The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 795-796
DND.795 – ศิษย์ตำหนักใน
ในปีที่ผ่านมาซือหยูได้กระบี่เก้าหยางมาจากกระโจมเทพสวรรค์ มันมีพลังอันสูงส่งที่ช่วยให้เขาสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งได้มากมาย
กระบี่ทองสามเล่มที่เขาครอบครองนั้นถูกสร้างมาจากการหลอมเข็มทั้งเก้าว่ากันว่าเพลงกระบี่เก้าหยินหยางนั้นถูกพัฒนามาจากเพลงกระบี่ที่ชื่อว่าเพลงกระบี่เก้าสุริยา และเพลงกระบี่เก้าหยินหยางก็มีพลังไม่ถึงหนึ่งในร้อยของกระบี่เก้าสุริยา
ซือหยูคิดถึงเพลงกระบี่นี้หลายต่อหลายครั้งแต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะได้เห็นมันกับตาตัวเอง ความตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้า เขายื่นมือจะหยิบมันขึ้นมาดู แต่ก่อนที่จะได้สัมผัสก็มีคลื่นไฟฟ้าพุ่งออกมาจากตำราและกระทบปลายดัชนีจนทำให้เขาดึงมือกลับ
“น้องซืออย่าไปแตะมันอย่างนั้นมีผนึกแข็งแกร่งอยู่ในตำราแต่ละเล่ม ถ้าหากเจ้าของห้องตำราไม่อนุญาตก็ไม่มีใครเอาไปได้”
ชางก่วนหยุนซื่อกล่าว
ซือหยูเก็บความตื่นเต้นเอาไว้และทำใจให้เย็นเขามองรอบๆ
“เล่มนี้ต้องใช้กี่คะแนนงั้นรึ?”
ชางก่วนหยุนซื่อหยิบตราประจำตัวแนบกับตำรามีชุดข้อความปรากฏบนตรานั้น
“วิชานี้ระดับไม่ชัดเจนแต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นวิชาระดับตำนานชั้นกลาง”
เขาพักก่อนจะพูดต่อ
“แต่เพราะมันเป็นตำราที่ไม่สมบูรณ์มันเลยถูกจัดให้เป็นตำราระดับตำนานชั้นต่ำ ดังนั้นเลยต้องใช้แสนคะแนนในการยืม”
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวเมื่อได้ฟังราคาเขามองตำรากระบี่ด้วยความโหยหา
ชางก่วนหยุนซื่อถอนหายใจ
“โทษทีนะข้าเอาแต่ประมาทเลยไม่เคยเก็บคะแนนเอาไว้ใช้ แต่ถ้าเจ้าอยากได้มาก ข้าก็มีปีกวารีเก้าสวรรค์อยู่ มันมีค่าเท่าแก้วแสนดวง เจ้าเอาไปแลกได้เป็นห้าหมื่นคะแนน”
ซือหยูย่อมไม่ยอมรับน้ำใจนี้อยู่แล้ว
“ขอบคุณพี่ชางก่วนมากแต่ข้าจะหาทางเอง”
แม้ชางก่วนหยุนซื่อจะเป็นนายน้อยตระกูลชางก่วนเขาก็ไม่มีสมบัติล้ำค่ามากมายนัก ดังนั้นปีกวารีเก้าสวรรค์จึงเป็นสมบัติช่วยชีวิตอย่างเดียวที่เขามี
และซือหยูก็มิอาจรับของขวัญแบบนี้ได้แม้ชางก่วนหยุนซื่อจะยืนกราน ซือหยูก็ได้แต่ปฏิเสธอย่างหนักแน่น ท้ายสุดชางก่วนหยุนซื่อจึงไม่พูดต่อ
หลังจากได้พบตำรากระบี่ซือหยูก็ไม่อยากจะดูตำราอื่นแล้ว เขาเริ่มคิดถึงวิธีการหาคะแนนจำนวนมากเพื่อเอามายืมตำรา
หลังจากออกจากห้องตำราเขากล่าวลาชางก่วนหยุนซื่อกลับไปยังเขาอสูร
น้ำแข็งอุดรหรือปิงหวูชิงนั้นอยู่ที่เรือนกลางนางได้กลับไปยังเรือนเหนือแล้ว ขณะที่จื่อเสวียนได้หายตัวไป ซือหยูปิดประตูหน้าต่างอย่างดีและเข้าไปยังมุกวิญญาณเก้าหยก เขาตรงไปยังแปลงสมุนไพรวิญญาณ
มีม้าเมฆานับไม่ถ้วนถูกปลูกอยู่รอบๆยังมีสามถึงสี่ร้อยตัวกำลังวิ่งไปมาจนทั่ว
ทับทิมวิญญาณขนนกเองก็เติบโตตระการตาใบของมันเหมือนกับกันสาดทองคำที่แผ่ร่มเงาให้ทั้งสวน มีผลไม้สีทองมากมายห้อยอยู่
