The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 805-806
DND.805 – เดินทางสู่เขาวิญญาณ
ปั้ง!
ไม้หกทิศเข้ามาป้องกันก่อนล่วงหน้าแต่พลังที่เข้ามายิ่งใหญ่มากจนมิอาจสลายพลังได้จนหมดและกระเด็นลอยออกไป
ซือหยูใช้โอกาสนี้ม้วนตัวที่กลางอากาศและใช้พลังลงในหมัดทั้งสองข้างหมัดของเขาที่มีพลังหกแรงช้างครึ่งเข้าระเบิดพลังที่พุ่งเข้าใส่
ฉั่วะ!
เมื่อพลังทั้งสองปะทะกันเสียงฉีกกระชากก็ดังขึ้น
ปั่ก!ปั่ก!
ซือหยูครางเบาๆและถอยหลังสองก้าวโลหิตไหลออกมาจากมุมปากของเขา เมื่อเขาก้มลงมองหมัดก็พบว่าหมัดนั้นชุ่มโชกไปด้วยโลหิตหลังจากการปะทะ
“เจ้าป้องกันมันได้เรอะ?”
เสียงดุร้ายดังมาจากด้านหลัง
ซือหยูหันไปมองและเห็นชายหนุ่มหน้าเนียนที่แววตาดุดันชายหนุ่มคนนี้ยืนมือไพล่หลังและมองซือหยูด้วยความแปลกใจ
จ้าวเทวะหนุ่มผู้นี้เป็นได้แค่ศิษย์ในเท่านั้น!แต่ซือหยูแววตาได้เยือกเย็นลงเพราะศิษย์ในผู้นี้ไม่ได้สนใจฐานะของตัวเองและลอบโจมตีเขา!
ถ้าหากไม้หกทิศไม่ปรากฏมาป้องกันพลังส่วนหนึ่งเอาไว้ซือหยูก็คงบาดเจ็บสาหัส! แต่ก็บอกได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ยังใช้พลังเพียงส่วนเดียว การโจมตีของจ้าวเทวะไม่น่าจะป้องกันง่ายเช่นนี้
“ข้าแค่อยากจะสั่งสอนเจ้าแต่ถ้าเจ้ามีพลังถึงเพียงนี้ ข้าก็จะลองอีกครั้ง!”
ชายหนุ่มพูดอย่างเรียบเฉย
หลังพูดจบร่างของเขาก็หายไป เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วปานสายฟ้า เหล่าผู้คนมองซือหยูด้วยความตกใจ พวกเขาคิดว่าอีกไม่นานซือหยูจะจมกองพื้น!
ซือหยูแววตาเยือกเย็นเส้นไหมคมกริบปรากฏจากชายเสื้อ เป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของจ้าวเทวะจะทนรับการตัดของเส้นไหมผีเสื้อโกลาหล!
หากเขายื่นมือมาเองเช่นนี้ซือหยูก็ไม่ติดใจหากจะตัดมือของเขาไป! แต่ในตอนที่เขาจะได้แอบควบคุมเส้นไหมนั้นเองก็ได้มีชายแก่ปรากฏตัวระหว่างซือหยูกับชายหนุ่มหน้าดุอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ชายแก่แตะชายหนุ่มหน้าดุด้วยไม้เท้าจนเขาล้มลงไปเหมือนโดนสายฟ้าฟาด!เขากลิ้งเจ็ดแปดรอบก่อนจะหยุด ใบหน้าเรียบเนียนของเขาซีดเผือด เขาครางด้วยความเจ็บปวด โลหิตไหลออกจากมุมปาก
จากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมา
“เจ้าตำหนักฮั่วทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
คนที่ปรากฏตัวมิใช่ใครอื่นเขาคือเจ้าตำหนักฮั่วแห่งตำหนักนอก! เขายิ้มบางๆ
“ถ้าเจ้าทำแบบนั้นเพื่อที่จะสั่งสอนศิษย์นอกข้าก็จะใช้วิธีเดียวกันสั่งสอนเจ้า!”
ชายผู้นี้ใช้ฐานพลังที่สูงกว่ารังแกผู้คนและนั่นก็เป็นกรณีเดียวกับเจ้าตำหนักฮั่วเช่นกัน ชายหนุ่มหน้าดุสีหน้าหม่นหมอง แม้เขาจะไม่พอใจก็ไม่กล้าตอบโต้ เพราะความต่างระหว่างเขากับเจ้าตำหนักนั้นเห็นได้ง่ายๆจากการปะทะเมื่อครู่
เมื่อมิอาจโต้เถียงเจ้าตำหนักได้สิ่งเดียวที่ทำได้จึงเป็นการระเบิดความโกรธใส่ซือหยู
“เจ้าหนูเจ้าคิดรึว่าคนอยากเจ้าสมควรได้หัวใจหวูชิง? คิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?”
ซือหยูยักไหล่
“ข้าก็แค่คนนิรนามที่ไม่มีค่าอะไรข้าเทียบกับคนอย่างเจ้าที่ลอบโจมตีคนอย่างมั่นใจไม่ได้หรอก”
เมื่อซือหยูพูดเช่นนี้ศิษย์นอกหลายคนเลือกจะยืนข้างซือยหู เพราะศิษย์ในจ้าวเทวะผู้นี้ได้ลอบโจมตีเพื่อแสดงพลัง นั่นทำให้หลายคนไม่พอใจมาก ไม่เพียงแต่จะเสียความเคารพนับถือ แต่พวกเขายังเกลียดความต่ำช้าของศิษย์ใน
“ปากเก่งนักนะถ้าเจ้าตำหนักฮั่วไม่มาปกป้องเจ้าข้าก็ตัดลิ้นเจ้าไปแล้ว!”
เขาพูดอย่างเย็นชา
ซือหยูไม่ตอบแต่เพียงแค่เก็บเส้นไหมกลับเข้าชายเสื้ออย่างใจเย็น ในตอนนั้นเอง เจ้าตำหนักฮั่วเหลือบมองชายเสื้อของซือหยูและหัวเราะอย่างเบาใจ
“เจ้าคิดจริงๆรึว่าข้าปกป้องซือหยูเซี่ยน?ไอ้หนู เจ้าควรจะระวังตัวอยู่เสมอ มิเช่นนั้นเจ้าจะล้มเหลวได้อย่างทุกข์ทรมานเชียวล่ะ”
ศิษย์นอกหลายคนเลิกคิ้วเมื่อเจ้าตำหนักฮั่วพูดแบบนั้นออกมาพวกเขาตกใจอย่างมาก ซือหยูเริ่มหวั่นใจเพราะดูเหมือนว่าการกระทำเล็กของเขามิอาจรอดพ้นสายตาของเจ้าตำหนักฮั่วไปได้
ถ้าซือหยูทำให้ศิษย์ในบาดเจ็บหนักเข้าจริงๆหรือแม้แต่สังหาร ถึงตอนนั้นก็จะมีปัญหาใหญ่มาสู่เขา ต่อให้ซือหยูไม่ตายก็ต้องสูญเสียอย่างมากแน่! แต่เป็นเพราะเจ้าตำหนักฮั่วเข้ามาแทรก ซือหยูจึงพ้นภัยในอนาคต
ชายหนุ่มหน้าดุเบิกตากว้างแต่เขาก็ไม่เชื่อว่าภูติกระจอกจะสร้างบาดแผลให้เขาได้
“มันน่ะเรอะ?”
