดอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม”
เฉาเอวี่ยหมิงสั่นไปทั้งตัวขั้นห้าสิบงั้นเรอะ? เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ความชิงชังแผดเผาดวงตาเขาร้องคำถาม
“จะให้ข้าลืมเรื่องลูกชายได้ยังไง?ไม่มีทาง! ซือหยูเซี่ยน อย่าคิดว่าข้าทำอะไรไม่ได้เพราะเจ้าอยู่ตำหนักใน!”
เขากำหมัดด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าตำหนักสองคนอาจจะปกป้องเจ้าตอนนี้ได้แต่มิใช่ตลอดชีวิตของเจ้าถ้าเจ้าได้ที่หนึ่ง เจ้าก็ต้องไปที่นั่น และไปถึงเมื่อไหร่…เจ้าต้องตาย!”
เฉาเอวี่ยหมิงกำหมัดทุบเครื่องประดับสื่อสารทิ้ง
ขณะนั้นณ ตำหนักอันเงียบเชียบในตำหนักนอก เจ้าตำหนักคงฉษนและเจ้าตำหนักฮั่วได้อธิบายกฎของตำหนักแก่สมาชิกหน้าใหม่และแจกจ่ายสิ่งของ พวกเขาแต่ละคนจะได้ตราประจำตัว แหวนมิติ และเสื้อผ้าสีขาวที่มีลวดลายสีน้ำเงิน พวกเขาตอนนี้ถือเป็นศิษย์ของตำหนักโลหิตแล้ว!
“ซือหยูเซี่ยนนี่ตราอีกอันของเจ้า”
เจ้าตำหนักคงฉานโยนตราทมิฬให้กับซือหยูมันมีข้อความ ‘มัจฉามังกร’ สลักเอาไว้
“คนที่ผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกรถึงชั้นสี่สิบจะได้ตรานี้มันจะมีสิทธิพิเศษให้เจ้าตามจำนวนขั้นที่เจ้าไปถึง ยิ่งขึ้นได้สูงเท่าใด สิทธิพิเศษของเจ้าก็ยิ่งมาก”
เจ้าตำหนักคงฉานกล่าวก่อนจะรีบออกไปกับเจ้าตำหนักฮั่วโดยไม่รอให้ซือหยูถามอะไรเพิ่มอีก
คนนที่เหลือก็มีแค่เพียงเหล่าผู้เฒ่าที่อธิบายกฎระเบียบต่างๆก่อนจะจัดแจงสิ่งของให้ซือหยูตกใจและสงสัย…เจ้าตำหนักคงฉานไม่ได้บอกว่าข้าก่อเรื่องใหญ่ให้ตัวเองจากการสังหารหมาไม้แดงเนตรปีศาจมิใช่รึ? แล้ว…นางอยากจะคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวมิใช่หรือ?
“มานี่ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
กลิ่นหอมหวานจู่โจมซือหยูเมื่อจื่อเสวียนปรากฏตัวข้างกายเขาราวกับผีนางพูดเบาๆ
ซือหยูตกใจทั้งสองไปยังมุมตำหนักและก้มหน้ากระซิบกัน มันค่อนข้างใกล้ชิดในสายตาคนรอบข้าง
“จื่อเสวียนมีอะไรหรือ?”
ซือหยูถามด้วยความแปลกใจ
จื่อเสวียนมองซือหยูและตะคอก
“เจ้าหลอกข้า!”
ซือหยูใจเต้นแรงเขาตัวสั่นเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของนาง นางรู้ความจริงได้เร็วเช่นนี้เชียวรึ?
เขาถอนหายใจยาวเขาท้อแท้สิ้นหวัง เขาไม่คิดแม้แต่จะบินหนี ถ้าเขาเตรียมตัวมาก่อนก็อาจจะหนีได้ แต่เป็นไปไม่ได้เลยถ้าจะหนีขณะที่นางตัวติดอยู่กับเขา
เขาหัวเราะเยาะตัวเองเขารู้ว่าจะต้องตายที่นี่แน่นอน ดังนั้นเขาจึงเป็นอิสระและยอมรับโชคชะตาอย่างเรียบเฉย
“เจ้ารู้ทุกอย่างแล้วสินะ!ขอโทษที่หลอกเจ้า แต่ข้าก็มีเหตุผล”
จื่อเสวียนถอนหายใจแรง
“ยอมรับสักทีนะ!ก็ดี อย่าโทษว่าข้าหยาบคายก็แล้วกัน”
ซือหยูหลับตาช้าๆเขาคิดว่าเขาจะยังต่อสู้ได้หากมายังจิวโจว เขาไม่คิดเลยว่าจะมีอสูรเนรมิตรมาสังหารเขาเร็วขนาดนี้!
