The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 817-818
DND.817 – หลานหลงผู้ลึกลับ
ความชิงชังส่งผ่านทางคำพูดของเจ้าตำหนักจาง
“ร้อยปีก่อนข้าถูกมนุษย์รุมทำร้าย ข้าตายด้วยความโศกเศร้า เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณของข้าที่ซ่อนอยู่ในโลหิตซ่อนลงไปพื้นดิน ข้าต้องสะสมพลังมาถึงร้อยปีกว่าที่วิญญาณจะฟื้นฟู”
“ครึ่งปีก่อนข้าได้ร่างกายนี้มาโดยบังเอิญ ข้าใช้ร่างนี้ล่ามนุษย์ ใช้โลหิตกับวิญญาณของมันฟื้นฟูพลัง แต่ตอนที่ข้าจะทำสำเร็จ ตำหนักโลหิตก็หันมาสนใจเรื่องนี้เสียก่อน”
เขามองเสวี่ยฉีและพูดอย่างเยือกเย็น
“ไม่เป็นไรถ้ามีศิษย์ในอย่างเจ้ามาสืบเรื่องนี้แต่ถ้าหากเจ้าตำหนักโลหิตมาเอง ข้าก็ต้องวางแผนใหม่ ข้าเลยใช้จิวอังเป็นแพะรับบาป จิวอังเป็นคนโลภกระหายในพลัง พอกลืนเลือดของข้าไป มันก็กลายเป็นผี!”
เขายิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต
“ข้าวางแผนจะใส่ร้ายมันให้ตำหนักโลหิตคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในครึ่งปีเป็นฝีมือจิวอัง วิกฤติที่ข้าต้องเจอจะได้ผ่านไปเสียที”
จากนั้นเขาส่ายหน้าและมองซือหยู
“แต่ใครจะไปคิดเล่า…เจ้ากลับเลี้ยงภูติผีตัวน้อยที่สัมผัสรังสีพลังของข้าได้จนเกือบจะเผยตัวข้า!”
ทุกคนตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดกลายเป็นว่าจิวอังที่จับตัวเสวี่ยฉีนั้นเป็นเพียงหมากที่เจ้าตำหนักจางวางเอาไว้! เขาอยากจะใช้เรื่องนี้เพื่อกำจัดความสงสัยของตำหนัก! แต่ซือหยูก็จบทุกสิ่งเมื่อเจอตัวตนที่แท้จริงของเขา เขานำมาบอกปิงหวูชิงและคนที่เหลือจนแผนของเขาเกือบพัง!
“พวกเจ้าทุกคนต้องถูกลงโทษ!”
เจ้าตำหนักจางใบหน้าโหดเหี้ยมขึ้น
เมื่อเขาพูดประโยคสุดท้ายซือหยูและคนรอบๆใจสั่น เพราะพวกเขากำลังจะโดนฆ่าปิดปาก!
ในจังหวะนั้นเองแววตาของปิงหวูชิงที่หยุดนิ่งอยู่ในพลังมิติเปล่งแสง
“กระบี่ตามหัวใจ!”
ปิงหวูชิงส่งเสียงเบาๆกระบี่ที่เอวของนางสั่นและส่งเสียง จากนั้นรังสีกระบี่อันเยือกเย็นก็ได้พุ่งออกมา
แสงกระบี่ของนางมีพลังที่ลึกลับมันบดขยี้มิติที่หยุดนิ่งให้แตกออก พลังกระบี่ยังไหลผ่านรอบๆและทำให้ซือหยูกับคนที่เหลือเป็นอิสระ
ซือหยูตกตะลึงเขาสงสัยว่ามันคือวิชาแบบใด พลังกระบี่ของนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจ้าวเทวะชั้นต้นเสียด้วย! แต่ก็สมกับเป็นปิงหวูชิง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอสูรทั้งสี่
เมื่อพลังที่แช่แข็งมิติถูกนางทำลายทั้งห้าก็รีบหนีไปคนละทิศละทาง อย่างน้อยพวกเขาก็มีโอกาสหนีรอดสักคน
“วิชากระบี่ของเจ้าหาได้ยากความสำเร็จของเจ้าน่าประทับใจ”
เจ้าตำหนักจางกล่าวชมเขายื่นมือขวาขึ้นมาและฟันมือลง
พลังมิติที่น่ากลัวพุ่งออกมาจากร่างของแต่ละคนมันกำลังจะฉีกร่างของพวกเขาจากภายใน!
