The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 799-800
DND.799 – ชุมนุมอสูร
ซือหยูรู้สึกการสัมผัสเบาๆบนหน้าผากในใจคุ้มคลั่ง เขาทนมองจิ้งจอกสาวทรงเสน่ห์ผู้นี้ไม่ได้จริงๆ เขารีบพูด
“จ้าวหอข้าจะมาหาท่านพรุ่งนี้ ตอนนั้นเตรียมวัตถุดิบทำโอสถชีพโกลาหลไว้ด้วย”
หลังพูดจบซือหยูก็รีบเปิดประตูเดินออกไปราวกับหนีอะไรบางอย่างอยู่จ้าวหอผู้ยั่วยวนหัวเราะเบาๆเมื่อมองซือหยูที่ร้อนรน
นางเผยใบหน้าครุ่นคิดขณะที่มองซือหยูออกไป…คนน่าสนใจแบบนี้ข้าอยากจะชวนเข้าสมาคมของพวกเราขึ้นมาเลย
หลังจากที่ซือหยูออกจากหอเพลิงคลั่งก็รู้สึกราวกับได้ยกบางอย่างที่กดทับอกออกไปเขาเงยหน้ามองฟ้าและเห็นว่าจันทร์กระจ่างกำลังลอยขึ้น เขาถึงนึกขึ้นได้…
ไม่นะ!งานชุมนุมอสูรครั้งที่สามสิบกำลังจะเริ่มแล้ว!
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม
คนสี่คนนั่งสมาธิอยู่บนเขาอสูรทั้งสี่ทิศบรรยากาศรอบๆสงบเงียบ สีหน้าของทั้งสี่ค่อนข้างเคร่งขรึม
เมื่อซือหยูกลับมาเขาก็กระโดดขึ้นด้วยความกลัวเมื่อสัมผัสบรรยากาศนี้ เขามองจื่อเสวียนที่อยู่เหนือเรือนก่อนจะกระโดดเข้าไปร่วมวง
พรึ่บ!
ในตอนนั้นโคมไฟทั้งหมดที่ตั้งอยู่โดยรอบเปล่งแสงออกมาจนเขาอสูรที่มืดสนิทสว่างจ้า ดวงตาของทั้งสี่ที่นั่งอยู่เบิกโพลงราวกับสายฟ้่า พวกเขามองหลังคาของเรือนกลาง
“ช่างกล้านักที่ปล่อยให้พวกข้ารอ”
คนที่พูดคนแรกคือน้ำแข็งอุดรปิงหวูชิง
นางสวมชุดขาวสะอาดที่มีลาดมังกรทองหลายตัวปักเอาไว้นางดูสีหน้าเยือกเย็น เส้นผมโบกปลิว นางให้ความรู้สึกของวีรสตรี
ในแววตามีเพลิงของความโกรธนางจ้องมองซือหยูด้วยความมุ่งร้าย ซือหยูหลบตานางด้วยความรู้สึกผิด
จื่อเสวียนสงสัยว่าซือหยูไปไหนมา
“ทำไมเจ้าเพิ่งกลับมา?มีเรื่องอะไรรั้งเจ้าไว้รึ?”
ซือหยูยักไหล่
“ข้ามีเรื่องนิดหน่อยที่หอเพลิงคลั่…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบปิงหวูชิงก็ได้พูดแทรก
“จะเป็นอะไรไปได้นอกจากโดนนังจิ้งจอกนั่นสะกดจิตล่ะใช่ไหม?”
ซือหยูไม่พอใจที่นางพูดไม่ดีกับเขา
“ถ้าเจ้าคิดว่าข้าพูดผิดทำไมเจ้าไม่มองกระจกดูหน้าผากเจ้าใช้ชัดๆเล่า?”
ปิงหวูชิงมองเขาด้วยสายตาดูถูก
อะไรนะ?หน้าผากข้าเรอะ? ซือหยูสัมผัสหน้าผากโดยไม่รู็ตัว นั่นทำให้มือของเขามีรอยแดง
ไม่นะ!มีรอยจูบที่หน้าผากข้าเรอะ? ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยว นังจิ้งจอกนั่น! ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น!
“พูดไม่ออกเลยเรอะ?ไอ้บ้ากาม”
ปิงหวูชิงพูดกับซือหยูอย่างไม่พอใจ
เมื่อนางคิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อนก็ยิ่งโมโหนางบาดเจ็บสาหัสโดยคนผู้นี้จนตอนนี้ก็ยังเคลื่อนไหวได้อย่างไม่อิสระ และร่างกายของนางก็ถูกเผยให้เขาอีก!