ซือหยูมองจนทั่วจนถึงไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่เติบโตสูงขึ้นและเปล่งแสงสีเงินออกมาตอนแรกมันเปล่งงแสงสีทองขณะที่เป็นหน่อไม้ และเมื่อเติบโตได้กลางวัย มันก็เปล่งแสงสีทองอ่อนๆและมีสีม่วงแกมเข้ามา
ตอนนี้ทั้งต้นของมันกลายเป็นสีเงินขาวกระจ่าง มันเหมือนกับรูปสลักไผ่ที่ทำจากเงินเหมือนกับนามของมัน หากมันโตเต็มที่ มันจะกลายเป็นสีเงินตลอดต้น
ดูจากความเร็วในการเติบโตนี้ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่เขาเห็นน่าจะมีอายุเกินพันปีเข้าไปแล้ว จิวโจวคงสั่นคลอนหากมีคนรู้เรื่องนี้เข้า ต่อให้เป็นของธรรมดาที่โตเต็มที่มันก็เกิดใหม่เป็นสิ่งล้ำค่าหายากได้! แต่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์นั้นคือไผ่เทวะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจิวโจวที่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่โบราณกาล
ซือหยูดีใจเมื่อได้เห็นต้นไผ่นี้เขาจะมีวัตถุดิบมากพอในการสร้างกระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์จนครบเก้าเล่ม! ซือหยูตื่นเต้นเมื่อจินตนาการถึงพลังที่เขาจะมี ความคมและความแข็งแรงของวัตถุดิบนี้จะทำให้เพลงกระบี่เก้าสุริยาทรงพลังขึ้น
เขามีสิ่งจำเป็นพร้อมแล้วเขายังขาดอีกเพียงสองก้าว! ก้าวแรกคือการสร้างกระบี่ไผ่เงิน ซือหยูจะต้องกลายเป็นช่างฝีมือเพื่อที่จะทำมันให้ได้ เพราะถ้าหากเขานำวัตถุดิบล้ำค่านี้ไปให้คนอื่นเห็น เขาก็อาจจะเรียกภัยพิบัติมาหาตัวเอง
ก้าวที่สองคือการเก็บคะแนนให้ได้โดยเร็วเพื่อที่จะได้ยืมตำรากระบี่เก้าสุริยาเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเห็นในอนาคตว่าเมื่อได้เพลงกระบี่เหล่านี้ครบถ้วนในมือแล้ว เขาจะไม่ต้องหวาดกลัวอสูรเนรมิตรห้าคนนั้นอีกต่อไป!
แม้เขาจะเข้าตำหนักโลหิตมาแล้วสัมผัสอันตรายที่ยังรู้สึกก็ไม่ได้สลายไปไหน อสูรเนรมิตรทั้งห้าคือต้นตอของปัญหาใหญ่ของเขา เขาจะต้องจัดการเรื่องวิชากระบี่โดยเร็ว!
เมื่อเขาครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้สาวน้อยคนหนึ่งก็ได้เดินมาที่ด้านหลัง
“นายท่าน”
ซือหยูหันไปมองจางตี๋เก้อหลังจากที่นางได้พักมานาน นางก็ฟื้นฟูพลังขึ้นมามาก นั่นทำให้ใบหน้าของนางมีสีสันของโลหิตอีกครั้ง แต่ซือหยูก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของนางเต็มไปด้วยความกลัว
“เจ้าโชคดีจริงๆที่ข้ารอดมาได้…”
เขาบอก
ก่อนที่โลกเฉินหลงจะถูกทำลายซือหยูบอกนางว่าถ้าเขารอดมาได้เขาจะใช้งานนาง แต่ถ้าเขาตาน มุกวิญญาณเก้าหยกก็จะไร้ผู้ถือครอง จางตี๋เก้อจะถูกผนึกที่นั่นไปตลอดกาล
จางตี๋เก้อไม่รู้เรื่องการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเฉินหลงและนางก็ไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในจิวโจวที่นางใฝ่ฝันจะกลับ
“ภูติผีอย่างเจ้าคงจะคุ้นเคยกับพลังของตระกูลภูติผีใช่หรือไม่?”
