The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 809-810
DND.809 – ร่องรอยของเผ่าภูติผี
สองชิ้นงั้นเรอะ?อสูรทั้งสี่ตัวสั่นระริก พวกเขาไม่คิดว่าซือหยูที่มีพลังน้อยที่สุดจะขุดมาได้ถึงสองชิ้น!
ดวงตาหลายคู่ที่คมกริบดั่งศรธนูหันมามองที่มือของซือหยูพวกเขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นกลองหนังมนุษย์เพราะได้กลิ่นโลหิตโชยออกมา
แต่ระดับของมันจะต้องไม่ต่ำไปกว่าแส้กระดูกของไป่ชานเหลียงแน่นอนมันคือสมบัติกึ่งภูติ!
ส่วนกระบี่ก็ควรจะเป็นสมบัติวิญญาณในตอนที่มีสภาพสมบูรณ์ตอนนี้มันเสียหายมาก มันควรจะเทียบเท่าระดับของสมบัติกึ่งภูติเช่นกัน
“ศิษย์น้องโชคของเจ้าน่าอิจฉายิ่งนัก”
ไป่ชานเหลียงหัวเราะเยาะตนเอง
“สมบัติวิเศษของตระกูลภูติผีควรจะมีค่าอย่างน้อยสามพันคะแนนส่วนกระบี่เล่มนี้มีที่มาแปลกประหลาด ถ้าข้าจำไม่ผิด มันคือกระบี่แห่งชางปี่ไท่ลั่วที่ค่อนข้างมีชื่อในตำหนักโลหิตเมื่อร้อยปีก่อน”
ไป่ชานเหลียงพูดต่อ
“กระบี่ของเขาค่อนข้างแปลกมันสามารถเติบโตยาวขึ้นได้ตามคำสั่งของเจ้าของ ชางปี่ไท่ลั่วใช้กระบี่นี้ล้างบานดินแดนพรสวรรค์ เขาสังหารภูติผีเป็นจำนวนมากในสงครามร้อยปีก่อน แต่ก็น่าเสียดายที่เขาหายตัวไป หลายคนคิดว่าเขาตายในสนามรบและไม่เคยเจอศพของเขา”
ไป่ชานเหลียงอธิบายต่อไป
“ถ้าเจ้าคืนกระบี่นี้ให้ตำหนักเจ้าจะได้รางวัลอย่างน้อยสี่พันคะแนน”
ดูเหมือนว่าซือหยูจะได้เจ็ดพันคะแนนจากวันแรกเพียงวันเดียว!ทุกคนตกใจกับความโชคดีของเขา!
“รีบไปแลกคะแนนที่ตำหนักกันเถอะเสร็จแล้วเราจะกลับมาพัก”
ไป่ชานเหลียงยืนขึ้นและแนะนำ
กงซุนหวูซื่อถามขึ้นมา
“ข้าก็จะไปดูว่าศิษย์ในขุดอะไรมาได้บ้าง”
ปิงหวูชิงขมวดคิ้ว
“ข้าจะไปดูเหมือนกัน”
“ข้าด้วย”
สุดท้ายแม้แต่จื่อเสวียนก็ยืนขึ้นตามไป เพราะนางไม่อยากจะปล่อยให้โอกาสหาตัวซือหยูลอยไป แต่ก็น่าเสียดายที่นางยังไม่รู้ว่าซือหยูอยู่ตรงหน้านางมาโดยตลอด!
ซือหยูมองเสวี่ยฉีและุถาม
“แล้วเจ้าล่ะ?”
เสวี่ยฉีส่ายหน้านางดูไม่สนใจ
“ข้าจะอยู่ที่นี่แหละ”
จากนั้นเสวี่ยฉีหันไปมองซือหยู
“ถ้าเจ้าเป็นกลุ่มศิษย์ในเจ้าไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะที่ข้ารู้ มีสองในเจ็ดคนที่มีสายสัมพันธ์กับตระกูลเฉา อย่าหาเหตุผลให้เขาสังหารเจ้า”
ซือหยูใจสั่นดูเหมือนว่าเฉาเอวี่ยหมิงจะส่งคนมาอย่างที่เขาคิด และถ้าเป็นถึงกับศิษย์ใน ทั้งสองก็อาจจะเป็นจ้าวเทวะ!
การจัดการเช่นนี้เหมือนกับกับดักที่จะสังหารซือหยูได้จริงๆเขาสงสัยว่าเขาจะต้องเจอกับสิ่งใดต่อไป
ซือหยูหันไปมองเสวี่ยฉี
“อืมถ้าเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว เจ้าก็ควรจะระวังตัว…”
ซือหยูจึงออกเดินทางไปพร้อมกับสี่อสูรพวกเขาบินไปยังตำหนัก ที่นั่นมีคนผู้หนึ่งที่ตำหนักส่งมา เขาทำหน้าที่ประเมินสมบัติเป็นคะแนน
เมื่อไปถึงพวกเขาก็พบว่ามีคนไม่น้อยไปกว่าร้อยคน พวกเขาคือคนจากตำหนัก ทุกคนอยู่ที่นี่มานาน พวกเขาคือคนที่ทำหน้าที่ขุดค้น
และเมื่อพวกเขาทำหน้าที่ขุดค้นอย่างเดียวเท่านั้นพวกเขาจึงมิอาจแลกสมบัติเป็นคะแนนแบบเดียวกับซือหยูหรือคนอื่นๆได้ พวกเขาจะแลกได้เป็นทรัพยากรบ่มเพาะพลังธรรมดาๆเท่านั้น เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้ การที่พวกเขาสะสมคะแนนได้เองเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้พวกเขาร่ำรวยเสียยิ่งกว่าผู้เฒ่าตำหนักใน!