เขาจ้องมองซือหยูและส่ายหน้า
“เจ้าตำหนักฮั่วนอกจากจะปกป้องร่างกายแล้วยังปกป้องเกียรติยศของมันอีกด้วย วันนี้ข้าคงจะทำให้ศิษย์น้องประทับใจไม่ได้สินะ แต่ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือให้ข้าทำ ซือหยูเซี่ยน ครั้งต่อไปที่เจอข้าจะไม่ง่ายแบบนี้แน่!”
เขาพุ่งหายลับไปซือหยูมองเขาด้วยความเย็นชาที่อยู่ส่วนลึกสุดในดวงตา เขาจะไม่ปล่อยชายผู้นี้ไปง่ายๆเช่นกันหากได้เจอครั้งต่อไป!
“ขอบคุณเจ้าตำหนักฮั่วที่มาช่วยข้า…”
ซือหยูกล่าวขอบคุณเจ้าตำหนักฮั่วและแม้ว่าเขาจะพูดขอบคุณ น้ำเสียงก็มีความไม่พอใจอยู่บ้าง เพราะเขากำลังจะได้ล้างแค้นเมื่อครู่ก่อนแต่ถูกขวาง!
เจ้าตำหนักฮั่วหัวเราะเบาๆ
“เจ้าหนูเจ้าจะโทษข้าไม่ได้นะ ถ้าเจ้าทำให้เล่าอ๋ายบาดเจ็บจริงๆ จะจ้าวเทวะกี่คนก็ปกป้องเจ้าไม่ได้ อีกอย่าง เจ้าควรจะเลี่ยงปัญหากับพวกศิษย์ในก่อนที่จะเข้าตำหนักใน!”
เจ้าตำหนักฮั่วมองปิงหวูชิงและจ้าวหอเพลิงคลั่งที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเขาหัวเราะอย่างขมขื่นและถาม
“พวกเจ้าก็ด้วย…ใจเย็นๆกันหน่อยไม่ได้รึ?อย่าทำลายตำหนักนอกเลย”
น่าแปลกที่เจ้าตำหนักอย่างเขาไม่กล้าจะหยุดพวกนางเขาเพียงเดินออกไปโดยทำไม่รู้ไม่เห็น ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเห็นการจู่โจมของเล่าอ๋ายเมื่อครู่ก่อน ทั้งสองจึงบินมาที่ข้างซือหยู
“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงนางมองปิงหวูชิงด้วยความไม่พอใจ
“สหายเจ้ายอดเยี่ยมนักเขากล้าแม้แต่ลอบกัด!”
ปิงหวูชิงเก็บกระบี่อย่างใจเย็น
“เขาไม่ใช่สหายข้าแต่ถ้าหากกล้าจู่โจมซือหยูเซี่ยน เขาก็ต้องได้รับบทลงโทษ”
ปิงหวูชิงพุ่งไปทางเล่าอ๋ายเพราะอยากจะไล่ตามไปแต่อย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะนางโกรธที่เขาลอบโจมตีหรือทำไปด้วยความเป็นห่วงซือหยูเซี่ยน
“หึหึไม่ต้องหรอกน่า!”
กงซุนหวูซื่อโผล่หน้าออกมาจากเหล่าผู้คนนางพูดด้วยรอยยิ้ม
ปิงหวูชิงขมวดคิ้ว
“ทำไมกัน?”
กงซุนหวูซื่อโยนน้ำเต้าสีขาวในมือไปมาในน้ำเต้านั้นมีผงหลากสีเก็บเอาไว้
“ข้าวางยาพิษลงในสุราที่เขาดื่มไปแล้วมันคงจะออกฤทธิ์แล้วล่ะ”
ปิงหวูชิงตกตะลึง
“พิษอะไรของเจ้า?เจ้าฆ่าเขารึ?”
กงซุนหวูซื่อยิ้มหวาน
“คนที่น่ารักอย่างข้าจะวางยาพิษเอาชีวิตได้อย่างไร?ข้าก็แค่ให้เขาท้องร่วงสักสามเดือน เขาคงเข้าห้องน้ำจนเบื่อเชียวล่ะ! มันคือหนึ่งในพิษที่พี่ชานเหลียงปรุงให้ข้า หลังจากดื่มไปแล้ว ร่างกายขับถ่ายไม่หยุด ไม่ว่าจะกินอะไรก็จะถ่ายออกมาทั้งหมด สามเดือนนี้เขาจะออกจากห้องน้ำไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว!”
นางพูดเสริม
“โอ้ข้าลืมบอกไปว่าพิษนี้เพิ่งคิดค้นขึ้น มันไม่มียาแก้พิษหรอก”
นางยิ้มหวานต่อหน้าซือหยูและเหล่าศิษย์นอกหลายๆคนรอยยิ้มนี้ไม่ต่างจากรอยยิ้มอสูร!
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเหล่าศิษย์นอกที่สังเกตเห็นนางหนีไปในทันที ซือหยูเองก็ทิ้งระยะห่างระหว่างเขากับกงซุนหวูซื่อ
นางมักจะรู้วิธีทำร้ายคนที่โหดร้ายที่สุดเสมอตอนที่นางเจอเล่าอ๋ายนางก็ตัดสินใจในทันทีว่าจะทำให้เขาท้องร่วงไปสามเดือน ซือหยูรู้สึกแปลกๆโดยเฉพาะตอนที่นางมองเขาตอนที่พูดถึงเรื่องยาพิษ นั่นทำให้ซือหยูกลัวจนต้องระวังตัวยิ่งขึ้น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางให้นางมีโอกาสวางยาเขา
“ไปกันเถอะ”
ปิงหวูชิงเหลือบมองกงซุนหวูซื่อและเดินจากไปขณะที่หันมองซือหยูหนึ่งครั้งนั่นเป็นการบอกโดยไม่ต้องพูดว่าเขาควรจะไปกับนาง
ซือหยูจึงพูดขึ้นมา
“ข้ายังต้องทำธุระอยู่”
ปิงหวูชิงขมวดคิ้วและจ้องมองเขาก่อนจะจากไปพร้อมกับกงซุนหวูซื่อไม่ว่าทั้งสองจะไปที่ใด คนแถวนั้นก็ตื่นตระหนก ทุกคนรีบปิดหน้าต่างราวกับมีโรคระบาด ซือหยูอ้าปากค้าง พวกนางไม่ต่างกับภัยพิบัติเดินได้!