ซือหยูถาม
ซือหยูตกใจหน่อยๆที่นางพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด
“ข้าคุ้นเคยในพลังของเผ่าพันธุ์เดียวกันระยะสัมผัสเหนือกว่ามนุษย์ห้าเท่า หากอยู่ในระยะหนึ่งลี้ข้าจะสัมผัสได้ นี่มิใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้หรอก”
ซือหยูรู้สึกทึ่งเพราะระยะสัมผัสของนางนั้นไม่แคบเลย เขาพยักหน้า
“ดีเตรียมตัวเอาไว้ ไม่นานข้าจะใช้งานเจ้า”
“เข้าใจแล้วนายท่าน”
นางตอบอย่างงว่าง่าย
ซือหยูพยักหน้าและออกไปยังร่างหลักเขาลืมตาและเห็นดวงตาราวกับอัญมณีสีคราม เขาสัมผัสลมหายใจอบอุ่นที่รดใบหน้าเบาๆ
ซือหยูตกใจเขามองใบหน้าตรงหน้าที่มีริมฝีปากยั่วยวน เขาร้อนรนและถามด้วยความโกรธ
“ทำอะไรของเจ้า?”
จื่อเสวียนผละตัวออกจากเขาและถามด้วยความสงสัย
“น่าแปลก!ดูเหมือนวิญญาณเจ้าไม่อยู่กับตัวไปครู่หนึ่ง ข้ายังสัมผัสพลังของภูติผีได้อีก ร่างกายของเจ้ามีความลับอยู่แน่!”
นางสัมผัสจางตี๋เก้อที่อยู่ในมุกวิญญาณเก้าหยกได้ด้วยรึ?ซือหยูตกใจเล็กน้อย
แต่จื่อเสวียนก็ไม่ได้สนใจอะไรนักนางโยนจดหมายสีขาวให้กับเขา
“มีคนสายตาเจ้าเล่ห์วางสิ่งนี้ไว้ที่ประตูแล้วก็วิ่งหนีไป”
ซือหยูหยิบมันขึ้นมาและเห็นคำว่า‘ซือหยูเซี่ยน’ เขียนเอาไว้หน้าซอง เขาสงสัยและเปิดอ่าน เขาตกใจในทันที
มันมาจากนักเลงหลงเขาเขียนว่าเขาเตรียมสูตรโอสถและวัตถุดิบเรียบร้อยแล้ว! การทำเรื่องนี้มิใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะกับศิษย์นอก ซือหยูสงสัยว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังนักเลงหลง
“ข้าจะไปล่ะ”
ซือหยูยืนขึ้น
จื่อเสวียนย่นจมูกนางถอนหายใจห้วนๆเบาๆ
“เจ้าจะทิ้งข้าให้อยู่คนเดียวอีกแล้วครั้งนี้กลับมาให้เร็วกว่าเดิมล่ะ”
ซือหยูอับอายคำพูดของนางดูเหมือนกับคำพูดที่ภรรยาใช้กับสามี
“ข้าจะพยายาม”
ซือหยูตอบโดยไม่หันกลับไปมองนาง
จื่อเสวียนเถียงกลับ
“อย่าแค่พยายาม!เจ้าจะต้องกลับมาก่อนเที่ยงคืน จะมีชุมนุมสหพันธ์เขาอสูรครั้งที่สามสิบจัดขึ้น คนในเรือนเขาอสูรจะต้องมาด้วย”
ซือหยูแปลกใจเขารู้สึกเหมือนได้กลับไปตอนเป็นนักธุรกิจในโลกก่อนหน้า
“ก็ได้ข้าจะกลับมาให้ทัน”
สมองของซือหยูยุ่งเหยิงไปหมดตอนนี้เขาเพิ่งจะเจออสูรเพียงคนเดียว นั่นก็คือน้ำแข็งอุดรปิงหวูชิง
เขายังไม่พบปีศาจบูรพาพิษประจิม สัตว์ประหลาดทักษิณ เขาหยุดคิดไม่ได้ว่าทั้งสามคนจะไร้เหตุผลและหยาบคายอย่างปิงหวูชิงหรือไม่
ซือหยูส่ายหน้าและเดินลงเขานี่เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ศิษย์ที่อาศัยใกล้เขาอสูรได้ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ
เมื่อเห็นซือหยูเดินลงจากเขาพวกเขาก็เบิกตากว้างและเริ่มกระซิบกระซาบต่อกัน เขามองซือหยูราวกับเจอคนบ้า ซือหยูเช็ดเหงื่อบนใบหน้าเมื่อเห็นการจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้น…
หน้าข้าปักลายดอกเอาไว้หรืออย่างไร?ทำไมถึงจ้องข้ากันล่ะ?