ซือหยูมองคนรอบๆและสังเกตเห็นโต๊ะว่างที่มีชายวัยกลางคนประจำอยู่
“นั่นไงไปกันเถอะ”
ซือหยูเดินนำไปยังชายผู้นั้น
จากนั้นอีกเจ็ดคนก็ก้าวไปข้างหน้าพวกเขาเดินไปหาชายวัยกลางคน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวงดงามที่สวมชุดสีสันฉูดฉาด นางอายุราวยี่สิบแปดปี นางดูอ่อนโยนน่ารัก เป็นใบหน้าที่น่าพอใจ
นางเป็นคนที่ได้สิทธิ์มายังเขาวิญญาณจรัสส่วนอีกหกคนคือคนที่นางพามาด้วย
“ท่านผู้อาวุโสเรามาแลกของที่เราขุดเจอ โปรดตรวจสอบด้วย”
นางพูดด้วยเสียงอ่อนโยนพร้อมกับหยิบสมบัติออกมาเก้าชิ้น
เมื่อซือหยูมองดูสมบัติทั้งเก้าก็พบว่ากว่าครึ่งของพวกมันผุสลายไปเกือบหมดแล้วของเหล่านั้นถูกโยนออกจากโต๊ะในทันที
ชายวันกลางคนสีหน้าใจเย็นหนักแน่นเขาประเมินโดยแทบไม่ต้องก้มหน้ามอง เขาเพียงใช้ฝ่ามือเลื่อนผ่านสิ่งของบนโต๊ะ
“ชิ้นแรกเสียคุณสมบัติวิญญาณไปหมดแล้วประเมินราคาไม่ได้…”
เขาประกาศ
ปั้ง!
เขาแตะสิ่งของที่เสียหายอย่างรุนแรงมันพุ่งกระจายหายไป การกระทำของเขาหยาบคายอย่างมาก เพราะทุกคนคือศิษย์ใน แต่ชายคนนี้ก็ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างเย็นชา!
สีหน้าของหญิงสาวเริ่มถอดสีทุกคนที่มากับนางอับอาย
“ต่อไปกระบี่กระหายเลือด มันพังแล้ว ไร้ประโยชน์…”
เขาประกาศ
“ชิ้นที่สามคือก็ใช้ไม่ได้ชิ้นที่สี่พอมีค่า…อืม…สามพันคะแนน…”
สีหน้าของศิษย์ในดีขึ้นเมื่อถูกประเมินทั้งหมดก็พบว่ามีสี่ชิ้นที่แลกเป็นคะแนนได้ พวกเขาได้กลับไปหนึ่งหมื่นสองพันคะแนน มันเป็นจำนวนมากทีเดียว!
“เอาคะแนนของเจ้าไป”
ชายวัยกลางคนให้คะแนนกับนาง
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”
สาวยิ้มหวานขอบคุณเขา
หลังจากพูดจบตอนนั้นนางกำลังจะหันหลังจากไป แต่ก็มีชายหนุ่มตัวสูงพูดกับนาง
“ศิษย์พี่ดูเหมือนว่าจะมีศิษย์นอกอยู่ที่นี่ด้วยนะ”
อีกหกคนมองตามเขาไปพบพวกซือหยูอย่างสงสัยพวกเขาพยักหน้าและยิ้มเบาๆให้ซือหยู จากนั้นนางได้ละสายตาไม่สนใจ
“ศิษย์พี่ไม่อยากรู้รึว่าศิษย์นอกจะได้กี่คะแนน?พวกเขาอาจจะหาได้มากกว่าเราก็ได้”
ชายหนุ่มคนเดิมพูดอีกครั้งคำพูดของเขาแฝงความยั่วยุเอาไว้
ซือหยูไม่สนใจชายหนุ่มนักแต่เมื่อเห็นสายตาของเขาก็ที่มีความเจ้าเล่ห์ ซือหยูก็คิดขึ้นมา…
เขาคือหนึ่งในคนที่เฉาเอวี่ยหมิงส่งมาเอาชีวิตข้ารึ?
หญิงสาวผู้นั้นดูจะสนใจขึ้นมาบ้างนางจึงยืนอยู่กับที่ เมื่อซือหยูเห็นว่าพวกนางอยากจะสังเกตพวกเขา ซือหยูก็ได้แต่เดินไปข้างหน้าและเปิดเผยทุกอย่างโดยมิอาจทำอะไรได้
“สี่ชิ้นงั้นรึ?”
สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อยแม้ฐานพลังของศิษย์นอกเหล่านี้จะอ่อนด้อยกว่าพวกนางอย่างมาก แต่พวกเขากลับขุดได้สี่ชิ้น!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซือหยูที่หยิบมาสองชิ้นฐานพลังของเขาอ่อนด้อยกว่าคนทั้งหมด แต่เขากลับได้สมบัติมากกว่าคนอื่นๆ
สองหนุ่มสาวในกลุ่มเจ็ดคนมองหน้ากันครู่หนึ่งความโลภปรากฏในดวงตา ถ้าหากซือหยูหาสมบัติสองชิ้นได้ด้วยตัวเอง พวกเขาก็รู้ว่าซือหยูจะต้องมีวิชาลับในการขุดภูเขาทมิฬแน่!