จากนั้นซือหยูตามจ้าวหอเพลิงคลั่งไปยังเรือนของนาง มันไม่ใหญ่นัก มีสวนที่ดูธรรมดาพร้อมกับห้องนอนและห้องบ่มเพาะพลัง
“ไปที่ห้องบ่มเพาะแล้วดูว่ามันเหมาะกับการปรุงยาหรือไม่กันเถอะ”
จ้าวหอเพลิงคลั่งมัดผมขณะมองซือหยูด้วยความเสียใจ
“ข้าเกือบจะถูกคนรักเจ้าทำร้ายจนตายเพื่อคะแนนไม่เท่าไหร่แล้วเจ้าต้องตั้งใจปรุงยาชดเชยให้ข้านะ”
ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่นเขาไม่คิดจะอธิบายอะไรกับนาง เขาเพียงแค่เดินเข้าไปในห้อง ห้องนี้มีเพลิงธรณีที่ดี มันเหมาะกับการปรุงยาอย่างมาก
ซือหยูปิดประตูศิลาและหยิบวัตถุดิบเพื่อเริ่มปรุงยาเป็นเวลากับที่มุกวิญญาณเก้าหยกเปล่งแสงสีม่วงพร้อมกับกิเลนน้อยที่คาบม้วนตำราได้ออกมา
มันคลานหน้าซือหยูคล้ายลูกสุนัขและกางม้วนตำราลงบนพื้นมันชี้ม้วนตำราด้วยชา ดวงตาแสดงความโหยหา
“ข้าอยากปรุงยา!”
มันพูด
ซือหยูตกใจ
“ปรุงยา…เจ้าน่ะหรือ?”
หลังจากครุ่นคิดซือหยูได้โยนวัตถุดิบหนึ่งชุดให้มัน กิเลนน้อยมิได้ใช้หม้อหรือเพลิงธรณี มันพึ่งตัวเองโดยอ้าปากพ่นไฟสีม่วงล้อมรอบวัตถุดิบ
ซือหยูตกตะลึงเมื่อได้เห็น…กิเลนของเขาพ่นไฟได้ทั้งแต่เมื่อไหร่?แล้วยังเป็นเพลิงที่ม่วงที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน!
เพลิงเหล่านี้มิได้มีความร้อนสูงแต่วัตถุดิบกลับหลอมละลายอย่างรวดเร็วราวกับหิมะ! เพลิงสีม่วงนี้ใช้ได้ดีกว่าเพลิงธรณีหลายเท่า!
“เจ้าไปเอาไฟนั่นมาจากไหน?”
กิเลนน้อยชี้ที่อกตัวเองด้วยขาหน้ามันทำท่าทางบอกว่าเพลิงมาจากร่างกายของมันเอง ซือหยูครุ่นคิดอย่างหนัก…
การเติบโตของกิเลนน้อยมิได้ต้องการความช่วยเหลือจากภายนอกมันสามารถเติบโตได้เอง! แล้วตอนนี้ก็ยังมีเพลิงสีม่วงที่ปรากฏออกมาจากร่างกายของมันเอง!
ซือหยูนึกถึงมิติลับในตัวกิเลนน้อยที่สามารถเก็บสิ่งของได้ในปริมาณมหาศาล…หรือว่าการเปลี่ยนแปลงของมันจะเกี่ยวข้องกับมิตินั้น?
ซือหยูมองกิเลนน้อยและสงสัยถึงต้นกำเนิดของมันขณะที่คิดอยู่กิเลนน้อยก็หลอมวัตถุดิบอย่างชำนาญ มันเริ่มควบคุมเพลิงม่วงและหลอมจนเป็นโอสถ มันทำขั้นตอนเหล่านี้อย่างลื่นไหล ง่ายดาย และชำนาญ
ซือหยูตกใจอย่างมากนี่มิใช่สิ่งที่นักปรุงยาฝึกหัดจะทำได้ กิเลนน้อยปรุงยาแทบจะเก่งกว่าซือหยูเสียอีก! มันทำให้ซือหยูรู้สึกถึงความมหัศจรรย์
จากนั้นกิเลนน้อยอ้าปากคายโอสถสีน้ำเงินออกมา ซือหยูรีบใช้ขวดหยกเก็บโอสถเอาไว้ เมื่อมองใกล้ๆเขาก็พบลวดลายสามลายบนเม็ดโอสถ
“โอสถระดับสาม!”
ซือหยูตกใจมากกิเลนน้อยปรุงโอสถระดับสามได้จากการปรุงยาแค่ครั้งแรก! ยิ่งไปกว่านั้น วัตถุดิบที่ซือหยูให้มันไปคือวัตถุดิบธรรมดาที่ไม่ผ่านการชำระล้าง!
ซือหยูสีหน้าเปลี่ยนไป
“นี่เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าเรียนวิชาปรุงยายังไง?”
กิเลนน้อยแสยะยิ้มและชี้ที่หัวของมันเอง
“มีเสียงในหัวสอนข้าข้าคงจะปรุงยามาได้ตั้งนานแล้ว!”
เจ้านายเก่าของกิเลนน้อยควรจะเป็นจ้าวเทวะ…จ้าวเทวะคนนั้นสอนกิเลนน้อยนี่หรือ?แล้ว…มันก็กลายเป็นปรมาจารย์ปรุงยาเพราะเสี้ยวความทรงจำที่ฟื้นฟูขึ้นมาสินะ?
เมื่อคิดต่อไปเขาก็สรุปว่าความคิดนั้นน่าจะเป็นจริงมากที่สุด เขาแสดงความยินดีผ่านสีหน้า มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ดีจริงๆ!
ถ้ามีกิเลนน้อยคอยช่วยจำนวนโอสถชีพหวนคืนที่ซือหยูทำได้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เช่นเดียวกับคะแนนที่เขาจะได้มากขึ้นอีก ซือหยูจะเก็บคะแนนได้ราวสี่หมื่นคะแนนต่อเดือน!
จากนั้นถ้าเขาบวกสี่หมื่นคะแนนจากที่ขายสิทธิ์ไปเขาวิญญาณจรัสกับสี่อสูร เขาก็จะมีแปดหมื่นคะแนน! ถ้าขุดสมบัติออกมาจากเขนวิญญาณได้ เขาก็อาจจะได้อีกสองหมื่นคะแนน นั่นจะทำให้เขามีแสนคะแนน! จำนวนนั้นก็มากพอที่จะซื้อตำราเพลงกระบี่เก้าสุริยาแล้ว!
ส่วนโอสถระดับสูงซือหยูยังไม่คิดจะให้กิเลนน้อยลองปรุง เพราะโอสถชีพโกลาหลระดับสามจำนวนมากก็ทำให้ฝ่ายปรุงยาตื่นตัวอยู่แล้ว ถ้าหากปรุงโอสถระดับสูงขึ้นมาอีก แม้แต่จ้าวหอเพลิงคลั่งก็ปกป้องเขาไม่ได้!