เมื่อซือหยูพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพไม่ดีนักเสียงอันอ่อนหวานก็ดังขึ้นมา
“ช่างมันเถอะพี่หวูชิงพี่ซือไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย”
ซือหยูหันหน้าไปตามต้นเสียงเขาแปลกใจเมื่อเห็นว่าต้นเสียงคือเด็กสาวสิบขวบสวมชุดสีม่วง
ซือหยูร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“เจ้าคือเด็กผู้หญิงที่นำทางข้ามาเรือนกลางเมื่อวานไม่ใช่รึ?เจ้าก็เป็นหนึ่งในสี่อสูรด้วย!”
สาวน้อยที่อยู่บนหลังคายิ้มหวานให้ซือหยู
“หึหึขอโทษนะพี่ซือ แต่ข้าไม่ทันบอกเมื่อวานนี้ ข้าคือกงซุนหวูซื่อ”
ซือหยูสมองโล่งไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ชักสีหน้า
“เดี๋ยวก่อน!เจ้าคือ…กงซุนหวูซื่อ! เจ้าเป็นคนที่ทิ้งเรือนให้เราก่อนจะมาเรือนกลางกับปิงหวูชิง ทำไมเจ้าถึงนำข้าไปเรือนกลางโดยไม่บอกข้าว่าปิงหวูชิงอยู่ข้างในล่ะ?”
ตอนที่ปิงหวูชิงที่สงสัยในเรื่องนี้อยู่แล้วได้ฟังซือหยูนางก็หันไปจ้องมองกงซุนหวูซื่อ เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของนาง!
“ข้าจะฟันเจ้าด้วยกระบี่ข้า!”
ปิงหวูชิงโมโหจัด
กงซุนหวูซื่อได้รับขนานนามเป็นปีศาจบูรพาก็เพราะพฤติกรรมชั่วร้ายของนางไม่แปลกใจเลยที่ปิงหวูชิงถูกนางเล่นสนุกเมื่อคืนก่อน!
“อ๊าา!พี่หวูชิง! ข้ายอมรับผิดแล้ว ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง! ใครจะไปคิดล่ะว่าพี่ซือจะจู่โจมอย่างป่าเถื่อนอย่างนั้น?”
กงซุนหวูซื่อเอามือทาบอกขณะที่แสดงใบหน้าเวทนา
แต่ซือหยูก็เห็นในดวงตาของนางที่กลอกไปมาเหมือนกำลังคิดอุบายอย่างมากภาพเด็กสาวในดีน่ารักที่ซือหยูเคยคิดกลับกลายเป็นสิ่งตรงข้าม
ในตอนนี้นางไม่ใช่เด็กสาวใจดีในสายตาเขาอีกแล้ว นางคือคนใจร้ายคนหนึ่งเลยทีเดียว! ที่เขาเกือบตายเมื่อวานก็เพราะนาง!
“ข้าไม่อภัยเจ้าหรอก”
ปิงหวูชิงชักกระบี่พุ่งจ่อใส่กุงซุนหวูซื่อ
กงซุนหวูซื่อร้องเสียงดังด้วยความกลัวพร้อมใช้เท้าแตะหลังคาบินไปยังเรือนตะวันตกนางซ่อนตัวหลังชายที่ดูเหมือนนักปราชญ์
นางรีบร้อง
“พี่หวูชิงข้ายอมรับผิดแล้ว พี่ชานเหลียงช่วยข้าด้วย!”
เจ้าของเรือนตะวันตกนั้นคือพิษประจิมอย่างไม่ต้องสงสัยเขาคือผู้นำเหล่าอสูร ว่ากันว่าเขาน่ากลัวยิ่งกว่าปิงหวูชิงเสียอีก!
ซือหยูมองเขาอย่างระมัดระวังเขาเป็นชายหนุ่มหน้าซีดเซียว ใบหน้าเขาขาวราวกับกระดาษ ราวกับว่าไม่มีโลหิตไหลเวียนอยู่เลย!
ตรงระหว่างคิ้วของเขายังมีสีฟ้าดวงตานั้นแทบจะไร้สีสัน เขาดูราวกับคนป่วยหนักที่อ่อนแอและเปราะบาง
แค่ก!แค่ก!
พิษประจิมใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือขวาปิดปากและกระแอมเบาๆดูเหมือนว่าสุขภาพของเขาจะไม่ดีนัก
เขาเงยหน้ามองปิงหวูชิงและฝืนยิ้ม
“หวูซื่อยังเด็กอยู่เลยคนที่ยิ่งใหญ่อย่างเจ้าคงไม่สนใจการหยอกล้อของเด็กอย่างนางใช่ไหม?”
ปิงหวูชิงเลิกคิ้วและกำลังจะบินพุ่งเข้าไปด้วยความโกรธอีกครั้งแต่พิษประจิมก็เริ่มไออย่างรุนแรง
เอื้อก!
ในตอนนั้นโลหิตได้พุ่งออกจากปากเขาราวกับลำแสง โลหิตมหาศาลพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา ซือหยูกระโดดขึ้นด้วยความกลัว…
เขาป่วยอะไรกันถึงได้กระอักเลือดออกมามากมายถึงเพียงนั้น!