“จะฆ่าข้าก็เอาเลยแต่อย่าคิดว่าข้าจะขอโทษ”
ซือหยูแววตาเด็ดเดี่ยวเขาไม่ได้เสียใจที่สังหารจักรพรรดิโลหิต
“เดี๋ยวสิ…”
จื่อเสวียนกระพริบตาราวอัญมณีของนาง
“ทำไมข้าต้องฆ่าเจ้าล่ะ?”
ซือหยูตกใจกับคำถามของนาง
“เจ้าไม่ได้รู้ความลับข้ารึ?”
จื่อเสวียนพยักหน้านางพูดด้วยความโมโห
“ใช่แล้ว!ข้ารู้! เจ้าหลอกข้าว่าซือหยูเข้าทดสอบ! ข้าพลาดโอกาสหาเขาก็เพราะเจ้า!”
ซือหยูแน่นิ่งสายลมเย็นตีหน้า จิตใจของเขาปั่นป่วน
จื่อเสวียนพูดต่อ
“ข้าฟังเจ้าและไปหาคนเข้าสอบทุกคนในป่าขังภูติแต่ก็ไม่เจอซือหยูเลย แต่ข้าก็เห็นร่องรอยพลังของเขา ข้าเดาว่าเขาไม่ได้เข้าสอบ แต่เป็นศิษย์ของตำหนักโลหิตที่แอบปกป้องผู้เข้าสอบอย่างลับๆ เขาแค่สู้ตอนที่มีคนเจออันตราย!”
ซือหยูรู้สึกเหมือนกับมีอาชาพันตัววิ่งวนรอบสมอง…นี่มันเรื่องดีมิใช่รึข้าจะพูดอะไรอีกเล่า?
“เป็นเพราะเจ้าข้าถึงสนใจผิดคน เจ้าจะชดเชยข้ายังไง?”
จื่อเสวียนมองซือหยูด้วยความโมโหนางยกหมัดขึ้นซัดอกของซือหยู
ภาพที่คนรอบข้างเห็นนั้นเหมือนกับคู่รักกำลังหยอกล้อต่อกันพวกเขาไม่รู้เลยว่ามันคือการพูดคุยที่ตึงเครียด
ซือหยูเขินอาย
“แม่นางเจ้าเป็นอสูรเนรมิตร ข้าจะชดเชยเจ้ายังไงเล่า?”
จื่อเสวียนสะบัดหน้านางคิดและขมวดคิ้ว
“อืม…เจ้าพูดถูก…”
แต่นางก็คิดได้ในทันที
“แต่ข้าไม่คิดว่าจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆหรอกเจ้าจะต้องถูกลงโทษ!”
ซือหยูกลอกตาเขาถามอย่างหมดหวัง
“เจ้าจะรังควานข้าไปทำไมกัน?เจ้าควรไปตามหาซือหยูสิ”
“ข้าต้องลงโทษเจ้าแน่เจ้าจะต้องช่วยข้าตามหาซือหยู มันคือการลงโทษสถานหนัก เจ้าห้ามบ่มเพาะพลัง ห้ามนอน ห้ามกิน ห้ามดื่มอย่างสงบสุข!”
จื่อเสวียนเท้าเอวด้วยมือทั้งสองและจ้องซือหยูอย่างโกรธเกรี้ยว
ขีดบนหน้าผากของซือหยูหายไปเมื่อเขามองจื่อเสวียนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาจ้องมองนางและสงสัย…โลกนี้มีอสูรเนรมิตรที่น่ารักและเบาปัญญาเช่นนี้ได้ยังไง? นางอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ได้…
“ก็ได้ข้าจะช่วยเจ้าตามหาซือหยู ข้าจะบอกเจ้าตอนที่ได้ข่าวเรื่องเขา”
ซือหยูยอมแพ้เพราะนางไม่น่าจะเป็นคนเลวร้าย
จื่อเสวียนส่ายหน้า
“ไม่ต้องพูดแล้วข้าจะจับตาดูเจ้า ข้าจะได้เห็นว่าเจ้าเต็มใจหาซือหยูจริง”
ซือหยูเส้นเลือดปูดโปน
“เจ้าไปหาเขาเองจะไม่เร็วกว่าเรอะ?ใช้สัมผัสเจ้าหาได้ทั้งตำหนักนอกในด้วยฐานพลังเจ้า มันง่ายกว่าไม่ใช่หรือ?”