เขาต้องมองหาโอกาสปรุงโอสถเหล่านั้นนอกตำหนักจากนั้นก็แอบรับประทานมันด้วยตัวเอง เมื่อวางแผนไว้เช่นนี้จึงปรุงยาต่อไป
ตกกลางคืนซือยหูออกจากเรือนของจ้าวหอเพลิงคลั่งก่อนที่จะเห็นสายตางุนงงของนาง เพราะเป็นครั้งแรกที่ซือหยูปรุงโอสถได้สี่สิบเม็ดในครั้งเดียว! จ้าวหอเพลิงคลั่งตื่นเต้นอย่างมาก นางจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นอีกจากการขาย! มันคือเรื่องบังเอิญที่ดีมากสำหรับนาง
ซือหยูใช้ชีวิตปรุงยาแบบเดิมไปวันต่อๆไปข่าวเรื่องซือหยูเข้าเรือนจ้าวหอเพลิงคลั่งทุกวันก็ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในหมู่ศิษย์นอก เหล่าศิษย์นอกที่ได้ข่าวทำได้แค่เลื่อมใสในอสูรเรือนกลางผู้นี้
แต่ข่าวนี้ก็ถูกข่าวอื่นกลบลงไปข่าวนั้นคือเรื่องการปรากฏตัวของนักปรุงยาชั้นต้นในตำหนักนอกที่ขายโอสถชีพโกลาหลอย่างไม่มีจำกัด
แต่ละวันเขาจะขายสี่สิบเม็ดด้วยราคาสูงลิ่ว! แต่การค้าของเขาก็รุ่งเรือง โอสถเหล่านั้นยังถูกต่อสู้แย่งชิง ศิษย์ที่ร่ำรวยมักจะมาซื้อเหมาจนหมดเพื่อเก็บไว้ใช้เอง
ดังนั้นราคาของโอสถจึงสูงขึ้นมากราคาสูงสุดที่เคยไปถึงคือเม็ดละเก้าสิบคะแนน! แต่แม้ราคาจะมหาศาล คนซื้อก็ยังปรารถนาแย่งชิงเพื่อให้ได้มาครอง!
เพียงเดือนเดียวก็มีโอสถชีพโกลาหลจำนวนมากเต็มกระเป๋าศิษย์นอกเรื่องนี้ทำให้ฝ่ายปรุงยาตื่นตัวจนเริ่มสืบสวน
เมื่อสืบหาเบาะแสที่หาได้ก็นำไปสู่ตัวจ้าวหอเพลิงคลั่งแต่น่าฉงนที่เมื่อตามเบาะแสไปพวกเขากลับไม่เจออะไร และพวกเขาก็มิอาจเข้าไปในเรือนของจ้าวหอเพลิงคลั่งได้เพราะฐานะสูงส่งของนาง พวกเขาทำได้แค่หยุดการสืบหาเรื่องนี้
จากนั้นฝ่ายปรุงยาจึงจัดกลุ่มนักปรุงยาเพื่อที่จะสวนกลับตลาดมืด พวกเขาเริ่มตั้งใจปรุงโอสถชีพโกลาหลจำนวนมากและขายในราคาต่ำ นั่นทำให้กระแสในตลาดมืดสงบลงไปมาก
ส่วนซือหยูกับจ้าวหอเพลิงคลั่งทั้งคู่ได้กำไรไปจำนวนมาก จ้าวหอเพลิงคลั่งนั้นได้สองหมื่นคะแนนขณะที่ซือหยูได้ถึงสามหมื่นเก้าพันคะแนน!
หลังจากนับกำไรความดีใจก็ปรากฏบนสีหน้าทั้งสอง
“เดือนที่แล้วช่างคุ้มค่าจริงๆ!”
ซือหยูถอนหายใจยาว
การทำโอสถด้วยความเร็วบ้าคลั่งเช่นนี้มิเพียงแต่ได้คะแนนเท่านั้นแต่ทักษะปรุงยาของเขายังพุ่งขึ้นสูงไปด้วย! ตอนนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะปรุงโอสถระดับสาม ตอนนี้เขาได้พยายามจะปรุงระดับสี่ขึ้นมาแล้ว
“ปรุงโอสถชีพโกลาหลต่อไปเห็นทีจะไม่ได้กำไรถ้าหากฝ่ายปรุงยาสวนกลับเช่นนี้เราควรจะหยุดขายมัน…”
ซือหยูกล่าว
จ้าวหอเพลิงคลั่งพยักหน้า
“เราควรจะเก็บตัวถ้าหากก่อเรื่องต่อไป ฝ่ายปรุงยาจะโกรธเอาได้”
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ข้าขอลาก่อน…”
จ้าวหอเพลิงคลั่งถาม
“เจ้าจะไปเขาวิญญาณจรัสจริงๆรึ?”
ซือหยูพยักหน้า
“ใช่หนึ่งเดือนก็ผ่านมาแล้ว ทำไมรึ? มีอะไรกัน?”
“ไม่หรอกแต่ตอนเจ้ากลับมา ข้ามีคนจะแนะนำให้เจ้า ข้าเชื่อว่าเขาจะช่วยเหลือเจ้าได้มากแน่”
ดูเหมือนจ้าวหอเพลิงคลั่งกำลังตัดสินใจครั้งใหญ่
แนะนำคนให้ข้าหรือ?ซือหยูพยักหน้า เขากลับเขาอสูรเพื่อไปรวมตัวกับสี่อสูร
เมื่อถึงเขาอสูรเขาเห็นว่าอสูรทั้งสี่นั่งสมาธิอยู่บนหลังคาเรือนตนเอง ทั้งสี่รอการกลับมาของซือหยูเงียบๆ
ไป่ชานเหลียงลืมตาสดใสช้าๆและถาม
“อสูรเรือนกลางเจ้าพร้อมหรือยัง?”
ซือหยูพยักหน้า
“ข้าพร้อมแล้ว!ไปกันเถอะ”
อสูรทั้งสี่กระโดดลงพื้นพร้อมกับจื่อเสวียนที่ตามหลังเมื่อทั้งหมดออกจากเขาอสูร พวกเขาก็เห็นว่ามีเสวี่ยฉีมาถึงตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบได้
ซือหยูเลิกคิ้ว
“ไหนล่ะคนที่จะไปกับข้า?”
เขาให้หนึ่งสิทธิ์กับเสวี่ยฉีไปแต่ไม่รู้ว่าเสวี่ยฉีจะส่งผู้ใดไปกับเขา
เสวี่ยฉีหัวเราะเบาๆ
“ข้าไปกับเจ้าไม่ได้หรอกรึ?”
“เจ้างั้นรึ?จ้าวเทวะอย่างเจ้าอยากจะไปเสี่ยงโชคที่เขาวิญญาณจรัสทำไมกัน?”