“ข้าไม่เป็นไร”
พิษประจิมเช็ดเลือดที่มุมปาก
“ข้าก็แค่มีเลือดเยอะจนต้องพ่นออกมาบ้างเดี๋ยวเจ้าก็ชินไปเองนั่นแหล…”
เอื้อก!
ขณะที่พูดก็มีโลหิตขนานใหญ่พุ่งออกมาจากปากเขาอีกหน้าผากซือหยูเริ่มมีเส้นขีดจากการขมวดคิ้ว…เขาเป็นใครกัน?
กงซุนหวูซื่อมองไปยังเรือนใต้
“พี่เหรินเหยาทำไมพูดเข้าข้างข้าด้วยล่ะ พี่หวูชิงกำลังจะทำร้ายข้านะ? แล้วทำไมพี่เหรินเหยาเอาแต่มองพี่ซือล่ะ?”
ซือหยูมองไปยังหลังคาเรือนใต้เขาเห็นชายสวมชุดขาวยืนอย่างเงียบเชียบ เขามีเส้นผมสยายสีน้ำเงินประหลาดๆ และใบหน้ายังหล่อเหลาจนซือหยูตกใจ
ซือหยูเคยเห็นบุรุษหน้าตาดีมากมายตัวเขาเองก็ค่อนข้างหน้าตาดี แต่เขายังรู้สึกอ่อนด้อยลงไปเมื่อมองชายคนนี้ ชายคนนี้มีเส้นผมเรียบและผิวเนียน แก้มของเขาดูนุ่มอ่อน ดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าดั่งวารีที่ดูเข้ากันกับเส้นผม
หากมองเพียงครั้งเดียวก็แทบจะเห็นว่าเขาเป็นสตรีอย่างกับสตรีที่งดงามมากแม้แต่สาวงามก็อาจจะอิจฉาความงามของเขา ซือหยูไม่เคยเห็นบุรุษรูปงามเช่นนี้มาก่อนเลย!
“ศิษย์น้องซือ….”
สัตว์ประหลาดทักษิณยิ้มอย่างอบอุ่นเสียงของเขาดังสะท้อนทุกทิศ
ซือหยูใจเต้นอย่างมิอาจอธิบายได้ในทันทีเขารีบทำเสียงใจเย็นแม้ในใจจะสั่นก็ตาม ชายผู้นี้งดงามจนเกินไปจนมีเสน่ห์แม้แต่กับชายด้วยกัน
ขณะที่ซือยหูพยายามจะทำใจเย็นดวงตาของนั้นยังคงสดใส เขาประสานหมัดทำความเคารพ
“ข้าซือหยูเซี่ยนศิษย์พี่มีนามว่าอะไรรึ?”
ชายรูปหล่อหัวเราะเบาๆอย่างสง่างามและตอบอย่างอบอุ่น
“ข้าเทียนเหรินเหยาเจ้าเรียกข้าว่าเหรินเหยาแบบหวูซื่อก็ได้”
ซือหยูพยักหน้า
เขารู้สึกว่าชื่อนี้ดูคุ้นหูอย่างงไม่มีเหตุผลราวกับว่าเขาเคยได้ยินมันมาก่อน เมื่อเขามองดูคนที่เหลือก็รู้สึกว่าเทียนเหรินเหยานั้นเป็นคนที่ดูปกติคนเดียวที่นี่
ปีศาจบูรพากงซุนหวูซื่อดูไร้เดียงสาไร้พิษภัยแต่นางเป็นเด็กสาวที่นิสัยหยาบช้าใจอำมหิต น้ำแข็งอุดรปิงหวูชิงก็เป็นดั่งชื่อ เยือกเย็น ไร้หัวใจ หยาบคาย และไร้เหตุผล
พิษประจิมไป่ชานเหลียงมีโลหิตอันไม่รู้จบสิ้น จะอาเจียนเมื่อใดก็ไม่ตาย และชอบจะพูดไม่จบประโยคก่อนจะกระอักเลือดออกมา ดังนั้นจึงมีเพียงเทียนเหรินเหยาที่ดูปกติ
แต่ซือหยูรู้สึกถึงแววตาของปิงหวูชิงกงซุนหวูซื่อ และไป่ชานเหลียงที่มองเขาแปลกๆ กงซุนหวูซื่อนั้นดูเหมือนกับคนที่กำลังพอใจกับความโชคร้ายของอีกคน ขณะที่ไป่ชานเหลียงมองเขาด้วยความสงสาร ปิงหวูชิงมองเขาอย่างเวทนา
ซือหยูหัวใจแทบจะหยุดเต้น…ข้าพลาดอะไรไป?