ซือหยูเริ่มไม่พอใจที่พบว่ามิใช่แค่คนรอบเขาอสูรที่มองเขาแบบนั้นแต่มันเกิดขึ้นกับทุกที่ที่เขาเดินผ่าน! ไม่ว่าจะไปที่ไหนผู้คนก็จะเลี่ยงเขา เหมือนกับว่าเขาเกิดใต้ดาวร้าย!
พวกเขามองซือหยูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงความเกรงขาม และความกลัวที่มากกว่าทุกความรู้สึก สายตาแปลกๆตามติดซือหยูไปในทุกที่ เขาไม่พอใจเลย
จากนั้นไม่นานซือหยูก็มาถึงหอยอดสวรรค์ มันคือสถานบันเทิงที่ตำหนักโลหิตสร้างให้ศิษย์ได้ผ่อนคลาย ชางก่วนหยุนซื่อมาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง
ในการเข้าไปจะต้องแสดงตราประจำตัวแม้จะไม่ได้ใช้จ่ายอะไรก็มีค่าเข้าห้าสิบคะแนน ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนมีคะแนนเหลือเฟือ พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญในการเก็บคะแนนที่มีเส้นสายกับคนมั่งคั่งในตำหนัก
ซือหยูค่อนข้างเจ็บปวดในวันนี้เพราะเขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขาก็ลงเอยด้วยการเสียคะแนนถึงสองร้อยห้าสิบคะแนน! ถ้าเขาไม่รีบหาทางเก็บคะแนน เขาก็จะใช้คะแนนจนหมดเกลี้ยง!
ซือหยูเหลือบมองชั้นแรกที่เต็มไปด้วยผู้คนเขามองเห็นนักเลงหลงอย่างรวดเร็ว ยังมีสตรีตัวสูงอยู่กับเขาด้วย นางสวมชุดสีเขียวที่บางจนเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าอันมีเสน่ห์
นางมีเอวบางที่มาพร้อมหน้าอกอันอวบอิ่มใบหน้างดงามประดับด้วยดวงตาชวนหลงใหล ร่างน่าหลงใหลจนพูดไม่ออก บุรุษหลายคนเหลือบมองนางอยู่บ่อยครั้ง
ขณะนี้นักเลงหลงยืนอยู่ข้างนางด้วยความนับถือโดยไม่กล้าจะมองนาง ซือหยูค่อนข้างแปลกใจที่นางดูเหมือนกับคนที่มีอำนาจมาก เมื่อพยายามตรวจสอบฐานพลังก็พบว่านางเป็นจ้าวเทวะแล้ว! นั่นหมายความว่านายเป็นศิษย์ใน!
นักเลงหลงตาเป็นประกายเมื่อเห็นซือหยูเดินเข้ามา
“คุณหนูนี่คือซือหยูเซี่ยน”
นางมองซือหยูด้วยดวงตาชวนหลงและขมวดคิ้วเบาๆใบหน้าแก่เฒ่าของซือหยูนั้นแตกต่างจากที่นางคาดคิดเอาไว้
เมื่อซือหยูนั่งลงสีหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นางยิ้มอย่างสดใสและมีเสน่ห์ที่ทำให้คนรู้สึกใกล้ชิดกับนาง
จากนั้นนักเลงหลงจึงแนะนำนาง
“ศิษย์น้องซือนี่คือศิษย์พี่ของข้า เสวี่ยฉี บังเอิญว่านางมีเรื่องให้มาตำหนักนอกในวันนี้ นางจึงมากับข้าเพื่อจัดการเรื่องการกู้ของเจ้า”
ซือหยูจ้องมองเสวี่ยฉีอย่างใจเย็นราวกับวารีสงบ
“ไม่สำคัญว่าใครจะมากับเจ้าที่ข้าเป็นสนใจก็คิดเจ้านำสูตรโอสถกับวัตถุดิบมาด้วยหรือไม่”
DND.796 – สิทธิ์อันเลอค่า
เส้นเลือดบนหน้าผากนักเลงหลงปูดโปนเขากังวลกับซือหยูยิ่งกว่าเดิม ศิษย์พี่เสวี่ยฉีนั้นมิได้อ่อนโยนเหมือนรูปภายนอก
ไม่มีใครในตำหนักนอกที่กล้าทำให้นางโมโหถ้าการพูดจาบุ่มบ่ามของซือหยูทำให้นางไม่พอใจก็ไม่มีใครช่วยเขาได้อีกแล้ว
ซือหยูรู้ว่านางเป็นศิษย์ในแต่เขาก็ยังใจเย็น นี่เป็นเรื่องที่มักจะไม่เกิดขึ้น
“เราเตรียมสูตรโอสถไว้สองชนิดและวัตถุดิบสิบชุดตามที่เจ้าขอ”
นางพูดพร้อมกับดีดนิ้วม้วนกระดาษเก่าสองแผ่นปรากฏในฝ่ามือ
นางหายใจเข้าหนึ่งครั้งและพูด
“หนึ่งในนั้นคือโอสถสามัญที่เห็นได้ทั่วไปมันคือผงพลังชีวิต โอสถก็เป็นดั่งกับชื่อ มันจะกลายเป็นผงหลังจากปรุงเสร็จ มันคือโอสถชั้นต้นที่เจ้าขอ”
“ส่วนอีกตัวคือโอสถชีพโกลาหลยากที่จะปรุง มันคือโอสถชั้นต้นเหมือนกัน วัตถุดิบแพงกว่าผงพลังชีวิตมาก โอการล้มเหลวในการปรุงก็สูง แม้แต่นักปรุงยาชั้นต้นก็ไม่แน่ใจว่าจะปรุงมันได้สำเร็จ ดังนั้นมันจึงมีต้นทุนสูงกว่าผงพลังชีวิตเกือบห้าเท่า”
ซือหยูตากระตุกเขาถาม
“แล้วยอดขายของโอสถสองชนิดนี้ล่ะ?”