ซือหยูไม่คิดว่านางจะใช้สิทธิ์ให้ตัวเองเขาเคยคิดว่านางเอาสูตรโอสถมาแลกสิทธิ์เพื่อคนอื่น!
“แล้วข้าจะไปไม่ได้เลยหรือ?”
เสวี่ยฉีเดินเข้ามาปล่อยลมหายใจหอมรดใบหน้าซือหยู
ซือหยูผงะหลังนางกับอานางนั้นเป็นดั่งจิ้งจองที่จะหลอกผู้คนไปตายไม่ผิดเพี้ยน!
“เอาเถอะไปที่ฝ่ายภารกิจเพื่อรับภารกิจกัน เตรียมตัวเดินทางได้”
ซือหยูกล่าวหลังจากพูดจบ กลุ่มคนเจ็ดคนก็ไปยังฝ่ายภารกิจอย่างยิ่งใหญ่
ในป่าขังภูติชายตัวสูงนั่งอยู่บนศิลา เมื่อเงยหน้าก็มีรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏที่มุมปาก เขาพูดเบาๆ
“ซือหยูเซี่ยนถึงเวลาที่ข้าจะมาเอาชีวิตเจ้าแล้ว”
ถ้าซือหยูอยู่ที่นี่เขาจะจำชายคนนี้ได้ทันที เพราะเขาคือเฉาเอวี่ยหมิง!
DND.806 – ผีสิง
ที่ฝ่ายภารกิจ
นี่ที่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีบรรยากาศคึกครื้นมากที่สุดในตำหนักทุกๆวันจะมีศิษย์นอกมากมายมารอและจ้องมองรายการภารกิจ หากภารกิจที่ได้คะแนนดีปรากฏออกมาเมื่อใด พวกเขาทั้งหมดก็จะกระโจนเข้ารับภารกิจนั้น
หลังซือหยูมาถึงที่นี่ก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นฝูงชนมากมายเพียงแค่มองครั้งเดียวก็เห็นว่ามีศิษย์นอกหลายพันคนมารวมตัวกัน ทุกคนต่างมองดูรายการภารกิจ
จริงๆแล้วมีป้ายบอกรายการภารกิจอยู่สองแห่งแห่งหนึ่งค่อนข้างใหญ่และแขวนไว้สูงบนฟ้า ป้ายนี้มีภารกิจที่หลายคนให้ความสนใจ
ส่วนอีกแห่งจะมีคนน้อยกว่าที่สนใจมันเป็นเพียงก้อนหินที่ตั้งอยู่ข้างโถง ชายแก่นั่งอยู่บนหินก้อนนั้น
รายการภารกิจมีไม่สม่ำเสมอแต่เมื่อใดก็ตามที่มีภารกิจใหม่ปรากฏที่นี่ก็จะมีสายตาของคนหลายพันพุ่งเข้ามามองราวกับว่ามันคือภารกิจที่พิเศษ
“ศิษย์น้องซือมีรายการภารกิจอยู่สองแห่งคือรายการมนุษย์และรายการผี รายการมนุษย์คือป้ายใหญ่ตรงนั้น มันแสดงภารกิจธรรมดาๆ ส่วนรายการผีคือหินก้อนเล็กนี่ มันจะแสดงแค่ภารกิจสำคัญเท่านั้น เจ้าเห็นถึงความแตกต่างของมันได้เลย”
เสวี่ยฉีค่อนข้างสนใจการไปเขาวิญญาณจรัสอย่างเห็นได้ชัด
ซือหยูถาม
“มันพิเศษยังไงล่ะ?”
เสวี่ยฉีตอบด้วยรอยยิ้ม
“ก็…อย่างเช่นภารกิจไปเขาวิญญาณจรัสที่จะกำหนดผู้ไปแน่นอน ดังนั้นจึงมีบางคนที่ไม่สามารถรับได้แม้จะมีฐานะแค่ไหนก็ตาม แล้วก็ยังมีภารกิจพิเศษเพราะอันตรายอย่างมากอยู่ด้วย มันคือภารกิจที่ศิษย์นอกส่วนมากไม่สามารถทำได้ ภารกิจแบบนั้นค้างอยู่ในรายการมาเป็นสิบปีแล้ว ทุกคนที่เคยกล้ารับภารกิจต่างกลับมาด้วยความล้มเหลว”
ซือหยูตกใจเมื่อคิดถึงภารกิจที่ไม่มีคนทำสำเร็จแม้จะผ่านมาสิบปี
“ตามที่คนพูดกันภารกิจนั้นมีรางวัลมากกว่าสามล้านคะแนน! รางวัลยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในทุกปี! แม้แต่ศิษย์ในก็ถูกรางวัลมหาศาลล่อลวงให้มาทำ แต่ก็น่าเสียดายที่ทุกคนล้มเหลว มีแม้กระทั่งคนที่หายสาบสูญระหว่างการทำภารกิจด้วย!”
กงซุนหวูซื่อพูดด้วยตาเปล่งประกาย
สามล้านคะแนน?ซือหยูตกใจเมื่อได้ฟังจำนวนรางวัล ถ้าหากภารกิจให้รางวัลมหาศาลแบบนั้น เขาก็คิดไม่ออกเลยว่ามันจะยากเพียงใด! เขาถึงกับสงสัยว่าใครกันที่มาออกภารกิจนี้แต่แรก!
แต่ซือหยูเพียงแต่ตกใจเท่านั้นเขาไม่ได้คิดจะทำภารกิจนี้ด้วยตัวเอง เพราะถ้าหากภารกิจนี้ไม่สำเร็จมาสิบปีและยังมีคนหายสาบสูญหรือตายขณะทำภารกิจ มันก็จะต้องยากเป็นอย่างมาก!
ทุกคนที่ได้เข้าสู่ตำหนักในมีพลังอันโดดเด่นแต่พวกเขาก็ทำภารกิจนี้ไม่ได้ ซือหยูจึงคิดว่าเขาจะไม่ทำภารกิจนี้ ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเอาตัวไปอยู่ในปัญหาที่ไม่จำเป็น!
แต่เขาก็จดจำเรื่องภารกิจนี้เอาไว้จากนั้นเมื่อผ่านศิลาก้อนใหญ่ ชายแก่ก็ลืมตาเหลือบมองซือหยูและคนของเขา
“ภารกิจเขาวิญญาณจรัสหรือ?”