ในตอนนั้นเทียนเหรินเหยาพูดอีกครั้ง มันเป็นเวลาเดียวกับที่ซือหยูรู้ตัวว่าเทียนเหรินเหยาไม่ละสายตาไปจากเขาแม้แต่วินาทีเดียว การถูกจับจ้องนี้คือสิ่งที่ทำให้ซือหยูรู้สึกแปลกๆ
“ศิษย์น้องซือข้าไม่คิดเลยว่าตอนที่เจอกันอีก เราจะได้เป็นเพื่อนบ้านกัน เรามีชะตาต้องกันนะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเจ้า ข้าก็รู้ว่าพรหมลิขิตจะทำให้เราได้เจอกันอีก”
เทียนเหรินเหยามองซือหยูพร้อมกับหน้าแดงระเรื่อ
ซือหยูตกตะลึง…
ทำไมเขาหน้าแดงล่ะ?เกิดอะไรขึ้น?
“ศิษย์พี่เทียนพูดอะไรน่ะ?”
ซือหยูเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย
เทียนเหรินเหยาหัวเราะเบาๆเขาเผยใบหน้าน่าหลงใหลและก้าวมาข้างหน้าขณะที่พูดอย่างตุ้งติ้ง
“น้องซือเจ้าลืมข้าเร็วขนาดนี้เชียว? เราเจอกันเมื่อวานที่ห้องฝึกยังไงล่ะ! เจ้าไม่ได้รักข้าตั้งแต่แรกพบหรอกรึ? ทำไมถึงลืมข้าเร็วอย่างนี้?”
ครืน!
สายฟ้านับล้านสายผ่าก้องกลางใจซือหยู!ความทรงจำอันดำมืดของเมื่อวานยังคงอยู่ไม่จางหาย เขาพบกะเทยที่มีขนขาหนาที่สารภารรักต่อเขาราวกับคนบ้า เขาต้องหนีด้วยความหวาดกลัว!
ซือหยูจำได้แล้วว่ากะเทยคนนั้นชื่อเหรินเหยา!เขาคือสัตว์ประหลาดทักษิณเหรินเหยา!
ซือหยูจิตใจเคว้งคว้างเทียนเหรินเหยาคือกะเทยคนเมื่อวาน มันอธิบายฉายาสัตว์ประหลาดทักษิณได้ด้วยเหตุนี้!
“น้องซือจำข้าได้แล้วสินะ?พวกเราอยู่ใต้แสงจันทร์เต็มดวง รายล้อมแสงตะเกียง อย่าให้บรรยากาศสูญเปล่าเชียว! มาหาข้าสิ มาชมจันทร์คืนนี้ด้วยกัน!”
เทียนเหรินเหยาเดินส่ายเอวเข้ามาหาซือหยูอย่างเจ้าชู้
ซือหยูสั่นไปทั้งตัวเขาขนลุกไปทั้งร่าง กงซุนหวูซื่อหัวเราะชอบใจและปรบมือเมื่อมองภาพที่ได้เห็น ขณะที่ปิงหวูชิงนั้นแสยะยิ้ม พวกนางพอใจกับโชคร้ายของซือหยู
มีเพียงไป่ชานเหลียงที่เป็นชายเหมือนกับเขาที่ไออย่างรุนแรงเขาพูดอย่างจริงใจ
“เหรินเหยาเราควรจะเริ่มชุมนุมก่อน ส่วนเรื่องรักใคร่ค่อยว่ากันทีหลัง”
เทียนเหรินเหยาตอบด้วยความโศร้า
“อ๊าา!พี่ชานเหลียง สุดท้ายก็มาสนใจข้าแล้วรึ? พี่เอาแต่หลบหน้าข้าตลอด ข้าเจ็บปวดนะรู้ไหม”
DND.800 – อสูรเรือนกลาง
หน้าที่ซีดอยู่แล้วไป่ชานเหลียงขาวซีดยิ่งกว่าเดิมเขาเริ่มไออย่างหนัก ไม่นานเขาก็เช็ดเลือดที่มุมปาก
“เราพูดเรื่องธุระให้เหมาะสมกับก่อนดีกว่างานชุมนุมเขาอสูรครั้งที่สิบแปด เริ่มได้”
เขากระแอม
“เรื่องแรกคือการต้อนรับอสูรคนใหม่ของพวกเราซือหยูเซี่ยน ทุกคนโปรดปรบมือต้อนรับ”
ทุกคนปรบมือให้ซือหยู
กงซุนหวูซื่อปรบมือเริงร่าพลางส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไป่ชานเหลียงกับเทียนเหรินเหยายิ้มกว้าง
แม้แต่ปิงหวูชิงก็ปรบมือต้อนรับเขามีเพียงแค่ซือหยูที่สีหน้าเศร้าหมอง
“ใครกันที่เป็นอสูร?พวกเจ้าทุกคนต่างหากที่เป็นอสูร! แม้แต่คนในครอบครัวพวกเจ้าก็เป็นอสูร!”
กงซุนหวูซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่าเป็นแบบนั้นสิเจ้าควรจะภูมิใจที่ได้เป็นอสูรคนที่ห้า เจ้าไม่เห็นรึว่าทุกคนตั้งแต่จ้าวหอจนถึงเจ้าตำหนักสนใจพวกเราทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก? พวกข้าเป็นที่ชื่นชอบในตำหนักนอกนะ”
ซือหยูเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก…แม่สาวน้อยคนนี้พูดเหลวไหลชัดๆ!
เพราะเขารู้ว่าศิษย์ทุกคนที่เห็นหนึ่งในอสูรต้องกลิ้งคลานและวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งพวกเขาแทบจะร้องไห้หาบิดามารดา ไม่ว่าเหล่าอสูรจะผ่านที่ใด ที่นั่นก็จะรกร้างว่างเปล่า ดังนั้นอสูรพวกนี้จึงนับว่าเลวร้ายเสียยิ่งกว่าคนที่เกิดใต้ดาววิบัติเสียอีก!
ไป่ชานเหลียงไอเบาๆ
“ศิษย์น้องซือผู้คนอาจจะเข้าใจพวกเราผิด แท้จริงอสูรทุกคนน่ะใจดี พวกเรามักจะช่วยเหลือศิษย์ในสำนักและเป็นห่วงความปลอดภัยของโลก เราปฏิบัติต่อทุกคนด้วยน้ำใจเสมอ พวกเราช่วยเหลือทุกคนในทุกวิถีทา…”
จู่ๆเขากระอักเลือดมหาศาลออกมาก่อนจะพูดจบ
“เอาล่ะศิษย์น้องซือ เจ้าควรจะมองพวกเราเสียใหม่ เขาอสูรเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยรักของจริง”
ซือหยูกลอกตาหลายครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของเขาในสายตาของศิษย์ ทุกอสูรที่มาจากเขาอสูรนั้นพิสดาร แต่ตอนนี้เขาก็ถูกบังคับให้กลายเป็นอสูรคนที่ห้า!
ซือหยูเจ็บปวดในใจแต่บอกใครไม่ได้เลย
“เรื่องที่สองคือเรื่องที่กำลังทำให้ทั้งตำหนักนอกวุ่นวายศิษย์น้องซือบังคับศิษย์น้องปิงและหลับนอนกับนาง! เราจะต้องหารือเรื่องนี้”
ไป่ชานเหลียงกล่าว
อะไรนะ?ซือหยูเบิกตากว้างด้วยความตกใจและความกลัว
“ใครกุข่าวนี้กัน?”
ก่อนซือหยูจะได้แก้ตัวปิงหวูชิงที่แทบจะเป็นบ้าเมื่อได้ยินคำนี้ได้ถามออกมาทันที
ไป่ชานเหลียงยักไหล่
“ข้าไม่รู้แต่ตำหนักนอกในรู้หมดแล้วว่าศิษย์น้องซือที่เพิ่งจะมาใหม่ได้ขืนใจปิงหวูชิง และทุกคนก็ได้ยินว่าพวกเจ้ากลายเป็นคู่รักกัน นี่เลยเป็นเหตุให้ศิษย์น้องซือกลายเป็นอสูรคนที่ห้า”
ไป่ชานเหลียงพูดเสริม
“เป็นเพราะคนนอกได้ขนานนามเจ้าว่าเป็นอสูรเรือนกลางฉายายิ่งใหญ่แสดงว่าเจ้าไม่กลัวที่จะขืนใจใครแม้แต่ศิษย์หมายเลขหนึ่งแห่งตำหนักนอกอย่างปิงหวูชิง! เจ้าจึงถูกนับว่าเป็นราชาปีศาจ!”
ไป่ชานเหลียงพักก่อนจะพูดต่อ
“ฉะนั้นแล้วอสูรทั้งห้ารวมกันจึงได้แก่ปีศาจบูรพา พิษประจิม สัตว์ประหลาดทักษิณ น้ำแข็งอุดร และอสูรเรือนกลาง”
ซือหยูสับสนไปหมด…ใครกันที่กุข่าวลือนี้ขึ้นมา?
ปิงหวูชิงโมโหจนสั่นไปทั้งตัวพวกเขาป้ายสีอ้างว่านางได้เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว!
ฝีมือใครกัน?ซือหยูกับปิงหวูชิงโกรธแค้นในใจขึ้นโดยพลัน กงซุนหวูซื่อที่ดูไร้พิษภัยก็แสดงใบหน้าดุร้าย
แสดงว่าต้องเป็นฝีมือนางนางเป็นคนในดำสนิทของจริง!
เทียนเหรินเหยามองปิงหวูชิงด้วยความสงสาร
“หวูชิงเสียแรงที่ข้านับเจ้าเป็นน้องสาว เจ้าขโมยคนรักข้าไปได้ยังไง? อ๊าาา! ข้าไม่อยากจะมีชีวิตต่อไปแล้ว”
ปิงหวูชิงบ้าคลั่งพร้อมตะโกน
“หุบปาก!”