จื่อเสวียนส่ายหน้า
“ข้าทำไม่ได้มีอสูรเนรมิตรอีกหนึ่งคนในตำหนักนอก ถ้าข้าไปไหนมาไหนตามใจ คนผู้นั้นก็จะเจอข้า ข้าทำได้แค่แอบสืบเรื่องนี้”
ซือหยูเลิกคิ้วเขาตกใจที่ได้ยินว่ามีอสูรเนรมิตรอยู่ที่นี่อยู่อีก…ตำหนักโลหิตมิได้มีม่อเทียนฉวนคนเดียวหรือที่เป็นอสูรเนรมิตร? ทำไมถึงมีอีกคนล่ะ?
“ก็ได้แต่เจ้าจะจับตาดูข้ายังไง? เจ้าอาศัยอยู่กับข้าไม่ได้นะ!”
ซือหยูพูดด้วยความโกรธ
จื่อเสวียนเลิกคิ้วตากระตุกนางจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโต
“อะไรของเจ้า?ข้าบอกว่าไม่ต้องพูดแล้วไม่ใช่รึ? ข้าจะอยู่ กิน บ่มเพาะพลัง และไปไหนมาไหนกับเจ้า! อย่าฝันว่าจะกำจัดข้าได้!”
ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวเสียงของจื่อเสวียนชัดในหูของพวกเขา พวกเขาหันมองและซุบซิบ…
“อะไรเนี่ย?นางกล้าเกินไปแล้ว!”
“นางไม่ลงมือเร็วไปหน่อยรึ?ข้ายังไม่ได้คุยกับเขาเลย แต่นางก็กระโจนเข้าใส่เขาแล้ว!”
เหล่าผู้เฒ่ามองหน้ากันไปมาและหน้าแดงด้วยความอายหนึ่งในนั้นพูด
“มนุษย์เดี๋ยวนี้เสื่อมทรามลงทุกวัน”
ซือหยูเบิกตากว้างสุดท้ายเขาก็รู้แล้วว่าสาวน้อยที่มีฐานพลังน่ากลัวผู้นี้คือคุณหนูที่แทบจะไม่เคยออกจากบ้าน! นางไม่รู้แม้แต่เรื่องปกติที่ว่าบุรุษสตรีจะต้องอยู่แยกกัน! แค่เรื่องนี้อย่างเดียวก็บอกได้ว่านางอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกเทศทีห่างไกลจากโลกความเป็นจริงอย่างมาก!
ซือหยูเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก…ถ้าข้าต้องอาศัยร่วมกับนางวันหนึ่งถ้าอสูรเนรมิตรน้อยนางนี้เข้าใจทุกอย่างและอยากจะสังหารข้าเพื่อคงความบริสุทธิ์ล่ะ? ข้าจะทำยังไง!
“เจ้ากล้าปฏิเสธข้างั้นเรอะ?”
เมื่อเห็นว่าเขาเงียบสนิทจื่อเสวียนจึงกัดฟันถาม
นางถามต่อ
“พอฉวยโอกาสกับข้าไปแล้วเจ้ายังกล้าถอนคำพูดอีกหรือ? เจ้ามันคนขี้โกง! ข้าจะ…”
ซือหยูรีบหยุดนาง
“เดี๋ยวสิข้ายอมแล้ว! ตกลงไหม? แต่เจ้าต้องสาบานว่าจะไม่ถอนข้อตกลงนี้ เจ้าจะไม่มีวันตามล่าสังหารข้า!”
จื่อเสวียนตกใจนางถามทันที
“อะไรของเจ้า?ทำไมข้าต้องไล่สังหารเจ้าด้วยล่ะ?”
เขาไม่ตอบแต่นางก็ได้หยิบเอาปฏิญาณสัตย์ดวงใจเขียนคำสาบานของนางลงไปให้ซือหยู ซือหยูจึงสบายใจขึ้นมา เขาเก็บมันไว้อย่างระมัดระวัง สิ่งนี้จะเป็นเครื่องรางช่วยชีวิตเขาในอนาคต
“ซือหยูเซี่ยนนี่คือที่อยู่เจ้ากับกุญแจ…เก็บไว้”
ผู้เฒ่าหลี่เดินมาหาทั้งสองอย่างกระอักกระอ่วนเขามองจื่อเสวียนและคิด…ใยสาวน้อยงดงามละเอียดอ่อนผู้นี้ถึงได้หยาบโลนนัก?