สีหน้าของเสวี่ยฉีกับคนที่เหลือหวาดกลัวแม้เจ้าตำหนักจางจะยังไม่ฟื้นฟูฐานพลังอสูรเนรมิตรขึ้นมา เขาก็มีพลังของจ้าวเทวะชั้นสูง เขาจะเป็นอสูรเนรมิตรได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นพลังที่เขาครอบครองจึงมิใช่สิ่งที่พวกเขาจะเผชิญหน้าได้ก่อนที่พวกเขาจะตาย ซือหยูคิดอย่างหนัก…ข้าจะต้องเผยฐานะเรื่องการเป็นซือหยูในตอนนี้รึ?
เป็นเรื่องยากที่เขาจะต่อสู้กับเจ้าตำหนักจางแต่เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะสร้างวายุมิติพาทุกคนหนีออกไป แต่ถ้าเขาลงมือ ทุกคนก็จะรู้ว่าเขาไม่ใช่ซือหยูเซี่ยน นั่นหมายความว่าเขาจะอยู่ในตำหนักโลหิตไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อซือหยูกำลังจะเผยตัวนั้นเองก็มีเสียงอันเย็นชาดังมาจากที่ห่างไกล
“เจ้าแสดงตัวออกมาง่ายดายนักข้าประเมินเจ้าสูงเกินไปจริงๆ”
มีผนึกแบ่งแยกค่ายพักกับพื้นที่ภายนอกเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเสียงผู้อื่นผ่านเข้ามา สิ่งเดียวที่อธิบายได้ก็คือเจ้าของเสียงจะต้องมีฐานพลังสูงกว่าเจ้าตำหนักจาง!
“เจ้าเป็นใคร?”
เจ้าตำหนักจางตกใจมาก
ฉั่วะ!
มิติฉีกกระชากผนึกที่แบ่งแยกค่ายพักก็แตกสลายเพราะพลังที่น่ากลัวอย่างมาก พลังมิติในร่างกายซือหยูและคนที่เหลือหายไปในพริบตาราวกับถูกบางอย่างลบหายไป
ซือหยูกับคนอื่นๆเงยหน้าด้วยความสับสนพวกเขารู้ทันทีว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นใคร เขาคือชายในตำหนัก คนที่รับผิดชอบประเมินสมบัตินั่นเอง!
เขาสวมชุดสีน้ำเงินเขาคือคนที่สังเกตเห็นสมบัติเผ่าภูติผีในแหวนมิติของซือหยู ในตอนนั้นซือหยูตกใจมาก เขาสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมองเห็นภายในแหวนมิติของเขาได้
“หลานหลงเรอะ?”
เจ้าตำหนักจางตกใจ
“ทำไมเจ้าถึงมาซ่อนตัวอยู่ในตำหนักวิญญาณจรัสกัน?”
ความหวาดกลัวส่งผ่านทางเสียงเขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากันเลย เขาก็เป็นผู้ที่อยู่ในจุดสุดยอดของจ้าวเทวะ
“ข้าถูกสั่งให้จับตาดูเขาวิญญาณจรัสเจ้าคิดจริงหรือว่าตำหนักโลหิตจะสบายใจเพียงแค่ปล่อยให้เจ้าตำหนักคนเดียวจัดการโดยไม่ใช้วิธีอื่น?”