เขารู้เป้าหมายของซือหยูและคนที่เหลือ
ซือหยูพยักหน้า
“ใช่แล้วท่านผู้เฒ่าโปรดมอบภารกิจให้พวกเราด้วย”
ชายแก่เหลือบมองซือหยูก่อนจะหยิบตะขาบขาวหิมะจากกระเป๋ามาอย่างช้าๆเขาโยนมันให้ซือหยู
“นี่คือตะขาบน้ำแข็งขาวดำตัวสีขาวเอามันไปกับเจ้าที่เขาวิญญาณจรัส ส่งให้กับเจ้าตำหนัก เขาจะจัดการพวกเจ้าทุกคนไปทำภารกิจ”
ซือหยูรู้แล้วว่าของสิ่งนี้ใช้ทำอะไรไข่ของตะขาบขาวดำน้ำแข็งจะมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย สีขาวคือตัวเมีย สีดำคือตัวผู้ และถ้าหากมาจากต้นตอเดียวกัน มันก็จะสัมผัสกันได้
แมลงวิญญาณลักษณะนี้มักจะใช้เป็นของติดตัวเมื่อตะขาบได้สัมผัสเมื่อใด การตอบสนองอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้น หากซือหยูมีตะขาบนี้อยู่กับตัวและไปยังเขาวิญญาณจรัส เมื่อเอาไปแตะกับตะขาบของคนผู้ที่เขาจะต้องเจอ พอถึงตอนนั้นก็จะยืนยันได้ว่าซือหยูถูกตำหนักส่งมาทำภารกิจใด
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่า”
ซือหยูประสานหมัดให้กับเขาและพาคนอื่นออกจากตำหนัก
ก่อนจะออกไปซือหยูเหลือบมองชายแก่อีกครั้ง
หลังจากที่ซือหยูจากไปแล้วชายแก่ได้สะบัดเสื้อ ผึ้งตัวหนึ่งบินออกมา ผึ้งนั้นบินไปมาและพุ่งไปทางป่าขังภูติ
การเดินทางจากตำหนักนอกไปเขาวิญญาณจรัสใช้เวลาห้าวันมันอยู่ในส่วนลึกของป่าขังภูติ พวกเขาเจออันตรายมาตลอดทาง
แต่ถึงพวกเขาจะมีศิษย์ในแค่คนเดียวที่เป็นจ้าวเทวะและอสูรทั้งสี่พวกเขาก็ยังมีจื่อเสวียนอีกคน ตราบเท่าที่สัตว์อสูรในป่าสัมผัสได้ พวกมันก็จะไม่กล้าเข้ามายุ่งกับพวกเขา ดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงมีความปลอดภัย
“ศิษย์น้องซือคนที่เจ้าพามาเยี่ยมจริงๆ! เจ้ามีสี่อสูร…ไม่สิ ถ้านับเจ้าก็เป็นห้า!”
เสวี่ยฉีเดินเข้ามากลิ่นหอมโจมตีซือหยูอย่างจัง ดวงตายั่วยวนของนางเปล่งประกายเมื่อมองซือหยูด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูรักษาระยะห่างจากนางและตอบ
“ศิษย์พี่เสวี่ยฉีข้าสงสัย…ทำไมท่านถึงอยากมาเขาวิญญาณจรัสกัน? ด้วยสถานะศิษย์ใน แค่ไม่กี่หมื่นคะแนนคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ใช่ไหม?”
เสวี่ยฉียิ้มและหรี่ตาถามกลับ
“เจ้าอยากรู้จริงรึ?ถ้าเจ้าจ่ายมากพอ ข้าจะบอกเจ้า…”
ซือหยูยักไหล่เขารู้ว่านางใจดำเพียงใด เขาจึงไม่รับเสนอจากนาง
“นังจิ้งจอก!หยุดยั่วได้แล้ว เจ้ามาล่อลวงหยูเซี่ยนของครอบครัวเราไม่ได้หรอก!”
เทียนเหรินเหยาบินเข้ามาขวางและพยายามดึงแขนซือหยูออกมา…
ซือหยูขนลุกตั้งและหลบเทียนเหรินเหยาอย่างชำนาญแต่เทียนเหรินเหยาไม่สนใจ เขายังคงเข้ามาหาซือหยูด้วยรอยยิ้มจางๆ
“หยูเซี่ยนอย่าไปสนใจนังจิ้งจอกนี่เลย! ถ้าเจ้าอยากรู้อะไร ข้าจะบอกทุกเรื่องที่เจ้าอยากรู้เลย”
ซือหยูขนลุกไปทั้งตัวและหลบเขาสุดท้ายเขาก็มาอยู่ข้างปิงหวูชิงตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบ เทียนเหรินเหยายังไม่ยอมแพ้และไล่ตามเขาต่อไป
“พอได้แล้ว!เดินทางดีๆไม่ได้เรอะ!”
ปิงหวูชิงพูด
“ศิษย์น้องเจ้าอาจจะยังไม่รู้ แต่เร็วๆนี้เกิดเรื่องในเขาวิญญาณจรัส ศิษย์ในทุกคนที่ได้ข่าวอยากจะไปที่นั่น!”
ไป่ชานเหลียงกระแอมเบาๆก่อนจะกระอักเลือดออกมาเหมือนทุกที
ซือหยูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเบาะแส
“เกิดเรื่องหรือ?ศิษย์โปรดบอกข้าที”
ไป่ชานเหลียงจึงตอบ
“ไม่ได้สำคัญอะไรหรอกข่าวมันไปถึงตำหนักในแล้ว”
หน้าซีดของไป่ชานเหลียงดูหมองไปเล็กน้อย
“ข่าวว่ากันว่ามีผีเร่ร่อนอยู่ในเขาวิญญาณจรัสตั้งแต่ครึ่งปีก่อนศิษย์หลายคนที่มาทำภารกิจหรือเพาะสัตว์อสูรหายตัวไปโดยไม่เหลือแม้แต่ร่างกาย!”