“แส้กระดูกขาว!ดี ข้าจะให้เจ้าสามพันคะแนน”
ชายวัยกลางคนประเมินอย่างใจเย็น
“วัชระ!ดี….สามพันคะแนน!”
ชายวัยกลางคนยังคงประเมินต่อไป
จากนั้นกลองหนังมนุษญ์ของซือหยูก็ถูกประเมิน
“ดี!ข้าให้เจ้าสามพันคะแนน”
สุดท้ายเมื่อเลื่อนมือไปหากระบี่ เขาก็หยุดลง เมื่อมองอย่างละเอียด ความตกตะลึงก็ปรากฏบนใบหน้าใจเย็น เขายิ้มมุมปาก
“ในที่สุดก็มีคนขุดกระบี่นี้ขึ้นมาได้แล้วสินะ!”
เขาเงยหน้ามองซือหยูและทำสิ่งที่มักจะไม่ทำเขาพยักหน้า
“ไม่เลวเลย!ครั้งหนึ่งมันเคยตระการตานัก ข้าจะให้เจ้าสี่พันคะแนน”
สีหน้าที่แตกต่างกันออกไปของผู้ประเมินทำให้เหล่าศิษย์ในอิจฉาซือหยูเขาโชคดีจริงๆที่หาสมบัติได้สองชิ้น!
แต่จากนั้นมาชายวัยกลางคนก็พูดสิ่งที่ทำให้ทุกคนตาค้าง
“เอาอีกห้าชิ้นมาแลกด้วยสิ”
คำพูดของเขาทำให้ซือหยูสั่นไปทั้งตัวเขาไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น เขามิได้หยิบสมบัติอีกห้าชิ้นออกมาเพราะไม่อยากจะเป็นจุดสนใจ แต่ชายผู้นี้กลับรู้ได้เพียงการเหลือบมองครั้งเดียว!
เขาแอบดูภายในแหวนมิติของข้าได้ยังไง?ซือหยูมิอาจเข้าใจได้แม้จะครุ่นคิดอยู่นาน แต่เหล่าศิษย์ในนั้นตกตะลึงยิ่งกว่าเขา!
“เจ้ายังมีอีกห้าชิ้นเรอะ?”
กงซุนหวูซื่อเบิกตากว้างนางถามด้วยความตกใจ
แม้แต่ไป่ชานเหลียงกับเทียนเหรินเหยาก็ตกตะลึงและปิงหวูชิงก็หันไปมองซือหยูหลายครั้ง
“บ้าไปแล้ว!”
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าซือหยูหาสมบัติเจอเป็นจำนวนมากได้อย่างไรซือหยูแววตาว่างเปล่าก่อนจะมองชายวัยกลางคนอย่างลึกซึ้ง เขาหยิบสมบัติอีกห้าชิ้นออกมา สองชิ้นเป็นสมบัติวิเศษของภูติผี ส่วนอีกสามชิ้นเป็นสมบัติของมนุษย์
หญิงสาวตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าสมบัติห้าชิ้นหลังเป็นสมบัติที่อยู่ในสภาพดีไม่มีชิ้นไหนเลยที่ผุกร่อน!
เขาทำได้ยังไง?คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจทุกคน ไม่มีใครเลยที่ใจเย็นลงได้แม้จะผ่านไปนาน
ชายวัยกลางคนตาลุกวาวเขาหัวเราะเบาๆและกล่าวชม
“ดีมาก!ดีเหลือเกิน มิใช่ว่าข้าไม่เคยเห็นคนโชคดีมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนอย่างเจ้า เจอสมบัติเจ็ดชิ้นในวันเดียว!”
ชายวัยกลางคนเริ่มประเมินทีละชิ้นเขาประกาศว่าทุกชิ้นตีราคาได้ทั้งหมด สมบัติของภูติผีสองชิ้นนั้นมีค่าหกพันคะแนน สมบัติของมนุษย์มิได้พิเศษนักจึงมีราคาต่ำกว่า มันมีค่าเพียงห้าร้อยคะแนน รวมกันแล้วเขาได้ไปหกพันห้าร้อยคะแนน
ถ้าหากรวมเจ็ดพันคะแนนที่เขาได้ก่อนหน้าคะแนนที่ซือหยูได้ในวันนี้จะเท่ากับหนึ่งหมื่นสามพันคะแนน! คะแนนจำนวนมากเช่นนี้ทำให้ทุกคนตาแดงก่ำด้วยความอิจฉา!
“เขาไม่โชคดีไปหน่อยรึ?”
หญิงสาวมองซือหยูด้วยความสงสัยนางไม่พอใจที่เห็นว่าการทำงานหนักของพวกนางมิสามารถเทียบได้กับภูติชั้นต้นแค่คนเดียว!