เขาลังเลก่อนจะพูด
“ตามกฎเจ้าเป็นคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในเรือนตัวเอง พาใครเข้าไปไม่ได้ แต่เจ้ามีตรามัจฉามังกร เจ้าได้รับสิทธิพิเศษให้พาหนึ่งคนอยู่ด้วยได้ แต่จะดีกว่าถ้าหนุ่มสาวจะใช้เวลาบ่มเพาะพลัง เพลาๆเรื่องอย่างนั้นลงบ้างล่ะ”
ซือหยูเกือบจะเริ่มสาปแช่งกฎข้อนี้เขาโกรธในใจ…ข้าจะต้องเพลาเรื่องอะไรเล่า? นางเป็นอสูรเนรมิตร!
จื่อเสวียนมองชายทั้งสองที่สีหน้าประหลาดด้วยความสงสัย
“เจ้าสองคนพูดอะไรกัน?ข้าไม่เข้าใจ…”
ซือหยูพยายามจะอธิบายเขาอายเล็กน้อย
“ผู้เฒ่าหลี่ขอให้พวกเราเข้ากันได้ดีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันน่ะ”
“โอ้!ขอบคุณผู้เฒ่าหลี่!”
จื่อเสวียนยิ้มอย่างไร้เดีงสา
ผู้เฒ่าหลี่มิอาจทนความอาจหาญของนางได้เขารีบพูด
“เจ้าหนูเจ้าได้ที่หนึ่งของการสอบปีนี้ ตามธรรมเนียมจะได้รับสิทธิ์เข้าบ่อเซียนและได้หนึ่งพันคะแนน”
“บ่อเซียนมีผลดีกับภูติชั้นต้นอย่างเจ้าโดยเฉพาะเมื่อผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกรมาแล้ว เจ้าควรจะตีเหล็กตอนที่ยังร้อน มันจะยิ่งส่งผลดีจนเจ้าตกใจเชียวล่ะ!”
เขาสรุป
“หลังจากออกจากบ่อเซียนแล้วจะดีมากถ้าเจ้าได้ไปที่ห้องฝึกและปรับฐานพลัง”
หลังอธิบายจบผู้เฒ่าหลี่เดินจากไปทันทีโดยไม่รีรอ เขาไม่พูดถึงเรื่องหมาไม้แดงเนตรปีศาจด้วยซ้ำ
“จื่อเสวียนนี่เป็นตราเรือนของพวกเรา เจ้าไปที่นั่นก่อน ตอนนี้ข้าจะไปบ่มเพาะพลังสักหน่อย”
เพราะซือหยูมาตำหนักโลหิตเพื่อบ่มเพาะพลังเป็นหลักเขาจะไม่พลาดโอกาสอันดี
จื่อเสวียนมองเขาก่อนจะพยักหน้าแต่นางก็เตือนเขา
“อย่าได้เล่นลูกไม้เจ้าจะต้องกลับมาห้องของเราในเวลาไม่เกินครึ่งวัน…มิเช่นนั้นล่ะก็!”
นางกัดฟันและกำหมัดจนมีเสียงลั่นมาจากกระดูก
ทุกคนที่นี่งุนงงเมื่อมองนางแต่พวกเขาก็อิจฉาซือหยู แต่พวกเขาอดสงสัยไม่ได้…นางจะไม่กังวลไปหน่อยรึ?
ซือหยูหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอายเขารีบเดินออกไปยังตำหนักเซียนที่ที่มีบ่อเซียนตั้งอยู่
ขณะนั้นภายในเรือนใหญ่ที่สร้างกลางภูเขาและประดับประดาไปด้วยหยกมุกล้ำค่า หญิงสาวงดงามละเอียดอ่อนได้บ่มเพาะอย่างสงบ แต่จู่ๆก็มีเสียงดังมาจากเอวของนาง
สาวน้อยขมวดคิ้วและมองดูตราทมิฬของนางมันเป็นตราที่เหมือนกับตรามัจฉามังกรของซือหยู
เมื่อนางมองดูใกล้ก็กระโดดขึ้นและตะโกน
“อ๊า!น่าโมโหจริงๆ! ใครกันที่กล้ามาลบภาพเงาของข้าที่ทิ้งเอาไว้ในขั้นห้าสิบ กล้าดียังไงมาแย่งสิทธิพิเศษของข้า? ใครกัน?”