เสวี่ยฉีตาลุกวาว…คนผู้นี้เพิ่งจะพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด!เพราะต้นทุนการผลิตโอสถนั้นก็สำคัญไม่ต่างกับยอดขาย!
“ผงพลังชีวิตจะหาซื้อเมื่อใดก็ได้ส่วนโอสถชีพโกลาหลหาซื้อไม่ได้เลย จริงๆจะซื้อได้จากตลาดมืดเท่านั้น ถึงฝ่ายปรุงยาของตำหนักจะเอาออกมาขายบ้างง พวกมันก็ถูกชิงซื้อหมดในไม่กี่อึดใจ”
เสี่ยวฉีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผงพลังชีวิตหนึ่งขวดขายได้สิบคะแนนซึ่งพอๆกับคะแนนที่ศิษย์ทั่วๆไปหาได้ในแต่ละวันส่วนโอสถชีพโกลาหลจะขายได้ห้าสิบคะแนน”
เสวี่ยฉีกล่าวต่อ
“ฝ่ายปรุงยามีผงพลังชีวิตสำรองมหาศาลราคามิได้เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา มันมักจะอยู่ที่สิบคะแนนเสมอ ส่วนโอสถชีพโกลาหลจะถูกตั้งราคาตลาดจากฝ่ายปรุงยาที่ห้าสิบคะแนน ส่วนในตลาดมืดขายได้อย่างน้อยเจ็ดสิบคะแนน ถึงอย่างนั้น คนที่คิดจะซื้อก็มิอาจซื้อได้ตลอดเวลาที่ต้องการ”
ซือหยูเลิกคิ้วครุ่นคิดหากโอสถชีพโกลาหลมีราคาแพงและขายดี มันก็น่าจะมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง
เขาถาม
“ผลทางโอสถของโอสถชีพโกลาหลมีมากกว่าผงพลังชีวิตหลายเท่าสินะ?”
เสวี่ยฉีมองเขาอย่างชื่นชม
“ใช่แล้ว!ผลทางโอสถของมันมากกว่าสามเท่า ถ้าคิดด้านราคา ผงพลังชีวิตจะเหนือกว่า แต่โอสถชีพโกลาหลคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีคะแนนไม่ขาดมือและอยากจะบ่มเพาะโดยเร็ว เจ้าไม่ต้องห่วงเลยว่าจะขายไม่ได้”
ถ้าหากเทียบระหว่างผู้ที่ใช้ผงพลังชีวิตทุกวันกับคนที่ใช้โอสถชีพโกลาหลทุกวันแล้วอย่างหลังจะมีฐานพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า ดังนั้นคนที่มีคะแนนใช้เหลือเฟือจึงเลือกใช้โอสถชีพโกลาหลทุกครั้งที่เป็นไปได้
ดังนั้นโอสถนี้จึงขายดีผู้ผลิตมิต้องกังวลเรื่องการขาย ส่วนผงพลังชีวิต ต่อให้ซือหยูปรุงมันขึ้นมา เขาก็ต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าฝ่ายปรุงยาของตำหนักเท่านั้น กำไรคงน้อยนิดอย่างแน่นอน
ซือหยูมองสูตรโอสถชีพโกลาหลและกล่าว
“ราคาที่เจ้าพูดถึงก็คือในระดับที่ใช้งานได้ใช่หรือไม่?”