“รีบไปแล้วเร่งค้นหาในวันพรุ่งนี้เถอะ”
หญิงสาวกระทืบเท้ากัดฟันเตรียมจะแข่งขันในวันพรุ่งนี้
หลังจากกลับมาถึงค่ายพักอสูรน้อยได้กอดซือหยูจนแน่น นางมองซือหยูด้วยดวงตาชุ่มน้ำน่าสงสาร
“พี่หยูเซี่ยนได้โปรดแบ่งคะแนนให้หวูซื่อที่น่าสงสารผู้นี้ด้วยเถิด ข้าให้หนึ่งหมื่นคะแนนสุดท้ายกับพี่เพื่อที่จะได้มาที่นี่นะ”
ซือหยูสะบัดตัวแต่อสูรน้อยก็ยังกอดเขาไม่ปล่อย เมื่อมิอาจปล่อยนางได้ กะเทยก็ใช้โอกาสนี้เดินเข้ามาหวังจะกอดซือหยูเช่นกัน
ซือหยูขนลุกเขารีบยอมแพ้อย่างรวดเร็ว
“ก็ได้ถ้าข้าขุดสมบัติภูติผีได้มากพอในวันพรุ่งนี้ ข้าจะแบ่งให้เจ้าหนึ่งชิ้น”
“ขอบคุณพี่หยูเซี่ยน!ข้ารักพี่ที่สุดเลย”
อสูรน้อยยิ้มอย่างมีเลศนัย
“แล้วข้าล่ะ?”
กะเทยถามซือหยูอย่างโศกเศร้า
“เจ้ายินดีจะช่วยจิ้งจอกน้อยหวูซื่อแต่เจ้าไม่เป็นห่วงข้าที่รู้สึกลึกซึ้งกับเจ้าเลยหรือ?”
ซือหยูเตะเขาด้วยความโกรธ
“ไสหัวไปซะ!”
ส่วนไป่ชานเหลียงเขาได้สมบัติมาแล้วในวันนี้ มันคงจะน่าอายหากเรียกร้องเพิ่ม ปิงหวูชิงมองกงซุนหวูซื่อกับซือหยูเงียบๆ
นางเป็นสตรีของเขาในนามเรื่องนี้ทุกคนในตำหนักรู้ดี แต่ซือหยูกลับให้สัญญากับกงซุนหวูซื่อและไม่ให้อะไรกับนางเลย แต่เมื่อนางไม่ได้คิดอะไรกับซือหยู นางจึงไม่คิดอะไรนัก
เมื่อทุกคนใจเย็นหมดแล้วซือหยูก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีคนหายไปเขาเลิกคิ้วและถามทันที
“เสวี่ยฉีไปไหนล่ะ?นางไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกรึ?”
เป็นเวลาเดียวกับที่อสูรทั้งสี่รู้สึกตัวว่านางไม่อยู่
“เป้าหมายของนางต่างจากพวกเรานางมาที่นี่เพื่อสืบเรื่องคนหายสาบสูญ นางน่าจะไปหาเบาะแสอยู่นะ”
เทียนเหรินเหยาคาดเดา
ไป่ชานเหลียชักสีหน้าเขาหยิบดินขึ้นมาดมก่อนจะพูด
“มีสัตว์ประหลาดมาที่นี่ข้าได้กลิ่นพิษในดิน มันคือพิษเดียวกับพิษกัดกร่อยที่หลงเหลือในภูเขาสิบแปดลูก”
สีหน้าของทุกคนหม่นหมองเมื่อได้ฟังพวกเขารู้ว่าเสวี่ยฉีอาจจะตกอยู่ในอันตราย
“แยกกันไปตามหานางเถอะ”
ซือหยูใจสั่นเขาเสนอความคิดกับกลุ่ม
ปิงหวูชิงมองซือหยูและถาม
“เจ้าสนิทกับนางรึ?หากสัตว์ประหลาดลึกลับมาจับตัวเสวี่ยฉีได้ มันก็ต้องแข็งแกร่ง เจ้าจะเป็นอันตรายเช่นกันถ้าเจอกับมันคนเดียว”
สิ่งที่นางไม่ได้พูดออกมาก็คือ…ไม่จำเป็นที่ซือหยูจะต้องไปตามหาเสวี่ยฉี
ซือหยูผิดหวังเขาหันไปมองนางและพูดอย่างใจเย็น
“แม้จะไม่คิดถึงเรื่องฐานะของนางที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักแต่นางก็เดินทางมากับเรา ถ้าวันนี้ข้าทิ้งและไม่สนใจนาง เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าก็ทิ้งเจ้าได้สินะ? นี่รึการเป็นกลุ่มที่พวกเจ้าเข้าใจ? เช่นนั้นไม่ดีกว่ารึที่พวกเราจะแยกกันไปตามทางของตัวเอง?”
เสวี่ยฉีนั้นมีนิสัยที่ค่อนข้างดีนางถึงกับเตือนซือหยูให้ระวังศิษย์ในสองคนที่ตระกูลเฉาส่งมา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้ซือหยูต้องทิ้งนางในตอนนี้
ปิงหวูชิงตกใจกับคำพูดของซือหยูเพราะหายากที่จะมีคนกล้าพูดโหดร้ายกับนางแบบนั้น นางหงุดหงิดและถอนหายใจแรง
“ข้าพูดตอนไหนว่าข้าไม่อยากไป?ข้าก็แค่บอกให้เจ้าอยู่ที่นี่โดยไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น”
หลังจากพูดจบนางสาวเท้าเปิดกระโจมและรีบบินออกไป
ไป่ชานเหลียงถอนหายใจ
“ศิษย์น้องเข้าใจนางผิดแล้วถึงนางจะเย็นชากับผู้คน นางก็มิได้ไร้หัวใจ ต่อให้เจ้าไม่พูด นางก็จะไปตามหาเสวี่ยฉีอยู่แล้ว”
ข้าเข้าใจนางผิดงั้นรึ?ซือหยูรู้สึกผิดในเรื่องนี้
“เอาล่ะพวกเราก็ไปด้วยเถอะ”
ไป่ชานเหลียงกล่าวและบินออกไปในไม่นาน
กงซุนหวูซื่อกับเทียนเหรินเหยาตามเขาไปมีเพียงซือหยูกับจื่อเสวียนที่ยังอยู่
“เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่?”