เมื่อภาพเงาของนางถูกแทนที่นางก็ถูกริบสิทธิ์โดยปริยาย! ในตอนนั้น มีภูติระดับแปดเดินผ่านมาได้ยินเสียงนางตะโกนและกระโดดขึ้นด้วยความกลัว
เขาหน้าซีด
“อสูร….”
จากนั้นเขาก็หนีไปทันทีเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วอันบ้าคลั่งราวกับถูกอสูรเนรมิตรตามล่า!
ขณะที่บินหนีเขาตะโกนสุดเสียง
“แย่แล้ว!อสูรจะลงจากเขาแล้ว! ทุกคน…หนีเร็ว!”
DND.788 – แลกคะแนน
ศิษย์นอกสิบคนที่กำลังเดินอยู่ในเชิงเขาชักสีหน้าเมื่อได้ยินเสียงตะโกนหลายคนร้องเสียงหลง…
“แย่แล้ว!อสูณกำลังจะมาที่นี่! ต้องหนีแล้ว”
“อ๊ากก!หนี…เร็ว!”
เหล่าศิษย์นอกต่างลงจากเขาด้วยความตื่นตระหนก
…
ซือหยูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเขายืนอยู่หน้าตำหนักเซียน เขาตกใจอยู่บ้างที่เห็นว่ามีศิษย์นอกห้าคนยืนเฝ้าที่นี่อยู่ พวกเขาทุกคนมีพลังตั้งแต่ภูติระดับหกขึ้นไป
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสัมผัสได้ถึงพลังอ่อนๆของจ้าวเทวะจากข้างในตำหนักนอกจากสำนักใหญ่ทั้งสิบแปด สำนักส่วนมากมีจ้าวเทวะแค่คนเดียวพร้อมกับภูติมากมาย เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ต่างๆ แต่จ้าวเทวะที่นี่เป็นได้แค่คนคุ้มกันตำหนักเท่านั้น!
ซือหยูก้าวไปข้างหน้าและสอบถามวิธีเข้า
“เจ้าต้องใช้ห้าร้อยคะแนนในการเข้าแต่ละครั้ง…”
คนคุ้มกันตอบ
คนคุ้มกันอีกคนมองซือหยูหัวจรดเท้าเขาแอบดูถูกในใจ จากนั้นเขาจึงโบกมือไล่ซือหยูด้วยความรำคาญ
“มีคนหน้าใหม่พยายามจะเข้าไปเสมอเจ้าควรจะเข้าใจให้ดีว่าตำหนักนอกมีกฎระเบียบ กลับไปหาห้าร้อยคะแนนซะก่อนที่จะกลับมา”
ใบหน้าของพวกเขาไม่เป็นมิตรซือหยูเพียงสะบัดเสื้อมองคนคุ้มกันผู้นั้นอย่างเย็นชา
“ข้าได้รับรางวัลให้เข้าได้โดยไม่เสียอะไรหนึ่งครั้งเจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่?”
คนคุ้มกันทั้งห้ามองเขาด้วยความแปลกใจเพราะบ่อเซียนนั้นจะต้องใช้คะแนนแลกเท่านั้น ยากมากที่จะมีคนได้รับอนุญาตให้เข้าโดยตรง!
“ทำไมเจ้าถึงได้รางวัลดีแบบนั้นล่ะ?”
คนคุ้มกันคนนั้นตกใจเขามองซือหยูใหม่อีกครั้งและตั้งคำถาม
ซือหยูยืนมือไพล่หลังตอบ
“ข้าได้ที่หนึ่งในการสอบเข้าบอกแค่นี้พอหรือไม่?”
สีหน้าของคนคุ้มกันเปลี่ยนไปอย่างมาก
“เจ้าพูดถึงการสอบรับคนจากภายนอกที่เพิ่งจะจบลงไปงั้นรึ?”
เขาไม่ได้เชื่อซือหยูจริงๆคนคุ้มกันอีกสี่คนก็ขมวดคิ้วเช่นเดียวกัน เพราะฐานพลังของซือหยูอ่อนแอเกินไป ยากที่พวกเขาจะเชื่อว่าคนที่เป็นเพียงภูติระดับหนึ่งจะได้ที่หนึ่ง และซือหยูยังดูแก่เฒ่าเป็นอย่างมาก เขาดูไม่เหมือนกับศิษย์หน้าใหม่
พอคนคุ้มกันกำลังจะพูดต่อสีหน้าของซือหยูก็โหดเหี้ยมขึ้นมา
“ก็ได้ถึงข้าจะไม่ได้เข้าวันนี้ ข้าจะไปขอให้ผู้เฒ่าหลี่บอกให้เจ้าตำหนักคงฉานมาด้วยตัวเอง”
ซือหยูมาที่นี่เพียงเพื่อจะใช้สิทธิ์เข้าบ่อเซียนแต่เขากลับถูกคนคุ้มกันทั้งห้าขวางเอาไว้! แม้เขาจะไม่ได้โกรธ เขาก็ไม่พอใจอยู่มาก
“เดี๋ยวก่อน!”