ชายวัยกลางคนชุดน้ำเงินตอบ
เขาคือหมากลับที่ตำหนักวางเอาไว้ในเขาวิญญาณจรัสเขารับผิดชอบจับตาดูเจ้าตำหนักทุกยุคทุกสมัย และหน้าที่พิเศษนี้เพิ่งจะบังเกิดผลประโยชน์ในครั้งนี้เอง
เจ้าตำหนักจางทั้งชิงชังและโศกเศร้าในจิตใจเขากำลังจะปิดปากพวกซือหยูได้อยู่แล้ว แต่หลานหลงยังมาปรากฏตัวในตอนนี้อีก! มีเพียงการสังหารทุกคนที่นี่เท่านั้นที่เขาจะขจัดปัญหาทั้งหมดได้!
ดูเหมือนว่าหลานหลงจะอ่านความคิดมันออก
“ข้าไม่เหมือนผู้เฒ่าในตำหนักหรอกนะเจ้าใช้โชคหมดแล้วถ้ามาเจอกับข้า!”
“ฝ่ามือเพลิงสวรรค์ห้าธาตุ!”
หลานหลงสีหน้าใจเย็นเพลิงที่มีพลังวิบัติสวรรค์ควบรวมอยู่ในดัชนีทั้งห้า
พรึ่บ!
เมื่อเขาขยับมือเพลิงทั้งห้าประสานกันดั่งมังกร มันพุ่งไปหาภูติผี
“วิบัติอัคคีของอสูรเนรมิตร!”
เจ้าตำหนักจางตะโกนด้วยความกลัวพลังภูติผีพวยพุ่งออกมาจากร่าง มันกลายเป็นเงาผีสูงสามสิบเมตรและเข้าปะทะกับเพลิง
แต่วิบัติอัคคีนั้นเป็นศัตรูกับพลังภูติผีอยู่แล้วเงาผีที่ปรากฏตัวขึ้นมาถูกเผาไหม้หายไปทันที เจ้าตำหนักจางที่ซ่อนอยู่ในเงาร่างกรีดร้องทุรนทุราย เขาบินกลับกระอักเลือดด้วยเพลิงที่มิอาจดับได้บนร่าง
เพียงการปะทะครั้งเดียวก็รู้ผลถึงพลังของทั้งคู่แทบจะเท่ากัน หลานหลงก็เหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตำหนักจางที่อยากจะสังหารหลานหลงไปด้วยเมื่อครู่ก่อนทำได้แค่หนี
ฟึ่บ!
เจ้าตำหนักจางจ้องซือหยูอย่างดุร้ายเขายื่นมือฉีกกระชากมิติและพยายามมหนี
“จะหนีรึ?”
หลานหลงดึงมิติอย่างเรียบเฉยเขาไล่ตามไป พวกเขาหายตัวไปในพริบตาเดียว
“นี่น่ะรึการต่อสู้ของกึ่งอสูรเนรมิตร?”
แววตาของเสวี่ยฉีเต็มไปด้วยความกลัว
เพราะการหลอมรวมเป็นหนึ่งกับโลกและใช้พลังมิตินั้นเป็นสิ่งที่มีแต่อสูรเนรมิตรเท่านั้นที่จะทำได้แต่ทั้งสองกลับใช้พลังแบบนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ ทั้งคู่ใกล้ขอบเขตอสูรเนรมิตรอย่างมาก มีเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นว่าเมื่อใดที่พวกเขาจะเลื่อนขอบเขต
“นี่มันอะไรกัน!หลานหลงคือใครกันแน่? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินล่ะว่าตำหนักโลหิตของเรามียอดฝีมือเช่นนั้น?”