จากนั้นนางจึงชักกระบี่ชี้ใส่ซือหยูนางตะโกน
“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า!ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ซือหยูโกรธไม่ต่างกับนางในตอนนี้
“ก็ได้ข้าจะได้รู้ว่าบาดแผลเจ้าหายดีหรือยัง”
เมื่อไป่ชานเหลียงเห็นว่าทั้งสองกำลังจะสู้เขาก็ไออย่างแรง
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วต่อสู้กันไปก็ไร้ความหมาย เจ้าต้องหาวิธีอื่นแก้ไขเรื่องนี้”
“ข้ามีคำแนะนำดีๆ…ทำไมเราไม่ประกาศต่อโลกว่าพวกเจ้าพบรักแล้วยินยอมต่อกันเล่า?”
ซือหยูแทบไม่คิดนก่อนที่เขากับปิงหวูชิงจะตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง!”
เพราะซือหยูแต่งงานแล้วเขาจะยอมให้ถูกประกาศเรื่องนี้ได้อย่างไร? และต่อให้เขายังไม่ได้แต่งงาน เขาก็จะไม่เลือกมีความสัมพันธ์กับอสูรสาวที่พร้อมฆ่าคนโดยไม่มีเหตุผล!
เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่เต็มใจยอมรับไป่ชานเหลียงทำได้แค่ถอนหายใจ
“อสูรเรือนกลางเจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม อีกไม่นานเจ้าจะตกเป็นเป้าหมายที่ระบายความแค้นของศิษย์ใน มียอดฝีมือชั่วร้ายหลายคนในตำหนักในที่ตัดสินใจเลือกหวูชิงเป็นภรรยาในอนาคต พวกนั้นจะต้องมาตามล่าเจ้าแน่ถ้ารู้ว่าเจ้าขืนใจนาง”
เขาพูดต่อ
“เจ้าไม่ควรจะเบาใจถึงเจ้าเองจะเก่งและตำหนักนอกยอมรับเจ้ามาก เจ้าก็เอาตัวไม่รอดอยู่ดีถ้าพวกนั้นเล็งเป้าเจ้า”
เขาส่ายหน้า
“ส่วนเจ้าหวูชิง เจ้าควรจะเตรียมตัวถูกตระกูลเรียกตัวกลับ ข้าจำได้ว่าตระกูลเจ้ามีระเบียบเง้มงวดเรื่องสามีในอนาคตของเจ้า ถ้าหากตระกูลเจ้ารู้เรื่องนี้ เจ้าก็อยู่ในตำหนักนอกไม่ได้อีกต่อไป เจ้าจะถูกบังคับให้กลับตระกูลแน่นอน”
เมื่อได้ฟังสิ่งเหล่านี้ซือหยูมิได้ใส่ใจนัก ขณะที่ปิงหวูชิงนั้นสีหน้าหม่นหมองและเงียบสนิทไปทันที
ไป่ชานเหลียงถอนหายใจเมื่อได้สีหน้าของแต่ละคน
“ข้าแนะนำว่า…เจ้าควรจะเป็นคู่หมั้นกันในนามยอดฝีมือคนอื่นๆก็จะไม่มายุ่งกับศิษย์น้องซือ ส่วนตระกูลของหวูชิงก็จะมาประเมินน้องซือ ถ้าน้องซือมีฝีมือถึงขั้น เจ้าก็จะไม่ถูกบังคับให้กลับตระกูล”
เขาพูดต่อ
“แดนมณีมหัศจรรย์กำลังจะเปิดอีกไม่นานหวูชิงไม่อยากจะทำให้สิ่งที่พยายามมาทั้งหมดสูญเปล่า”
ปิงหวูชิงจ้องมองซือหยูด้วยแววตาดุร้าย
“เจ้าต้องรับผิดชอบข้า”
ซือหยูตกใจ…ข้าไปทำเรื่องไม่ดีไม่งามกับปิงหวูชิงตอนไหน?แล้ว…ข้าต้องรับผิดชอบอะไรกัน?
บังเอิญเหลือเกินที่ปิงหวูชิงรู้ว่าคำพูดของนางมีความหมายที่คลุมเครืออย่างรวดเร็วนางเลยรีบแก้ตัว
“ที่ข้าหมายถึงก็คือ…เป็นเพราะเจ้าที่นามของข้ามัวหมอง!แล้วข้าก็จะไม่ออกจากตำหนักจนกว่าจะถึงแดนมณีมหัศจรรย์!”
ซือหยูคิดไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักโลหิตนั้นซับซ้อนและมีชัยภูมิที่ดี และตำหนักก็ยังไม่ขาดยอดฝีมือ ซือหยูสามารถซ่อนตัวจากอสูรเนรมิตรทั้งห้าคนที่อยู่นอกตำหนักได้ แต่เขาไม่รู้เลยว่าจะหลบจากศัตรูที่มองไม่เห็นในตำหนักได้ยังไง!