สีหน้าคนคุ้มกันเปลี่ยนแปลงเสียหลายครั้งเขาดูถูกซือหยูเพราะเห็นว่าฐานพลังของซือหยูน้อยเกินไป แต่เมื่อเห็นว่าซือหยูเอาจริง เขาก็ไม่กล้าขวางอีกแล้ว
แต่มันก็สายไปเสียแล้วซือหยูทำเป็นไม่ได้ยินและเดินจากไป การเดินจากไปของเขาทำให้คนคุ้มกันคนนั้นกระวนกระวายเพราะพวกเขาทำหน้าที่ปกป้องตำหนักและชี้แนะศิษย์ใหม่ถึงวิธีใช้คะแนนในการเข้าบ่อเซียน
ถ้าหากใครมีคะแนนมากพอพวกเขาก็ต้องให้คนผู้นั้นใช้บ่อได้ พวกเขาจะต้องไม่ทำสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มกังวลว่าตัวเองจะลำเส้นไปแล้ว
ถ้าหากผู้เฒ่าไม่สนใจเรื่องร้องเรียนของซือหยูก็คงจะไม่เป็นไรแต่ถ้าหากผู้เฒ่าสนใจคำร้องของซือหยูอย่างจริงจัง พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างหนัก และดูเหมือนว่าชายแก่ตรงหน้าพวกเขาจะมีคนหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ด้วย
“ศิษย์น้องโปรดรอเดี๋ยว”
เขาเดินไปพยายามหยุดซือหยู
ในตอนนั้นประตูตำหนักเซียนได้เปิดอย่างเงียบๆ ชายแก่เคราแพะได้เดินออกมา เขาดูอบอุ่น แต่ดวงตาแฝงไว้ด้วยความโกรธ
“ท่านเจ้าตำหนักหลง”
คนคุ้มกันตกใจพวกเขารีบทักอย่างพร้อมเพรียง คนที่ตามซือหยูรีบกลับมาเฝ้าประตู เขาก้มหน้าลงเช่นกัน
ชายแก่เคราแพะมองเหล่าคนคุ้มกันและถอนหายใจแรง
“ภารกิจประจำเดือนของพวกเจ้าจบลงแล้วไม่ต้องกลับมาทำอีก จงไปซะ”
คนคุ้มกันอีกสี่คนชักสีหน้าเมื่อได้ยินคำสั่งพวกเขากระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ในตำหนักโลหิต ศิษย์นอกแต่ละคนจะต้องทำภารกิจอย่างน้อยหนึ่งภารกิจในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นภารกิจดีหรือแย่ก็ตาม
ภารกิจที่แย่นั้นหมายถึงภารกิจที่เหนื่อยและยากลำบากบางภารกิจยังทำให้พวกเขาเอาชีวิตไปเสี่ยง ขณะที่รางวัลก็เป็นคะแนนเล็กน้อย ส่วนภารกิจที่ดีก็มักจะให้กับศิษย์ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับคนออกภารกิจ ด้วยเหตุนี้คนธรรมดาจึงไม่เข้าถึงภารกิจเหล่านั้น
ภารกิจคุ้มกันตำหนักเซียนถือเป็นภารกิจชั้นกลางขั้นสูงสุดรางวัลนั้นให้คะแนนสูงกว่าภารกิจอื่นๆหลายเท่า และมันยังปลอดภัยและง่ายดาย แต่ก็ยากที่คนธรรมดาจะได้รับภารกิจนี้
คนคุ้มกันทั้งห้านี้มาจากตระกูลที่สนิทกับชายเคราแพะพวกเขาได้รับภารกิจคุ้มกันนี้เดือนละครั้ง ถ้าหากพวกเขาเสียโอกาสนี้ไป มันก็คือการเสียหายอย่างหนัก
คนคุ้มกันที่คุยกับซือหยูเข่าอ่อนล้มลงกับพื้นเขาวิงวอนเจ้าตำหนักหลง
“ให้อภัยข้าด้วยเถอะ!ข้ามันไร้สมองจนทำผิดกฎ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!”