ไป่ชานเหลียงพูดขึ้นมา
ซือหยูสับสนกับเรื่องนี้ไม่ต่างกับเขาแต่ซือหยูก็รู้อยู่ดีว่ามีอสูรเนรมิตรที่คอยจับตาดูอยู่แม้ตำหนักโลหิตจะประกาศกับโลกภายนอกว่าพวกเขามีม่อเทียนฉวนคนเดียวที่เป็นอสูรเนรมิตรก็ตาม ดังนั้นการปรากฏตัวของหลานหลงจึงไม่ทำให้ซือหยูตกใจมากนัก
ดูเหมือนว่าตำหนักโลหิตจะมีความลับมากมายซ่อนอยู่และเจ้าตำหนักจางก็คือภูติผีที่เหลือรอดตัวจริงที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในเขาวิญญาณจรัส
ซือหยูกับคนที่เหลือต้องผ่านการสอบสวนในวันเดียวกันเพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาถูกเปลี่ยนกลายเป็นภูติผีหรือไม่เคราะห์ดีที่มีเพียงจิวอังเท่านั้นที่โลภในพลังและกลายเป็นเครื่องมือของภูติผี!
กว่าหลานหลงจะกลับมาก็ตกเย็นแล้วเขามาพร้อมกับข่าวที่น่าผิดหวัง
ภูติผีอสูรเนรมิตรตนนั้นเจ้าเล่ห์เกินไปมันหนีรอดไปจากเขา แต่หลานหลงก็ทำให้มันบาดเจ็บได้ ฐานพลังของมันตกลงมาอยู่ที่จ้าวเทวะชั้นกลางแล้ว
ขณะนี้มันต้องฟื้นฐานพลังโดยการกลืนกินมนุษย์ มันจะกลายเป็นภัยร้ายแน่หากพวกเขาไม่สังหารมันในวันนี้! แต่ภารกิจล่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ซือหยูและคนที่เหลือถูกสั่งให้ทำ มันจะส่งให้ยอดฝีมือในตำหนักจัดการ
ขณะนี้ทุกคนในเขาวิญญาณจรัสมารวมตัวกัน หนึ่งในนั้นมีสีหน้าเยือกเย็น เขายืนข้างที่นั่งของเจ้าตำหนักจาง บอกได้เลยว่าเขาอยากจะได้ที่นั่งนั้นมาครอง
“พวกเจ้าคงจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่ตำหนักจะแต่งตั้งเจ้าตำหนักคนใหม่ ข้าจะจัดการตำหนักวิญญาณจรัสด้วยตัวเอง”
เขาประกาศ
ไม่มีใครต่อต้านในเรื่องนี้ไป่หยางกับคนอื่นๆยังคงตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าคนธรรมดาๆที่ทำหน้าที่ตรวจสอบสมบัติจะเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานที่เกือบจะเป็นอสูรเนรมิตรอยู่แล้ว!
“ประกาศคำสั่งข้าออกไปนับจากวันนี้ ทุกการขุดค้นจะต้องหยุดลงชั่วคราว ตำหนักจะส่งคนมาตรวจสอบทั้งเขาวิญญาณจรัสเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีภูติผีอยู่อีก”
หลังหลานหลงพูดจบทุกคนก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
เขาพูดต่อ
“และผู้ที่ทุ่มเทครั้งสำคัญในเวลานี้จะได้รับรางวัลอย่างงาม”
หลานหลงหันไปมองซือหยู
“เจ้าพบแท่นบูชาใต้ดินและเปิดเผยตัวตนของเจ้าตำหนักจางที่เป็นภูติผีที่เหลือรอดเป็นการกำจัดอันตรายของตำหนัก เจ้าจะได้รางวัลที่มากที่สุดเท่าที่เขาวิญญาณจรัสเคยจำหน่ายออกไป นั่นคือหนึ่งแสนคะแนน”
ทุกคนเงียบกริบแววตาร้อนฉ่าหันไปมองซือหยูราวกับจะเผาเขาทั้งเป็นด้วยความริษยา
ผู้เฒ่าจ้าวเทวะหลายคนไม่เคยได้รางวัลเช่นนี้มาก่อนและตอนนี้ศิษย์ธรรมดากลับได้มันไป! แต่ก็ไม่มีใครตั้งคำถามในเรื่องนี้เพราะซือหยูได้ทำประโยชน์ครั้งใหญ่โดยแท้จริง ถ้าหากไม่มีซือหยู ตอนนี้พวกเขาก็คงต้องอ้อนวอนขอความเมตตากับภูติผีอสูรเนรมิตร!