จื่อเสวียนถาม
ซือหยูพยักหน้าจื่อเสวียนหลบหน้าไปที่ด้านข้าง
“ก็ได้แต่ข้าจะเผยฐานพลังไม่ได้ มีสองคนที่มีฐานพลังสูงในตำหนักแห่งนี้ เป็นไปได้ที่พวกเขาจะเจอตัวข้า”
ซือหยูรู้สึกขอบคุณนาง
“เจ้าทำสิ่งที่ทำได้ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของข้า”
หลังจากจื่อเสวียนจากไปซือหยูก็เรียกตัวจางตี๋เก้อออกมา
“เจ้าเจออะไรหรือไม่?”
ซือหยูรีบถามนาง
จางตี๋เก้อดมรอบๆพร้อมกับชักสีหน้า
“นายท่านไม่ผิดแน่ นี่เป็นพลังภูติผีเหมือนกับพลังที่ข้าเจอเมื่อวาน ถึงมันจะเบาบาง ข้าก็สัมผัสได้ มันคือตนเดียวกัน”
ภูติผี!ซือหยูตกใจมาก เขาไม่คิดเลยว่าภูติผีตนนั้นจะจับเสวี่ยฉีไปแล้ว
“เจ้าจับเส้นทางได้หรือไม่?”
ซือหยูรีบถาม
จางตี๋เก้อขมวดคิ้ว
“มันผ่านไปครู่หนึ่งแล้วข้าไม่แน่ใจว่าเขาทิ้งพลังไว้แค่ไหน แต่ข้าจะพยายาม”
ซือหยูใจเต้นแรง
“ดีรีบตามไปกันเถอะ”
เส้นทางที่จางตี๋เก้อบอกนั้นคือทิศทางไปเขาสิบแปดลูกซือหยูใจหายเล็กๆเมื่อมองภูเขาทมิฬ เขาอาจจะต้องเปิดเผยสมบัติหรือวิชาเพื่อภารกิจครั้งนี้!
DND.810 – ภูติผีที่ยังเหลือรอด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามจางตี๋เก้อได้ติดตามร่องรอยของพลังไปยังส่วนลึกของเขาสิบแปดลูก นางหยุดกลางทางหลายครั้ง นางเกือบจะหลุดจากเส้นทางไปแล้ว
แต่เมื่อไปถึงภูเขาลูกหนึ่งนางก็หยุดเคลื่อนไหว
“เป็นไปไม่ได้ร่องรอยถูกขจัดไปหมดแล้ว ข้าตามต่อไม่ได้”
ซือหยูมองรอบๆและก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าภูเขาทมิฬตรงหน้าเขาคือภูเขาลูกเดียวกับที่เขาเป็นคนขุดค้น
“ไม่มีเหลือแม้แต่น้อยเลยรึ?”
ซือหยูใจหายเมื่อหาเบาะแสต่อไม่ได้
จางตี๋เก้อพยักหน้า
“ไม่เลยข้าสัมผัสร่องรอยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ตลอดทางข้าสัมผัสพลังได้อ่อนๆ แต่พอมาถึงที่นี่ มันก็หายไปหมดเลย”
ซือหยูเดินรอบๆภูเขาและสังเกตอย่างละเอียดแต่เขาก็ไม่เจอร่องรอยของเสวี่ยฉีเลย
พวกเขาค้นหาไปจนเกือบหมดคืนหลังจากกลับมาที่ค่าย ทุกคนก็กลับมาโดยไร้ซึ่งข้อมูลใด ดูเหมือนว่าเสวี่ยฉีจะเป็นอันตรายเข้าจริงๆ
“อย่าห่วงไปเลย!เสวี่ยฉีเป็นศิษย์ใน นางเป็นจ้าวเทวะ นางมีวิธีเอาตัวรอดอยู่แล้ว ต่อให้ถูกลักพาตัว ชีวิตนางก็ไม่ควรจะเป็นอันตราย แต่พวกเราควรแจ้งเจ้าตำหนักและขอกำลังเสริมมาช่วยตามหานาง มันจะดีกว่าหาเองโดยไร้เป้าหมายแบบนี้”
ไป่ชานเหลียงพยายามปลอบซือหยู
ซึ่งในความจริงที่เป็นทุกคนที่นี่รู้ว่าโอกาสที่นางจะรอดนั้นน้อยมาก หากศัตรูมาลักพาตัวเสวี่ยฉีได้ในความเงียบแบบนี้ก็สื่อถึงพลังที่เหนือกว่ามาก เสวี่ยฉีไม่น่าจะปกป้องตัวเองได้เลย
ซือหยูฝืนยิ้ม
“อืม…เราได้แต่คิดในแง่ดีนั่นแหละข้าหวังว่านางจะไม่เป็นอะไรจนกว่าจะได้เจอตัวนาง”
สิ่งที่ซือหยูทำได้ในตอนนี้ก็คือยอมรับโชคชะตาหลังจากที่พวกเขารายงานเรื่องนี้ไปแล้ว ตำหนักวิญญาณจรัสก็แตกตื่น
มิใช่ความลับที่เขาสิบแปดลูกจะมีคนหายตัวไปอยู่เป็นระยะๆและนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าจะรับผิดชอบ
ในคืนเดียวกันนั้นเจ้าตำหนักส่งคนร้อยคนไปค้นหาทั่วเขาสิบแปดลูก เขาถึงกับไปที่นั่นด้วยตัวเอง
เขาสิบแปดลูกส่องแสงสว่างด้วยคบเพลิงตลอดคืนจนดูเหมือนเวลากลางวันเสียงผู้คนค้นหาดังทั้งคืน พวกเขาค้นหาจนถึงรุ่งสางแต่ก็ไม่พบเสวี่ยฉี