ตอนที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอดีตเจ้าตำหนักหลงมักจะทำเป็นมองไม่เห็นพวกเขา แต่ตอนนี้เจ้าตำหนักหลงกับโกรธจนไม่สนใจสายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของพวกเขา
เคราแพะของเจ้าตำหนักหลงกระเพื่อมเมื่อเขาถอนหายใจ
“ตำหนักเล็กๆจะให้คนยิ่งใหญ่อย่างเจ้าอยู่ได้ยังไง?เจ้าปฏิเสธศิษย์ที่สอบได้ลำดับหนึ่งที่เจ้าตำหนักคงฉานให้สิทธิ์มา! เจ้าไปหาที่อยู่ใหม่เดี๋ยวนี้เสียเถอะ”
เจ้าตำหนักหลงไม่สนใจคำวิงวอนและโยนเขาลงจากบันไดเจ้าตำหนักหลงยิ้มขณะเดินลง
เขาไปถามซือหยู
“เจ้าคือซือหยูเซี่ยนใช่หรือไม่?ผู้เฒ่าหลี่พูดถึงเจ้าแล้ว ข้ารอให้เจ้ามาที่นี่นานแล้วล่ะ คนพวกนั้นดูหมิ่นเจ้าก็เพราะไม่รู้สถานะของเจ้า อย่าไปใส่ใจนักเลย”
เมื่อเห็นว่าเจ้าตำหนักลงมาต้อนรับเขาอย่างยินดีแม้ซือหยูจะไม่พอใจ เขาก็ล้มเลิกความคิดเสีย
“ท่านเจ้าตำหนักอย่าคิดมากนักมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย”
“ขอรบกวนถามข้าจะเข้าตำหนักได้ยังไง?”
เจ้าตำหนักหลงหัวเราะเบาๆ
“เจ้านำตราประจำตัวติดตัวมาด้วยหรือไม่?”
ซือหยูพยักหน้าผู้เฒ่าหลายคนพูดให้เขาพกติดตัวเสมอบ่อยครั้ง เพราะถ้าหากผู้คุมกฎพบว่าใครไม่พกตราประจำตัว คนผู้นั้นจะถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด
“ข้าพกมาด้วย”
ซือหยูพยักหน้า
เจ้าตำหนักหลงชี้ไปยังตำแหน่งใกล้ประตูที่นั่นมีกำแพงสีน้ำเงินเรียบลื่น มันโปร่งใสและเปล่งประกายราวกับหยกงาม มันมีช่องกลวงงที่กว้างเท่ารูเข็มที่กลางกำแพง เขาสามารถวางตราประจำตัวลงในนั้นได้อย่างง่ายๆ
เมื่อเขาเดินไปเสียบตราประจำตัวก็มีสามประโยคแสดงขึ้นมาทันที…
คะแนน: หนึ่งพัน สิทธิ์เพิ่มเติม : หนึ่งครั้ง หากเข้าไป สิทธิ์เพิ่มเติมจะถูกใช้
หนึ่งพันคะแนนคือรางวัลที่ซือหยูได้รับจากการสอบเข้าได้ที่หนึ่งสิทธิ์เพิ่มเติบก็เป็นรางวัลที่เขาได้มาเช่นกัน
“ตอนนี้เจ้าเข้าไปได้โดยไม่เสียอะไรแต่ครั้งต่อไป เจ้าจะต้องเสียคะแนนของเจ้า เจ้าจะต้องใช้ห้าร้อยคะแนนในแต่ละครั้ง ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น…”
เขาอธิบายกับซือหยู
เขาพูดต่อ
“ถ้าหากข้ากล้างดเว้นกับใครค่ายกลในตำหนักจะส่งเสียง ข้าจะถูกลงโทษจากตำหนัก”
ซือหยูยิ้มมุมปากเมื่อได้ฟังคำอธิบาย
“ขอบคุณท่านเจ้าตำหนักหลงที่ลำบาก”
หลังจากซือหยูเก็บตราประจำตัวทั้งคู่ก็เดินเข้าไป ซือหยูถามระหว่างเดิน
“ท่านผู้อาวุโสข้าเพิ่งจะมาที่นี่ ขอข้าถามบางอย่างจะได้หรือไม่?”