ถ้าแผนของภูติผีสำเร็จทุกคนในเขาวิญญาณจรัสคงจะตายกันหมดเป็นแน่ เมื่อคิดดังนี้แล้ว หนึ่งแสนคะแนนก็ดูจะน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ!
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”
ซือหยูดีใจตอนนี้ มิเพียงจะได้เพลงกระบี่เก้าสุริยา แต่เขายังได้วิชาระดับตำนานอีกวิชาเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย!
“เอาล่ะศิษย์ทุกคนกลับตำหนักเดี๋ยวนี้ ที่นี่ไม่ปลอดภัย”
หลังหลานหลงพูดจบเขาก็มองซือหยูหนึ่งครั้งและหันหลังเดินจากไป
DND.818 – โอสถระดับห้า
หลังจากกลับมายังที่พักหญิงสาวกลุ่มที่มากับคนตระกูลเฉามองซือหยูด้วยแววตาน่ารัก นางค่อนข้างจะอิจฉาในรางวัลที่เขาได้และพลางสงสัย…ใยเรื่องดีๆทุกอย่างต้องตกอยู่กับเขาเพียงคนเดียว แต่เรื่องร้ายๆกลับตกมาหาข้าเล่า?
นางยังหาคนสองคนที่หายไปไม่พบและถ้าหากนางเดาไม่ผิด ทั้งสองคงจะถูกภูติผีตนนั้นกลืนกินไปแล้ว! นางรู้ว่าทั้งสองเป็นคนจากส่วนสำคัญของสำนัก นางต้องเจอเรื่องยุ่งยากอีกเมื่อกลับไปในตำหนักและคนเหล่านั้นรู้ว่าทั้งสองหายไป!
นางที่คิดเช่นนี้ขมขื่นในใจแต่นางก็มิได้กล่าวเรื่องหนักใจออกมา นางเพียงแค่มองและกล่าวอำลากับซือหยูพร้อมนำคนที่เหลือกลับตำหนักโลหิต
“พวกเราก็ไปด้วยเถอะถ้าหากพวกผีแอบกลับมา ท่านหลงคงจะไม่มาช่วยเราอีกแน่…”
ไป่ชานเหลียงกล่าว
คนอื่นๆพยักหน้าพวกเขารู้ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย
แต่จู่ๆซือหยูก็พูดขึ้นมา
“ทุกท่านหนีไปก่อนได้เลยข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ อีกไม่กี่วันข้าจะกลับไปเอง”
ไป่ชานเหลียงขมวดคิ้ว…เขาอยู่ที่นี่คนเดียวจะยิ่งไม่เป็นอันตรายหรือ?เพราะผีอสูรเนรมิตรเกลียดซือหยูมาก!
แต่ซือหยูพูดออกมาทั้งๆที่รู้อยู่แล้วไป่ชานเหลียงจึงคิดว่าซือหยูมีแผนการของตัวเอง ไป่ชานเหลียงจึงไม่คิดจะเปลี่ยนใจซือหยู
จากนั้นพวกเขาก็ไปยังที่ประเมินสมบัติและแลกสิ่งที่ได้เป็นคะแนนครั้งนี้ทั้งสี่ได้สมบัติในจำนวนที่แตกต่างกัน ไป่ชานเหลียงกับเทียนเหรินเหยาได้สมบัติกึ่งวิญญาณของเผ่าผีมาคนละชิ้น
ส่วนปิงหวูชิงที่ไม่ได้อะไรในวันแรกแต่ครั้งนี้ นางได้ของสองสิ่งที่แลกได้หกพันคะแนน ส่วนคนสุดท้าย หน้านางแดงและกัดฟันแน่น
“น่าโมโหนัก!ทำไมข้าไม่ได้อะไรเลย?”