เขาพูดต่อ
“ทุกคนที่สามารถทำภารกิจที่เขาวิญญาณจรัสได้ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ในดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นที่รู้แค่ตำหนักใน ส่วนตำหนักนอกยังไม่มีคนรู้มากนัก”
เขาพูดต่อ
“เหล่าคนในตำหนักในหลายกลุ่มคาดเดาและรู้สึกว่ามีคู่แข่งอยู่เบื้องหลังดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนไปแอบสืบเรื่อง ศิษย์พี่เสวี่ยฉีก็ดูเหมือนจะถูกส่งมาเช่นกัน”
ซือหยูสบายใจเล็กน้อยเมื่อรู้เรื่องราวทีแรกเขาคิดว่ามันเป็นอุบายของเฉาเอวี่ยหมิง แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีก่อน มันก็ต้องเป็นความผิดปกติจากสิ่งอื่น
แม้ไป่ชานเหลียงจะไม่ได้พูดเฉพาะเจาะจงซือหยูก็พอจะคิดได้ว่ามันสื่อถึงอะไรบ้าง เพราะถ้าหากศิษย์ในหายตัวไป นั่นก็หมายถึงจ้าวเทวะหลายคนได้หายตัวไป
หากจ้าวเทวะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่นอน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไร พวกเขาก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ซือหยูเองก็ไม่ได้กลัวการจู่โจมของภูติผี
พวกเขาเดินทางต่อไปหลังจากเดินทางมาห้าวัน พวกเขาก็มาถึงดินแดนกว้างใหญ่ ที่นี่เกิดจากภูเขาหลายลูกที่แผ่ขยายไปจนถึงขอบนภาราวกับท้องทะเล
ทุกคนที่มองมันรู้สึกอึดอัดใจราวกับถูกมันครอบงำและพลังวิญญาณของที่นี่ยังประหลาด พวกเขารู้สึกถึงบรรยากาศมืดมนและอากาศเย็นๆรอบกาย และเหล่าภูเขายังมีสีเขียวเข้มที่ดูมืดหม่นน่ากลัว
“ที่นี่เคยเป็นสนามรบของมนุษย์และภูติผีมีซากศพของภูติผีมากมายฝังอยู่ในภูเขา ร้อยปีก่อน ที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังภูติผีที่น่ากลัว แต่เมื่อผ่านไปหลายสิบปี พลังเหล่านั้นได้สลายไปเป็นจำนวนมาก พอถึงตอนนั้น ตำหนักโลหติจึงเริ่มพัฒนามันขึ้น แต่ที่นี่ก็ยังดูน่ากลัวเพราะมีพลังภูติผีจากเมื่อร้อยปีก่อนหลงเหลืออยู่”
ไป่ชานเหลียงอธิบายทุกอย่างดูเหมือนเขาจะรอบรู้เรื่องที่นี่
ซือหยูมองรอบๆเขาไม่กล้าใช้เนตรวิญญาณเพราะตรวจดูส่วนที่ลึกเข้าไปเพราะจื่อเสวียนอยู่กับเขา
พวกเขาเดินทางผ่านภูเขาลึกมากมายและหลังจากบินมาหลายลี้ก็ได้เห็นทุ่งหญ้าที่มีพลังวิญญาณอันสดชื่นและบริสุทธิ์มันดูเหมือนเกาะวงกลมที่ลอยฟ้าอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรภูเขา
ไป่ชานเหลียงกล่าว
“นี่คือตำหนักวิญญาณจรัสที่ตำหนักโลหิตของพวกเราสร้างขึ้นหลังจากที่ขุดภูเขาใหญ่มาร้อยลูก เราก็สร้างตำหนักที่นี่ มีสมุนไพรวิญญาณล้ำค่าถูกปลูกในอาณาเขต ดังนั้นจึงมีคนชั้นยอดมากมายปกป้องที่นี่อยู่”
เขาเตือน
“ทุกคนจงอย่าก่อเรื่องเจ้าต้องทำตามกฎ ยอดฝีมือทุกคนที่นี่ได้รับอนุญาตให้สังหารพวกเจ้าก่อนที่จะรายงาน!”
คนอื่นๆพยักหน้าก่อนจะบินลงไปยังทุ่งหญ้าแต่ก่อนจะร่อนลงพื้นก็มีคนเก้าคนบินเข้ามา คนที่นำมาคือจ้าวเทวะ แต่เขาก็เป็นได้แค่ผู้นำกลุ่มคนเล็กๆ
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
เขาตะโกน
ซือหยูไม่ตอบเขาหยิบตะขาบสีขาวขึ้นมา
เมื่อเห็นสิ่งนั้นสีหน้าตึงเครียดของอีกฝ่ายก็หายไป
“อืมมาหาเจ้าตำหนักกับข้า”
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นคนนำทางและจับตาดูซือหยูกับพรรคพวกไปยังตำหนัก!เมื่อเข้าสู่ตำหนักแล้วซือหยูสัมผัสได้ว่ามีจ้าวเทวะไม่ต่ำกว่าสิบคนจับตาดูอยู่อย่างตั้งใจ พวกเขาถูกพามายังโถงตำหนักข้าง
“รอที่นี่สักครู่เดี๋ยวเจ้าตำหนักจะมาแล้ว”
หลังจากที่เขาพูดเขาก็ไปแจ้งเจ้าตำหนักถึงการมาของพวกซือหยู
ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนสวมหมวกสีม่วงทองเดินมามีชายแก่เก้าคนที่เป็นจ้าวเทวะเดินตามหลังมาติดๆ
“ท่านเจ้าตำหนักจาง!”
เสวี่ยฉีดันศอกใส่ซือหยูเมื่อทักทายเจ้าตำหนักและโค้งคำนับ
ซือหยูกับคนที่เหลือโค้งคำนับพร้อมกัน
“ท่านเจ้าตำหนักจาง”
เมื่อพวกเขาก้มหน้าก็มีพลังอ่อนโยนมาพยุงให้พวกเขายกตัวขึ้นเมื่อเงยหน้ามองเขาก็ได้เห็นชายวัยกลางคนสวมหมวกม่วงทองย่อเท้าลง
และตอนที่เขาก้าวมาข้างหน้าเขาได้ควบคุมพลังที่พยุงพวกซือหยูทุกคน การควบคุมพลังของเขาแทบจะสมบูรณ์แบบ!
หลังจากซือหยูตรวจดูฐานพลังของชายคนนี้เขาก็พบว่ามันลึกล้ำมิอาจหยั่งถึง เขาเหมือนกับเจ้าตำหนักคงฉานที่มีฐานพลังลึกล้ำ
และเขายังมีชายแก่เก้าคนที่เป็นจ้าวเทวะชั้นต้นอยู่ด้านหลังจำนวนคนเท่านี้นับเป็นหนึ่งในสี่ของกำลังตำหนักนอก
กำลังที่ถูกส่งมาปกป้องที่นี่ค่อนข้างน่ากลัวโดยเฉพาะเมื่อมีเจ้าตำหนักจางคอยดูแล เป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักภายนอกจะเข้ามายึดครองแม้จะใช้พลังของทั้งสำนัก
“มิต้องมากพิธีนักก็ได้พวกเจ้าเป็นเด็กมีพรสวรรค์จากตำหนักนอก ไม่ช้าก็เร็วพวกข้าก็ต้องอ่อนแอกว่าเจ้า ทำตัวตามสบายเถอะ”
น้ำเสียงของเจ้าตำหนักจางค่อนข้างสุภาพเขาประเมินค่าซือหยูกับคนที่เหลือไว้สูงมาก
เพราะถ้าซือหยูได้ที่หนึ่งในการสอบเข้าความสำเร็จในอนาคตของเขาจะต้องน่าประทับใจแน่นอน ขณะที่สี่อสูรที่เขาพามาก็เป็นภูติระดับเก้าทั้งหมด นั่นหมายความว่าอีกก้าวเดียวทั้งสี่จะได้เป็นจ้าวเทวะ ยังมีข่าวลืออีกด้วยว่าเหล่าอสูรนี้จงใจกดฐานพลังของตัวเองเอาไว้ มิเช่นนั้นทั้งสี่ก็ได้เป็นจ้าวเทวะไปนานแล้ว
“ท่านเจ้าตำหนักจางนี่ตะขาบของพวกเรา”
ซือหยูหยิบตะขาบขาวส่งให้กับเขา
เจ้าตำหนักจางมองซือหยูซือหยูรู้สึกว่าโดนมองทะลุทะลวงผ่านร่างไป เขาตกใจมาก…เจ้าตำหนักจางแข็งแกร่ง!