เป็นไปไม่ได้ที่โอสถชีพโกลาหลในทุกระดับจะขายได้หกสิบคะแนน
เสวี่ยฉีตอบ
“ใช่แล้วผลของระดับหนึ่งกับสองนั้นค่อนข้างต่ำ มันไม่ได้ดีไปกว่าผงพลังชีวิตหรอก”
“มีแค่ระดับสามที่จะขายได้ราคานั้นส่วนระดับสี่ก็ราคาเหนือกว่าผงพลังชีวิตสี่เท่า ราคาจะมากกว่าระดับสามสองเท่า…ต่อให้เจ้าขายเม็ดละร้อยคะแนนคนก็เต็มใจซื้อ”
เสวี่ยฉีจ้องมองซือหยูและเผยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องเจ้าตัดสินหรือยังว่าจะปรุงโอสถชนิดใด?”
แม้ซือหยูจะกำลังครุ่นคิดเขาก็มีสติพอที่จะไม่ตกลงไปในกับดักของอีกฝ่าย เขาหัวเราะเบาๆ
“ศิษย์พี่พูดอะไรกัน?ถ้าข้ามีพรสวรรค์ปรุงยา ผู้เฒ่าในตำหนักก็คงจะเอาตัวข้าไปตั้งแต่ตอนสอบแล้ว”
เขาพูดต่อ
“บังเอิญว่าข้าได้ผูกมิตรกับนำักปรุงยาคนหนึ่งในตอนสอบนางถูกผู้เฒ่านักปรุงยาเอาตัวไปแล้ว พอดีกับที่นางต้องการจะฝึกวิชาปรุงยาพอดี ตอนนี้ข้าเลยมาช่วยนางแลกเปลี่ยนแล้วเก็บกำไรส่วนหนึ่งจากนาง”
เรื่องข้อยกเว้นที่หยวนหยิงหยิงถูกรับเลือกนั้นมิใช่ความลับมิใช่การไม่เหมาะที่จะพูดถึงเรื่องนี้
เสวี่ยฉีมองซือหยูด้วยความสงสัยก่อนจะส่ายหน้านางคิดอย่างลึกซึ้ง…คำพูดของเขามีเหตุผลจริง ถ้าเขามีพรสวรรค์ปรุงยาก็คงจะไม่ต้องผ่านการสอบอยู่แล้ว เพราะนักปรุงยาสำคัญต่อสำนักอย่างมาก
เสวี่ยฉีจึงพูด
“เอาล่ะถ้าเจ้าไม่มีปัญหากับสูตรโอสถเหล่านี้ก็มาต่อรองราคากัน เราให้สูตรผงพลังชีวิตเจ้าได้โดยไม่ต้องจ่ายอะไรเพราะเจ้าเป็นลูกค้าชั้นกลาง เช่นเดียวกับวัตถุดิบยี่สิบชุดด้วย ฉะนั้น มาคุยเรื่องราคาสูตรโอสถชีพโกลาหลกันเถอะ”
เสวี่ยฉียิ้มอย่างน่าหลงใหล
“โอสถชีพโกลาหลมิได้วางขายโดยสำหรับมันถูกจัดเป็นสูตรลับ และเจ้าใช้คะแนนซื้อมันมาไม่ได้ แต่ข้าใช้วิธีพิเศษเพื่อให้ได้มา ราคาก็จะเพิ่มขึ้นไป”
“แล้วเจ้าเอง…”
เสวี่ยฉีพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ
“เจ้าไม่มีคะแนนเหลือแล้วสินะ?เจ้าคงจะเข้าใจแล้วว่าพันคะแนนไม่สามารถอยู่รอดได้ในตำหนักนอก”
ซือหยูสีหน้าหมองหม่น
“ศิษย์พี่ต้องการอะไร?เจ้าไม่ได้มาที่นี่โดยบังเอิญแต่มาเพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้ารู้”
ดูจากน้ำเสียงแล้วบอกได้เลยว่านางไม่ต้องการแลกเปลี่ยนด้วยคะแนนเสวี่ยฉีโน้มตัวมาด้านหน้า กลิ่นหอมของนางแล่นเข้าจมูกของเขา
นางดูหน้าแดงระเรื่อดวงตานางดูน่ารัก
“อย่าพูดกับข้าแบบนั้นสิข้าเจ็บนะ ข้าอยากจะตกลงกับเจ้าสักหน่อย”
ซือหยูเลิกคิ้ว
“ตกลงรึ?ตกลงอะไร?”