ทุกคนสีหน้าสิ้นหวังพวกเขาเหนื่อยล้าและหวาดกลัวโดยเฉพาะคนที่ตำหนักส่งมาให้อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน พวกเขากระวนกระวายกว่าทุกคน
หลายคนหายตัวไปในครึ่งปีที่ผ่านมาและพวกเขายังหาเจอหรือยืนยันไม่ได้ว่าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เพราะไร้ซึ่งซากศพ เรื่องนี้ทำให้พวกเขาหมดกำลังใจ ไม่มีใครมีกระจิตกระใจทำงาน
“ทุกท่านมีวิญญาณร้ายร่อนเร่อยู่ในเขาวิญญาณจรัส ข้าแจ้งตำหนักในไปแล้ว ศิษย์ชั้นสูงกำลังจะมาที่นี่ในอีกสามวัน แม้แต่เจ้าตำหนักเองก็อาจจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ฉะนั้นโปรดใจเย็นไว้”
เจ้าตำหนักกล่าว
หลังจากได้ฟังข่าวนี้พวกเขาก็สงสัย…เจ้าตำหนักม่อเทียนฉวนแห่งตำหนักโลหิตจะมาที่นี่เองจริงๆงั้นรึ?
ทุกคนที่ไร้กระจิตกระใจเริ่มใจชื้นขึ้นมาอีกครั้งราวกับพวกเขาโดนฉีดเลือดไก่เข้าไปในร่าง!
เพราะม่อเทียนฉวนคือบุคคลในตำนานของดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดฐานพลังอสูรเนรมิตรของเขาทำให้ทุกคนก้มหน้าด้วยความกลัว ถ้าหากเขาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาก็จะหาคนที่อยู่เบื้องหลังได้แน่!
“ส่วนการหายตัวไปของเสวี่ยฉีพวกเจ้าสบายใจได้ ในตอนที่ข้าติดต่อตำหนักใน ข้ารู้ว่าตราชีวิตของนางยังทำงาน! นั่นหมายความว่านางยังมีชีวิตอยู่และไม่เป็นอันตราย หากเจ้าตำหนักมาที่นี่เมื่อใด นางจะถูกช่วยออกมาได้แน่!”
เจ้าตำหนักบอกข่าวดีกับพวกซือหยู
ซือหยูโล่งใจเล็กน้อย…นางยังมีชีวิตอยู่สินะ?
ตราชีวิตเป็นตราที่จะมีเฉพาะกับศิษย์ในเท่านั้นศิษย์ในเหล่านี้คือกลุ่มคนที่ตำหนักถือว่าคู่ควรแก่การปกป้อง ดังนั้นตำหนักจึงห่วงความปลอดภัยของแต่ละคนอย่างมาก
ทางเดียวที่จะรับรู้ได้ว่าศิษย์กำลังเป็นอย่างไรก็คือการมองผ่านตราชีวิตถ้าหากหยดโลหิตลงไปในตราพิเศษอันนี้ มันก็จะกลายเป็นตราชีวิตของพวกเขา
จากนั้นถ้าหากศิษย์คนนั้นตายตราชีวิตก็จะสัมผัสได้และแตกสลายไปเอง ดังนั้นถ้าตราชีวิตยังอยู่ดี นั่นก็หมายความว่าศิษย์คนนั้นมีชีวิตอยู่!
ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าเสวี่ยฉียังไม่ตายตอนนี้เขาก็เพียงแค่รอให้เจ้าตำหนักมาจัดการวิญญาณร้ายเท่านั้น
ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนเองและขุดค้นภูเขาทมิฬต่อไปซือหยูเองก็เช่นกัน เขาขุดค้นภูเขามาหนึ่งในสามแล้ว หากเขาขุดต่อไปในวันนี้ เขาก็จะขุดได้อีกหนึ่งในสาม
ความเร็วของซือหยูในระดับนี้นับว่าน่ากลัวและน่าตกตะลึง!
และวันนี้หลังจากที่ซือหยูขุดค้นทั้งวัน เขาก็ได้สมบัติภูติผีมาห้าชิ้นกับสมบัติของมนุษย์อีกหกชิ้น เขาอาจจะแลกเป็นหนึ่งหมื่นหกพันคะแนนได้! ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปและถ้าเขาได้ขุดค้นในวันพรุ่งนี้ต่อ เขาก็อาจจะได้อีกหนึ่งหมื่นหกพันคะแนน สุดท้ายเขาจะมีคะแนนมากกว่าแสนคะแนนเมื่อรวมทั้งหมด นั่นก็มากพอแล้วที่เขาจะได้เพลงกระบี่เก้าสุริยามาครอง!
สวบ!
ในตอนนั้นจางตี๋เก้อโผล่มาจากโคลน ใบหน้านางยินดีเป็นอย่างมาก รังสีพลังของนางแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าอีกไม่นานนางจะได้เป็นภูติระดับสาม นางอาจจะเลื่อนระดับพลังได้ง่ายในวันพรุ่งนี้!