คนอื่นๆยิ้มเมื่อเห็นอสูรน้อยที่ไม่พอใจอสูรน้อยนั้นมักจะเล่นสนุกกับผู้คนเสมอ เห็นทีกรรมจะตามสนองนางเสียแล้ว!
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเองซือหยูโยนสมบัติกึ่งวิญญาณของเผ่าผีชิ้นหนึ่งให้นาง มันเป็นของที่เขาสัญญาว่าจะให้
อสูรน้อยตกใจมากรอยยิ้มเบ่งบานบนใบหน้าของนางอย่างรวดเร็ว
“พี่หยูเซี่ยนยอดที่สุดเลย!ข้ารักพี่ที่สุดเลยนะ!”
เมื่อนางพูดจบก็รีบไปแลกคะแนนอย่างเป็นสุขการเปลี่ยนอารมณ์ของนางนั้นกระทันหันจนราวกับเป็นคนละคน!
ไป่ชานเหลียงตากระตุกเบาๆ
“น้องซือเจ้าขุดมาได้มากมายนัก แต่พวกข้าคืนทุนไม่ได้ด้วยซ้ำ…”
พวกเขาจ่ายให้ซือหยูคนละหมื่นคะแนนแต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้มาแค่หกพันคะแนน กล่าวก็คือพวกเขาขาดทุนสี่พันคะแนน
“หึหึข้าไม่ได้มีมากหรอก…แค่สี่ห้าชิ้นเท่านั้น”
ซือหยูพูดและหันไปมองแหวนมิติของตน
ในตอนนั้นสมบัติหลอกสีมากกว่าสิบชิ้นได้ตกลงบนโต๊ะหิน หกชิ้นเป็นของเผ่ามนุษย์ที่มีค่าแค่หนึ่งพันแปดร้อยคะแนน ขณะที่อีกสี่ชิ้นเป็นของเผ่าผี เขายังเหลือมากขนาดนี้หลังจากที่ให้กงซุนหวูซื่อไปแล้วหนึ่งชิ้น
เขาแลกทั้งหมดเป็นหนึ่งหมื่นสี่พันคะแนนและถ้ารวมจากหนึ่งหมื่นหกพันคะแนนที่เขาได้ในวันแรก เขาก็ทำกำไรมากกว่าสามหมื่นคะแนนในการขุดค้นเขาวิญญาณจรัสเพียงอย่างเดียว! ไป่ชานเหลียงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ความคิดจะปล้นซือหยูรุมเร้าอย่างรุนแรง สิ่งที่ซือหยูได้จากเขาวิญญาณจรัสครั้งนี้สูงอย่างไม่น่าเชื่อ!
ซือหยูได้สี่หมื่นคะแนนจากพวกเขาและได้อีกสามหมื่นคะแนนที่นี่ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับหนึ่งแสนคะแนนเป็นรางวัลอีก ทั้งหมดคือมากกว่าหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคะแนน แม้แต่ผู้เฒ่าตำหนักนอกก็หวั่นไหวในคะแนนมหาศาลเช่นนี้
“ช่างมันกลับกันเถอะ โชคของเขาดีกว่าพวกเขาสี่คนรวมกันเสียอีก”
ไป่ชานเหลียงยิ้มอย่างเศร้าสร้อยเขานำเหล่าอสูรกลับตำหนัก
ก่อนที่ไป่หวูชิงจะไปนางมองซือหยูและพูดอย่างเย็นชา
“อย่าตายก็แล้วกันพอแผลข้าหาย ข้าจะเอาคืนที่เจ้าทำร้ายข้า!”
ซือหยูขมวดคิ้ว…ผู้หญิงคนนี้น่ารังเกียจจริงๆ!