เสวี่ยฉีมองรอบๆและพูดเบาๆ
“ข้าอยากจะแลกสูตรโอสถกับหนึ่งสิทธิ์”
เสวี่ยฉีเริ่มบอกรายละเอียด
“ศิษย์น้องในอีกหนึ่งเดือน เจ้าจะได้ไปเขาวิญญาณจรัสใช่หรือไม่? ข้าหวังว่าเจ้าจะให้สิทธิ์ทั้งหมดในการพาคนอื่นไปกับข้า ถ้าเจ้ารับข้อตกลง ข้าจะให้สูตรโอสถกับเจ้าฟรี”
ซือหยูแปลกใจ
“หา?ข้าพาคนไปที่เขาวิญญาณจรัสได้ด้วยรึ?”
เสวี่ยฉีตกใจที่เขาดูไม่รู้อะไร
“แน่นอนเจ้าไม่รู้มาก่อนรึ?”
ซือหยูส่ายหน้าตอบเสวี่ยฉีเริ่มอธิบาย
“มีภารกิจมากมายที่ยากคนรับภารกิจจึงได้รับอนุญาตให้พาคนไปช่วยด้วย ภารกิจขุดค้นเขาจรัสสวรรค์มิใช่สิ่งที่เจ้าจะทำเองได้สำเร็จ เจ้าต้องพาคนไปด้วย แต่เจ้าพาไปได้แค่หกคนเท่านั้น”
จากนั้นความเจ้าเล่ห์ก็เผยจากดวงตาของนาง
“ฉะนั้น…ถ้าเจ้าเสนอสิทธิ์ทั้งหกกับข้าข้าจะให้สูตรโอสถกับเจ้า”
ซือหยูฉีกยิ้มที่มุมปาก
“เสวี่ยฉีเจ้าคิดว่าข้าหลอกง่ายเพราะอายุน้อยรึ? …เจ้าคิดจริงๆรึว่าสูตรโอสถชนิดเดียวจะมากพอที่ข้าต้องรับข้อเสนอจากเจ้า?”
เพราะสิทธิ์ทั้งหกนี้เขาเชื่อว่าเขาต้องขายได้อย่างน้อยหนึ่งหมื่นคะแนนต่อสิทธิ์เดียว ไม่ว่าจะศิษย์นอกหรือในเป็นต้องแย่งชิงสิทธิ์เหล่านี้!
เขาวิญญาณจรัสเป็นพื้นที่พิเศษถ้าโชคดีจะได้หลายหมื่นคะแนนเมื่อได้เข้าไป ศิษย์หลายคนล้วนอยากจะเข้าไปเสี่ยงโชค และแม้ว่าสูตรโอสถชีพโกลาหลจะล้ำค่า มันก็ยังเทียบไม่ได้กับสิทธิ์ทั้งหก
ซือหยูตาลุกวาวหลังจากได้ฟังนางอธิบายเขาเพิ่งหัวเสียเรื่องที่จะหาคะแนนมาจากไหน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโอกาสอันสมบูรณ์แบบของเขา
ถ้าเขาขายแต่ละสิทธิ์ในราคาหมื่นคะแนนเขาก็จะได้หกหมื่นคะแนนเป็นค่าตอบแทน! ต่อให้เขาใช้หนี้หนึ่งหมื่นหนึ่งพันคะแนนไป! เขาก็ยังได้กำไรเหลือราวห้าหมื่นคะแนน!
และจากนั้นถ้าเขาพยายามในเขาวิญญาณจรัส เขาอาจจะได้หลายพันคะแนนติดมือกลับมา ถ้าเอามารวมกันแล้วเป้าหมายแสนคะแนนก็ไม่ไกลเกินเอื้อม!
เขาเริ่มคิดว่าเขาจะได้กี่คะแนนถ้าขายอรหันต์แปดอักษรให้กับตำหนักแม้มันจะเป็นแค่วิชาที่ไม่สมบูรณ์ มันก็ยังมีราคาและเทียบเท่าวิชาชั้นกลาง
น่าจะง่ายที่เขาจะได้สองหมื่นคะแนนเมื่อครุ่นคิดเรื่องทั้งหมดแล้วพบว่าถ้าเขาทำทุกอย่างเรียบร้อย เขาจะมีคะแนนเกือบถึงแสนคะแนน!
เสวี่ยฉีที่ได้ฟังคำตอบจากซือหยูรู้แล้วว่าสถานการณ์มิได้อยู่ในกำมือนางนางยังรับรู้อีกว่าการหลอกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย
นางทำได้แค่ต่อรอง
“ก็ได้ข้าจะแลกกับห้าสิทธิ์”
ซือหยูหันไปหานางและยิ้มอย่างอบอุ่น
“สิทธิ์เดียวเป็นอย่างไรเล่า?”