“ครั้งนี้เจ้าได้อะไรเยอะเหมือนกันนะจางตี๋เก้อ!”
ซือหยูพูดหลังจากมองดูนาง
จางตี๋เก้อใจสั่นนางรีบตอบ
“นายท่านทุกอย่างที่ข้าได้ก็เป็นเพราะนายท่าน”
นางหวาดกลัวซือหยูเพราะนางถูกเขากักขังและทรมานมาเป็นเวลานานนั่นทำให้นางหวาดกลัวที่จะหักหลังเขาอีกครั้ง
“ดีเจ้าเจออะไรในส่วนสุดท้ายหรือไม่?”
ซือหยูถาม
ถึงจางตี๋เก้อจะสัมผัสภูติผีได้ดีแต่สัมผัสของนางก็มีระยะจำกัด ยิ่งนางเข้าใกล้เท่าใดนางก็ยิ่งสัมผัสได้มากเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ซือหยูที่ขุดภูเขาเกือบหมดลูกจะสงสัยที่มีสิ่งใดเหลืออยู่บ้าง
จางตี๋เก้อพูดด้วยความสับสน “นายท่านรังสีพลังภูติที่ข้าสัมผัสได้ไม่ต่างกับเมื่อวาน มีพลังหลงเหลืออยู่ราวสิบแห่ง แล้วก็มีบางอย่างแปลกๆที่ใต้ภูเขา”
ซือหยูเลิกคิ้ว
“ทำไมเจ้าถึงคิดว่ามันประหลาดล่ะ?”
จางตี๋เก้อตอบ
“เอ่อ…ข้าไม่ได้สัมผัสมันเมื่อวานเพราะมันยังไกลเกินไปข้าเพิ่งจะสัมผัสได้เมื่อไม่นาน ดูเหมือนว่าจะมีพื้นที่ลับใต้ภูเขาลูกนี้ มันมีพลังภูติผีอยู่อย่างหนาแน่น”
มีสมบัติวิเศษของภูติผีฝังอยู่ใต้ภูเขาหรือนี่?ซือหยูตาเป็นประกาย
“พักก่อนที่เจ้าจะดูดซับต่อไปเถอะตอนนี้ข้าจะดูว่าข้าขุดอุโมงค์เข้าไปข้างในได้หรือไม่”
ซือหยูรู้ว่าถ้าหากเขารอช้าสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้ ผู้คนสงสัยอยู่แล้วที่เขาขุดสมบัติได้หลายชิ้น และคืนนี้ หลายคนก็จะมาที่ภูเขาของซือหยูเพื่อตรวจสอบ พวกเขาอาจจะไปใต้ภูเขาก่อนเขา นั่นจะทำให้ซือหยูพลาดโอกาสทอง
จางตี๋เก้อก็สนใจเรื่องพื้นที่ลึกลับนี้ไม่ต่างกับซือหยู
“นายท่านข้าจะดูดซับแก่นโลหิตส่วนหนึ่งและทำให้มันเป็นโคลนให้”
หลังจากห้านาทีจางตี๋เก้อได้ขุดลงไปใต้พื้น นางไม่ต้องดูดซับแก่นโลหิตทั้งหมดแต่เพียงแค่ทำให้สร้างอุโมงค์เล็กๆจนคนคนเดียวผ่านได้ นางไม่ต้องดูดซับเยอะเลย!
หลังจากสองชั่วยามผ่านไปท้องฟ้าเริ่มมืด ซือหยูได้สร้างอุโมงค์ไปยังใต้เขาสำเร็จด้วยการช่วยเหลือของจางตี๋เก้อ ซือหยูขุดลงไปถึงใต้ภูเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงใต้เขาสุดก็พบว่ามีถ้ำธรรมชาติอยู่เบื้องล่าง!
ถ้ำนี้กว้างใหญ่และมีพื้นที่ดำสนิทมากมายมันซับซ้อนที่จะตรวจสอบเส้นทาง แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเข้ามาถึงตรงๆ!
ซือหยูตกใจกับสิ่งที่ค้นพบดูจากอาณาเขตของถ้ำนี้ มันดูเหมือนว่าจะทอดยาวตลอดทั้งภูเขาสิบแปดลูก! ถ้าหากมีคนธรรมดามาถึงที่นี่ คนผู้นั้นก็อาจจะต้องเดินทางอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้หลง แต่เมื่อซือหยูมีเนตรวิญญาณ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร
ดวงตาของเขาเปล่งแสงขาวทั้งถ้ำโปร่งใส เขามองทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน ซือหยูมองรอบๆและพบว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย และดูเหมือนว่ามันจะเป็นถ้ำธรรมชาติที่อยู่มาหลายปีแล้ว
แต่จู่ๆเขาก็เบิกตากว้างดวงตาที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเห็นประตูศิลาขนาดใหญ่และมิอาจมองทะลุได้ มันสามารถแบ่งแยกพลังจิตวิญญาณจากภายนอก ประตูยักษ์นี้มิใช่ของธรรมดาๆแน่นอน คนที่สร้างมันจะต้องน่าทึ่ง!