เจ้าตำหนักหลงค่อนข้างใจกว้าง
“ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสหรอกถึงข้าจะแก่แล้ว ข้าก็มีพลังแค่จ้าวเทวะชั้นต้น ข้าเทียบกับคนมีพรสวรรค์อย่างเจ้าไม่ได้หรอก เจ้าเรียกข้าว่าเจ้าตำหนักหลงตามตำแหน่งก็พอแล้ว ถ้าสงสัยประการใดก็ถามได้เลย”
นามของซือหยูแพร่กระจายไปยังจ้าวเทวะตำหนักนอกทุกคนพวกเขารู้แล้วว่ามีอสูรอีกคนนอกจากสี่อสูรที่ไปถึงขั้นห้าสิบของมัจฉาข้ามประตูมังกร อสูรหน้าใหม่ผู้นี้เป็นที่ยอมรับต่อเจ้าตำหนักคงฉานและเจ้าตำหนักฮั่วอย่างมาก ความสำเร็จในอนาคตของเขานั้นไร้ขีดจำกัด! หลายคนจึงอยากผูกมิตรกับซือหยู
ซือหยูขอบคุณเขาและถาม
“ท่านเจ้าตำหนัก…คะแนนที่พูดถึงกันคือสิ่งใดกันแน่? มันใช้ทำอะไรได้บ้าง แล้วจะได้มันมายังไง?”
เจ้าตำหนักหลงอธิบายกับเขาอย่างตั้งใจ
“แนวคิดเรื่องคะแนนนี้มิต่างกับสกุลเงินของตำหนักโลหิตมันใช้ซื้อขายสิ่งพิเศษบางอย่างที่ตำหนักโลหิตหวงห้าม มันใช้ซื้อโอกาสการบ่มเพาะพลังเช่นการบ่มเพาะในบ่อเซียน:”
เขาพูดต่อ
“หากเจ้ามีคะแนนเจ้าจะซื้อได้ทุกอย่างตั้งแต่วิธีบ่มเพาะจนถึงโอสถ ยันต์ สมบัติวิเศษ เจ้าซื้อได้แม้กระทั่งวิชาบ่มเพาะระดับตำนาน!”
เขายิ้มอย่างภาคภูมิ
“และถ้าเจ้าอยากจะผ่อนคลายก็ไปในเมืองและใช้คะแนนแทนเงินได้เจ้าซื้อสิ่งของได้ในทุกเมืองที่ตำหนักโลหิตปกครอง”
เขาภูมิใจกับระบบนี้มาก
“นี่คือระบบการแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่ที่ตำหนักโลหิตคิดค้นขึ้นมาเจ้าใช้คะแนนแลกเปลี่ยนกับศิษย์คนอื่นก็ได้ เช่นถ้าเจ้าอยากจะจ้างพวกเขาให้เดินทางไปกับเจ้า เจ้าก็เอาคะแนนไปแลกได้! เจ้ายังซื้อของจากพวกเขาตราบเท่าที่พวกเขายอมขายให้เจ้า”
เขายิ้มอีกครั้งก่อนจะสรุป
“พูดสั้นๆคะแนนก็คือสิ่งที่เจ้าใช้ในชีวิตประจำวันของตำหนักโลหิต เจ้าใช้ซื้อทรัพยากรบ่มเพาะพลังได้จำนวนมาก เจ้าจะได้ซื้อได้เท่าใดก็ขึ้นอยู่กับคะแนนที่เจ้ามี”
ซือหยูเข้าใจทุกอย่างแล้วหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดเขาเข้าใจว่าคะแนนนี้เหมือนกับสกุลเงินที่จะใช้แลกสิ่งของ สาวงาม รวมถึงความนับถือและความรัก!
ซือหยูตอนนี้มีหนึ่งพันคะแนนมันเป็นจำนวนที่นับว่ามากในบรรดาศิษย์นอก แต่ถ้าเขาใช้มันจนหมดโดยไม่คิด มันก็จะหมดลงอย่างรวดเร็ว เขาจะกลายเป็นคนจนขึ้นมาทันที!
“แล้วข้าจะหาคะแนนมาได้ยังไงล่ะ?”
ซือหยูถามความคิดว่าเขาจะจนนั้นทำให้เขาตัวสั่น
เจ้าตำหนักหลงอธิบายเขาอย่างอดทน
“มีหลากหลายวิธีการนักแต่ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นสี่วิธี อย่างแรกคือการแลกแก้วพลังเป็นคะแนน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการจ่ายอย่างไม่คุ้มค่าก็เถอะ”