เขาเงยหน้าเมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน
“ก็ได้ข้าจะทำตามนั้น แต่จนกว่าวันที่แดนมณีมหัศจรรย์จะมาถึงเท่านั้น”
พอได้ยินอย่างนั้นปิงหวูชิงจึงสีหน้าดีขึ้นมาบ้าง
ไป่ชานเหลียงเผยรอยยิ้มเล็กน้อยเขาประกาศเสียงดัง
“น้ำแข็งอุดรปิงหวูชิงกับราชาเรือนกลางซือหยูเซี่ยนกลายเป็นคู่รักกันแล้วปรบมือ!”
เมื่อได้ฟังกงซุนหวูซื่อผู้ที่หวังให้โลกปั่นป่วนวุ่นวายอยู่เสมอนั้นเริ่มปรบมืออย่างดีใจ
ซือหยูมองไป่ชานเหลียงด้วยความเศร้าไป่ชานเหลียงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะเสแสร้งทำเป็นป่วย
เพราะเขาเพิ่งจะพูดร่ายยาวได้อย่างชัดเจนเมื่อครู่แล้วเขาก็ไม่เคยดูแข็งแรงไปกว่านี้และไร้ซึ่งจุดอ่อน
ไป่ชานเหลียงรู้สึกถึงแววตาดุร้ายของซือหยูเขาหน้าซีดขึ้นมาทันทีและกระอักเลือดอีกครั้ง หลังจากที่เช็ดโลหิตจากมุมปาก ไป่ชานเหลียงได้พูดอย่างอ่อนแรง
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี…ข้าอาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วเห็นไหม…”
เส้นสีดำปรากฏบนหน้าผากซือหยูในตอนที่เขากลอกตา…การแสดงของเขาไร้ค่านัก!
และเมื่อซือหยูเห็นจื่อเสวียนหันไปมองไป่ชานเหลียงก็พูดอะไรไม่ออก
“เรื่องที่สามเกี่ยวกับการเดินทางไปยังเขาวิญญาณจรัส…”
ไป่ชานเหลียงฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยปลอมได้อย่าง“น่าอัศจรรย์” และกล่าวต่อไป
เขามองซือหยู
“เราต้องรวมกันเป็นหนึ่งและช่วยเหลือกันและกันเขาอสูรของพวกเรามีประวัติศาสตร์ยอดเยี่ยมเป็นนิรันดร์ พวกเขามีประเพณียาวนานมาหลายปีตลอดเส้นทางอันยากลำบาก”
“อันตรายที่ศิษย์น้องซือจะไปเขาวิญญาณจรัสเพียงลำพังพวกเราจะปล่อยเจ้าไปคนเดียวได้อย่างไร? ข้ายินดีจะไปช่วยเจ้าเพื่อช่วยขุดค้นดินแดนนั้น”
กงซุนหวูซื่อยกมือขึ้นและพูด
“ขอข้าไปด้วยสิข้าที่เป็นอสูรเหมือนกันก็ยินดีจะไปช่วยโดยไม่คิดสิ่งตอบแทน”
เทียนเหรินเหยาพูดขึ้นมาบ้าง
“ข้าจะติดตามน้องหยูเซี่ยนไปทุกที่เลยข้าจะไปช่วยเจ้าด้วย”
เมื่อปิงหวูชิงเหลือบมองซือหยูนางก็ขบริมฝีปากพร้อมกับพูดด้วยหน้าแดงระเรื่อ
“ข้าก็จะไปกับเขาด้วย…”
ซือหยูมองทุกคนด้วยความตกตะลึง….ข้าจะต้องพูดอะไรถ้าต้องเจอกับคนหน้าด้านถึงระดับนี้กัน?
ซือหยูรู้สึกราวกับโดดเข้ากองไฟคนพวกนี้น่ะรึที่ถูกเรียกว่าอสูร? พวกมันก็แค่พวกวิปริตที่หน้าด้านเท่านั้นเอง!
“จะมาช่วยข้าก็ได้…หนึ่งสิทธิ์ต่อหนึ่งหมื่นคะแนนจะมาหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า…”
ซือหยูพูดเขาจะไม่ปล่อยให้พวกเขาเอาเปรียบ!
ไป่ชานเหลียงผงะไปข้างหลังเขาพูดราวกับถูกรังแก
“ศิษย์น้องซือเจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร? พวกเราอยากจะช่วยเจ้าจากใจ แต่เจ้ากลับหาทางชิงคะแนนของพวกเรารึ? เจ้ามันไร้ยางอายจริงๆ!”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“เจ้าจะซื้อสิทธิ์หรือไม่?”
“ข้าไม่ซือหรอก!”