“สี่…”
เสวี่ยฉีเริ่มต่อราคา
ซือหยูตอบกลับ
“ไม่แค่สิทธิ์เดียวเท่านั้น ถ้าเจ้าไม่คิดจะแลกเพียงสิทธิ์เดียว ข้าก็ขอลาตรงงนี้”
ซือหยูคิดว่าถ้าหากนางหาสูตรโอสถมาได้มันก็น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะไปหาสูตรโอสถจากตลาดมืด เขาไม่จำเป็นต้องรอให้นางมาปอกลอกอย่างนี้! เพราะคะแนนหลายหมื่นคะแนนนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย!
“ซือหยูเซี่ยนเจ้าควรคิดให้ดี ถ้าเจ้ายอมตกลงกับข้าครั้งนี้ เจ้าจะไม่ได้แค่สูตรโอสถ แต่เจ้าจะได้ทำบุญคุณต่อข้า ถ้าเจ้ามีปัญหาในตำหนักนอก เจ้าก็แค่มาหาข้า ข้าจะช่วยเจ้าหนึ่งครั้ง ข้ารู้ว่ามันดีกับเจ้าเพราะเจ้ามีเรื่องกับตระกูลเฉา”
เสวี่ยฉีต่อรองกับเขาต่อไป
ซือหยูโบกมือจากด้านหลังโดยไม่หันกลับไปมองนาง
“ข้าจัดการเรื่องของข้าเองได้ข้าไม่ต้องรบกวนเจ้าหรอก ลาก่อน”
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะออกไปโดยไม่เจรจาอีกเสวี่ยฉีก็ตระหนักได้ว่าเขาวางแผนจะขายสิทธิ์กับคนอื่น นั่นทำให้นางร้อนใจ
“ก็ได้ข้ายอมแล้ว ข้ายินดีกับข้อตกลงของเจ้า ข้าจะให้สูตรโอสถชีพโกลาหลกับเจ้าแลกกับสิทธิ์แค่สิทธิ์เดียว”
เสวี่ยฉีกัดฟันเดินไปข้างหน้านางยื่นสูตรโอสถทั้งสองและวัตถุดิบให้ซือหยู
นางถามเขาอย่างดุร้าย
“เจ้าไม่รู้จักอ่อนโยนกับเพศตรงข้ามบ้างหรือยังไง?”
นางมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อที่จะยั่วเขาด้วยรูปลักษณ์งดงามแต่ก็น่าเสียดายที่เสน่ห์ของนางทำอะไรเขาไม่ได้เลย นั่นทำให้แผนของนางไร้ผล นางเคยจัดการกับข้อตกลงเช่นนี้หลายครั้ง เหล่าบุรุษทุกคนที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอมักจะตกหลุมพรางของนาง น่าเสียตายที่จิตใจอันหนักแน่นของซือหยูเป็นข้อยกเว้น
ซือหยูหันไปยิ้มและรับสิ่งที่นางยื่นให้
“ตกลงข้าจะติดต่อเจ้าตอนที่จะไปเขาวิญญาณจรัส”
เสวี่ยฉีกระทืบเท้าและเดินออกจากร้านด้วยความโมโหทันใดนั้นนางก็เห็นด้วยหางตาว่ามีหลายคนในร้านกำลังจับตามองซือหยู
นางตาเป็นประกายและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“หึหึ!นี่สิบาปกรรม! มันตามทันคนเร็วจริงๆ! ถ้าเขากล้าต่อราคากับข้า…ก็ต้องเตรียมรับชะตาแบบนั้นแหละ!”
นักเลงหลงขมวดคิ้วเมื่อมองเหล่าลูกค้าที่เดินตามหลังซือหยูไป
“พวกนั้นคนตระกูลเฉาไม่ใช่รึ?ถ้าใช่ ซือหยูเซี่ยนก็มีปัญหาใหญ่แล้ว”
“ตามพวกเขาไปกันเถอะ!”
เสวี่ยฉีพูดก่อนจะไล่ตามไปทันที
นักเลงหลงตกตะลึง
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของซือหยูเซี่ยนเราจะไปยุ่งทำไมกัน? ตระกูลเฉาหยั่งรากลึกในตำหนักใน พวกมันยังแข่งขันกับเราอีก ถ้าเราบุ่มบ่ามยื่นมือไป มันจะไม่ทำให้เกิดสงครามรึ? นายน้อยต้องไม่พอใจแน่”
เสวี่ยฉียิ้มแปลกๆ
“หึ…ข้าตัดสินใจแล้วนี่เป็นเวลาที่โฉมงามอย่างข้าจะได้ช่วยวีรบุรุษที่กำลังสิ้นท่า แต่เจ้าสบายใจได้ เรื่องนี้ไม่ส่งผลต่อนายน้อยหรอก”