ซือหยูเคยรู้สึกแบบนี้ก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับอสูรเนรมิตรเท่านั้นแม้แต่เจ้าตำหนักคงฉานก็ไม่แข็งแกร่งถึงระดับนี้!
“ไม่เลวข้าได้ยินว่าเจ้าไปถึงขั้นห้าสิบของมัจฉาข้ามประตูมังกรตั้งแต่ครั้งแรก ตอนนี้ข้าได้พบเจ้าแล้ว ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าไม่ธรรมดา!”
เจ้าตำหนักจางพูด
ซือหยูเข้าใจความหมายโดยนัยนั้นเขาหมายถึงภายนอกที่ดูแก่เฒ่าของซือหยูนั้นประหลาดและทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น
“ท่านเจ้าตำหนักจางพูดเกินไปแล้ว!ข้าเพียงโชคดีเท่านั้น”
ซือหยูตอบอย่างนอบน้อม
เจ้าตำหนักจางหัวเราะเบาๆเขาส่ายหน้า
“หึหึโชคไม่ได้เกี่ยวข้องกับมัจฉาข้ามประตูมังกรหรอก อนาคตของเจ้าจะต้องเจิดจรัสเป็นแน่”
จากนั้นเขารับตะขาบขาวไปมองดูและหยิบตะขาบดำออกมา เมื่อตะขาบทั้งสองสัมผัสกันก็เกิดแสงหลากสีขึ้น
“ตะขาบนี้มาจากไข่ฟองเดียวกันมันไม่ใช่ของปลอม!”
เจ้าตำหนักจางกล่าว
“ข้าจะจัดการให้เจ้าเปิดดินแดนจิวอัง เอาแผนที่ไปนำทาง!”
ชายแก่หัวล้านคนหนึ่งที่เป็นจ้าวเทวะชั้นกลางที่เหมือนกับพระหยิบเอาม้วนกระดาษออกมาแผ่ให้ทุกคนดูมันคือแผนที่ของดินแดนที่ซือหยูเห็นบนท้องฟ้าเมื่อครู่ก่อน
“จิวอังที่ใดที่เหมาะกับการขุดข้นที่สุดรึ? เป็นการยากอยู่แล้วที่ศิษย์ตำหนักนอกจะได้โอกาสมาที่นี่ เจ้าให้พื้นที่ดีๆกับเขาด้วยล่ะ”
เจ้าตำหนักจางกล่าวพร้อมกับแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
เมื่อจิวอังมองแผนที่เขาก็มองไปยังดินแดนที่อยู่ขอบฝั่งตะวันตก
“ท่านเจ้าตำหนักดินในเขาสิบแปดลูกส่วนนี้อ่อนที่สุด เหมาะสำหรับการขุดค้นของศิษย์นอก ส่วนที่อื่นรกร้าง ดินแข็งแน่นไปหมด มีแค่จ้าวเทวะที่จะแบ่งแยกดินตรงนั้นได้”
เจ้าตำหนักจางมองซือหยูกับคนที่ซือหยูพามา
“ข้าจะให้เขาสิบแปดลูกนี้กับพวกเจ้าเจ้ามีเวลาสามวัน จะขุดค้นได้มากเท่าใดก็อยู่ที่ความพยายามของพวกเจ้า แล้วคะแนนที่เจ้าจะได้ในท้ายสุดจะตัดสินตรงตามดินที่พวกเจ้าขุดค้นขึ้นมา และถ้าพวกเจ้าได้สมบัติที่สำคัญ เจ้าจะเอาไปแลกคะแนนได้”
“เอาล่ะนี่เป็นแผนที่ ค่ายถูกตั้งอยู่ที่เขาสิบแปดลูกแล้ว มีเสบียงกับที่พักอยู่ที่นั่นด้วย พวกเจ้าไปให้ทันการก็แล้วกัน ที่นั่นมีกลุ่มศิษย์ในอยู่หนึ่งกลุ่มที่มาก่อนอยู่แล้ว พวกเจ้าช่วยเหลือกันให้ดีล่ะ…”
เจ้าตำหนักจางกล่าว
ซือหยูกับคนที่เหลือประสานหมัดขอบคุณและรอให้เขาไปเทียนเหรินเหยาที่มองดูเจ้าตำหนักจางออกไปนั้นตาเป็นประกาย
เขาพูดเสียงหวาน
“อ๊าย!เจ้าตำหนักจางหล่อจริงๆ! หัวใจข้าจะละลายอยู่แล้ว!”
ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นซือหยูด้วยหางตาเขาพูดด้วยความขวยเขิน
“แต่หยูเซี่ยนของพวกเราน่ะดีที่สุดไม่มีใครเทียบได้หรอกนะ!”
ซือหยูแทบจะกระอักเลือดเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเทียนเหรินเหยาจึงสนใจเขานัก! เพราะทั้งร่างกายและใบหน้าซือหยูก็แก่เต็มที มันไม่มีเสน่ห์ของหนุ่มสาวอยู่เลย
“อืมดูเหมือนว่าเจ้าตำหนักจางจะใจดีนะ”
กงซุนหวูซื่อกล่าว
“แต่เขาไม่ดีกับพวกเราไปหน่อยเรอะ?”
นางคือปีศาจบูรพาอสูรน้อยเลื่องชื่อ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางขี้ระแวง
“ข้าก็คิดแบบนั้นมันแปลกจริงๆ!”
เสวี่ยฉีขมวดคิ้ว
ไป่ชานเหลียงก้มหน้าเขาสีหน้าหม่นหมองและยอมรับ
“ใช่เลยข้าว่าน่าสงสัย”
พวกเขาเหลือบมองกันไปมาก่อนที่ไป่ชานเหลียงจะหันไปมองซือหยู
“ข้าคิดว่าเราควรจะต้องระวังเขาสิบแปดลูกที่เจ้าตำหนักจางเลือกให้พวกเราไม่ปลอดภัย มันนับว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด อย่างน้อยก็ครึ่งปีที่ผ่านมานี้”
ซือหยูเลิกคิ้วเบาๆ
“จะบอกว่าบางคนที่หายไปหายไปจากเขาสิบแปดลูกนี้รึ?”
ไป่ชานเหลียงพยักหน้าจากนั้นจึงส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ใช่แค่บางคนแต่ทุกคนต่างหาก! คนที่ไปเขาสิบแปดลูกหายสาบสูญไปหมดเลย เพราะอย่างนี้ ยอดฝีมือที่เข้ามาหาสมบัติที่นี่เลยไม่อยากจะไปที่นั่น”