ไป่ชานเหลียงปฏิเสธอย่างหนักแน่นเขากอดอกเชิดหน้าสูง
ซือหยูลูบคาง
“หืม…ข้าคิดจะให้คนแรกได้สิทธิ์พิเศษและถึงกับจะให้ส่วนลดสักพันคะแนน แต่…”
“เฮ้ศิษย์น้องซือ พูดอะไรของเจ้าน่ะ? ข้าจะเอาเปรียบเจ้าได้ยังไง?”
ไป่ชานเหลียงชักสีหน้าทันทีหลังจากได้ยินซือหยูพูดคำว่าส่วนลด
วินาทีต่อมาไป่ชานเหลียงได้บินเข้าหาซือหยูและหยิบตราประจำตัวออกมา
“ข้าจะซื้อ!เก้าพันคะแนนไม่ได้ยิ่งใหญ่สำหรับข้า ข้าจ่ายไหว เร็วสิ!”
การเปลี่ยนแปลงท่าทีของเขานั้นเร็วจนน่าตกใจเขาเปลี่ยนเร็วราวกับพลิกฝ่ามือ
“เจ้าคนหน้าด้าน!”
กงซุนหวูซื่อปิงหวูชิง และเทียนเหรินเหยาอุทานขึ้นมาพร้อมกัน
ซือหยูเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก…น่าเสียดายจริงๆที่ชายคนนี้ไม่ได้เปิดโรงละคร!
เมื่อซือหยูกับไป่ชานเหลียงใส่พลังลงในตราประจำตัวของตัวเองคะแนนเก้าพันคะแนนก็ถูกโอนให้ซือหยู
“แล้ว…พวกเจ้าล่ะ?”
ซือหยูถามเมื่อมองอีกสามคน
กงซุนหวูซื่อเดินไปหาซือหยูด้วยความโมโหและมอบหนึ่งหมื่นคะแนนให้กับเขาปิงหวูชิงผู้เย็นชายังยืนอยู่กับที่ ส่วนเทียนเหรินเหยา ซือหยูไม่กล้าจะให้เขาเข้าใกล้ เขาจึงขอให้ไป่ชานเหลียงจัดการแทน ตอนนี้เขาเหลือเพียงแค่สิทธิ์เดียวในการพาคนไปเขาวิญญาณจรัส
“จื่อเสวียนจะไม่ไปกับพวกข้ารึ?”
ซือหยูถาม จื่อเสวียนมองไปทางอื่น
“ทำไมข้าจะต้องไปด้วยเล่า?”
ซือหยูกระซิบ
“แล้วถ้าซือหยูบังเอิญไปอยู่ที่นั่นล่ะ?”
จื่อเสวียนดวงตาสดใสขึ้นมานางตอบรับด้วยความยินดี
“ได้เลย!ข้าจะไป!”
ซือหยูสบายใจได้แล้วเขาแอบหัวเราะในใจ เพราะตอนนี้เขามีอสูรทั้งสี่ จ้าวเทวะจากตำหนักใน และยังมีอสูรเนรมิตร! ต่อให้เฉาเอวี่ยหมิงวางแผนอะไรเอาไว้ มันก็เป็นเพียงกระดาษบางๆสำหรับซือหยูเท่านั้น!
“ฮ่าๆๆๆงานชุมนุมพันธมิตรเขาอสูรครั้งที่สิบแปดจบลงแล้ว”
ไป่ชานเหียงหัวเราะเสียงดังดูเหมือนว่าเขาจะดีใจที่ได้สิทธิ์การเดินทางไปกับซือหยู
อสูรอีกสามคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกดูเหมือนว่าพวกเขาจะตั้งหน้าตั้งตาการได้ไปเขาวิญญาณจรัสอย่างมาก
“ไปกันเถอะอสูรยิ่งใหญ่ทั้งห้ามารวมตัวกันเช่นนี้ เราจะต้องไม่เลิกจนกว่าจะเมา! ไปที่หอยอดสวรรค์กัน!”
ไป่ชานเหลียงชวนพวกเขาไปดื่มฉลองอย่างฮึกเหิม
ซือหยูกลอกตา
“ศิษย์พี่ชานเหลียงเป็นผู้นำเหล่าอสูร…ต้องเลี้ยงพวกข้านะ…”
ไป่ชานเหลียงหน้าซีดขึ้นมาทันทีเขากระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมากขณะที่ร่างกายอ่อนแรงลง เขาหายใจหอบ
“อ๊ะ!อ๊าก! อยู่ๆข้าก็รู้สึกไม่ดี…ข้าว่าข้ากำลังจะตาย!”
ปั้ง!
ไป่ชานเหลียงล้มลงกับพื้นเขาในตอนนี้นอนจมกองเลือด แต่สี่อสูรที่เบื่อการแสดงของเขาเพียงแค่เดินข้ามเขาออกไป มีแค่จื่อเสวียนที่มองเขาอย่างจริงจังเพียงครู่เดียวก่อนจะเบื่อและเดินกลับเรือน