เขาใจนสั่นเล็กน้อยแต่เขาก็ลังเลเพียงครู่เดียวก่อนจะเริ่มเดินไปหาประตู
หลังจากเดินมาครึ่งชั่วยามซือหยูได้มาถึงประตูศิลาขนาดยักษ์ ในตอนนั้น จางตี๋เก้อตาลุกวาว
“โอ้ใช่แล้ว! พลังภูติที่แข็งแกร่งที่ข้าสัมผัสได้มาจากประตูบานนี้!”
นางค่อนข้างตจื่นเต้น
ซือหยูลูบคางตรวจสอบประตูศิลามันสูงพันศอกและทำจากวัตถุดิบสีดำ มันทำให้รู้สึกขนลุก
ซือหยูสัมผัสรังสีพลังของภูติผีที่แผ่ออกมาจากประตูได้เช่นกันมันทำให้เจาสงสัย…ทำไมถึงมีคนมาสร้างประตูในถ้ำธรรมชาติแห่งนี้กัน?
ซือหยูเก็บความสงสัยไว้ในใจพร้อมก้าวไปข้างหน้าหลังจากมองดูประตูอย่างถ้วนถี่แล้วก็พบว่าประตูมิได้ปิดสนิท มีช่องว่างเผยให้เห็นเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันจะถูกเปิดเมื่อเร็วๆนี้
เมื่อมองผ่านช่องว่างไปสิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาก็ทำให้เขาตกตะลึง เพราะเขาได้เป็นเสวี่ยฉีที่หายตัวไป!
เสวี่ยฉีถูกขังอยู่ในแสงสีโลหิตทรงกลมและมีเถาวัลย์ขึงงเอาไว้เส้นเถาวัลย์เหล่านั้นพยายามเข้าถึงตัวเสวี่ยฉี แต่โชคดีที่นางสวมสร้อยคอที่มีลูกปัดสีอำพันอยู่ มันทำให้เถาวัลย์ไม่เข้าถึงตัวนางได้
ดวงตาของเสวี่ยฉีปิดแน่นนางขมวดคิ้วราวกับกำลังขัดขืนต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่าง
ซือหยูเห็นกองกระดูกถัดจากเงาของเสวี่ยฉีเขาเดาได้ว่าเจ้าของกระดูกเหล่านั้นเพิ่งจะตายเมื่อไม่นาน กระดูกที่เก่าที่สุดที่เขาเห็นมีอายุประมาณครึ่งปีจากวันที่เจ้าของตาย ส่วนที่ใหม่ที่สุดเพิ่งจะตายเมื่อไม่กี่วัน
เมื่อเขาคิดถึงการหายตัวไปของคนเมื่อครึ่งปีก่อนซือหยูก็ตัวสั่นเทิ้ม…มันคือฝีมือของภูติผีที่ร่อนเร่อยู่กับประตูนี้ไม่ผิดแน่!
ความรู้สึกถึงอันตรายเอ่อล้นในใจของซือหยูเขามองซอกเล็กซอกน้อยในห้อง หลังจากตั้งใจมองอย่างละเอียดจึงพบว่าโครงสร้างในห้องนี้คล้ายกับแท่นบูชา
สิ่งรอบข้างจมลงไปแท่นศิลาผุดขึ้นมาตรงกลาง มีขั้นบันไดให้เดินขึ้นไปอีกด้วย มีลวดลายประหลายเขียนเอาไว้จนทั่ว ลวดลายเหล่านั้นบิดเบี้ยวและดูไม่เป็นภาษาของมนุษย์เลย
แต่แค่ซือหยูเหลือบมองครั้งเดียวเขาก็จำมันได้
“ภาษาภูติผี!”
ลวดลายบิดเบี้ยวเหล่านั้นคือภาษาภูติผีที่ตรงกับหยุนย่าสีให้เขาศึกษาซือหยูอ่านมันได้ทันที
“ค่ายกลแยกวิญญาณลวง!”
ซือหยูอุทานขึ้นมาสิ่งนี้คงจะเป็นวิชาลับที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ
แท่นศิลาอาจจะเป็นแท่นบูชาสำหรับใช้ค่ายกลมันค่อนข้างเก่าแก่ บางทีอาจจะมีอายุร้อยปี! ในตอนนั้นเอง พลังภูติผีที่ร่อนเร่อยู่ด้านบนและสายลมชั่วร้ายก็พัดเข้ามา
ซือหยูเบิกตากว้างในทันทีเมื่อเห็นคนในพลังภูติผีที่สั่นสะเทือนคนผู้นั้นอยู่ที่กลางแท่นบูชา
ซือหยูไม่เห็นใบหน้าที่ปิดบังด้วยพลังภูติผีแต่เขาสัมผัสพลังที่แข็งแกร่งได้จากชายคนนั้น ซือหยูหน้าถอดสี พลังของเขาแข็งแกร่งจนเกินไป อาจจะอยู่ในระดับของจ้าวเทวะชั้นกลาง
จางตี๋เก้อตัวสั่นนางหน้าซีดและพูดด้วยความกลัว
“นายท่านต้องหนี!นั่นอาจจะเป็นภูติผีอสูรเนรมิตรที่ตายในอดีต ตอนนี้มันกำลังใช้โลหิตของจ้าวเทวะมนุษย์เพื่อเซ่นใช้ค่ายกลแยกวิญญาณลวงที่เสียหายในร้อยปีก่อน!”
นางพูดต่อ
“พลังของเขาในตอนนี้เป็นยแค่จ้าวเทวะชั้นกลางแต่เขากำลังจะเลื่อนระดับเป็นจ้าวเทวะชั้นสูงในอีกไม่นานแล้ว!”