หลังจากพวกขเากลับซือหยูก็รีบออกจากเขาวิญญาณจรัสเช่นกัน แต่ก่อนหน้านั้น เขาบอกคนที่ตำหนักวิญญาณจรัสว่าถ้าหากจื่อเสวียนกลับมา ให้พวกเขาบอกนางว่าพวกซือหยูกลับตำหนักโลหิตแล้ว
เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใจจื่อเสวียนจึงรีบออกไปโดยไม่บอกกล่าวตามที่สี่อสูรบอก ดูเหมือนว่านางพยายามจะซ่อนตัวจากอะไรบางอย่าง
ซือหยูมองสิ่งรอบข้างและบินไปยังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยป่าเมื่อครึ่งวันผ่านไป เขาก็ออกจากเขาวิญญาณจรัสแล้ว เขาไปถึงริมแม่น้ำที่ไร้ผู้คน แม่น้ำถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งและเย็นจัด
ธารน้ำแข็งรึ?
เขาเคยถูกอสูรเนรมิตรห้าคนไล่ล่าใกล้กับแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็งและเขาก็ได้เจอกับจื่อเสวียนที่นั่น มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ากลัวมาก
เขาวิญญาณจรัสไม่ได้ไกลจากแม่น้ำนี้เท่าใดนักมันเป็นแม่น้ำที่ทอดยาวในดินแดนพรสวรรค์ เขาไม่เคยมาที่แม่น้ำส่วนนี้มาก่อน
หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ซือหยูโบกมือ กิเลนน้อยออกมาจากมุกวิญญาณเก้าหยก มันหาวด้วยความขี้เกียจ
จากนั้นมันก็บิดขี้เกียจและเงยหน้ามันกล่าวประณาม
“ข้ายังนอนไม่พอเลยนะ!”
“มาปรุงยากันเถอะ…”
ซือหยูพูดและเผยรอยยิ้ม
ดวงตาสีม่วงของกิเลนน้อยเป็นประกายมันเปล่งปลั่งดั่งอัญมณี
“ปรุงยารึ?ได้เลย! ดีล่ะ! มาทำยากัน”
มันมิได้มีเพียงแค่ความทรงจำในการปรุงยาแต่มันยังรักการปรุงยาด้วย มันช่วยซือหยูเตรียมวัตถุดิบโอสถชีพโกลาหลที่ชำระล้างอย่างหมดจดสองชุด มันยังช่วยเขาตั้งหม้อ
ในอดีตกิเลนน้อยปรุงโอสถระดับสามได้จากวัตถุดิบที่ไม่ชำระล้าง ตอนนี้ เมื่อวัตถุดิบถูกชำระล้างโดยสมบูรณ์ มันก็น่าจะเป็นไปตามทฤษฎีที่อย่างน้อยจะได้ผลเป็นโอสถระดับสี่
หลังจากได้วัตถุดิบกิเลนน้อยเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น มันอยากจะลองปรุงอย่างมาก มันเริ่มปรุงยาขณะที่ซือหยูหยิบม้วนวิชาช่างลับสวรรค์ขึ้นมา
ในอดีตเขาได้กรุสมบัติสองแหล่งจากกระโจมเทพสวรรค์ หนึ่งคือวิชาปรุงยาลับสวรรค์และอีกอย่างคือวิชาช่างลับสวรรค์
เมื่อถือม้วนคัมภีร์นี้ซือหยูห้ามให้คิดถึงใบหน้าอันเต็มไปด้วยน้ำตาในอดีตได้ เขาได้พรากครั้งแรกของสตรีและสิ่งล้ำค่าที่สุดของนาง เรื่องนั้นผ่านมานานแล้ว เขาได้แต่คิด…นางจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
เขาคิดว่านางคงมีชีวิตที่ดีเพราะอย่างไรนางก็เป็นถึงกับคู่หมั้นของอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งแห่งดินแดนพรสวรรค์กู้ไทซูและนางก็เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของดินแดนพรสวรรค์เสียด้วย ตอนนี้นางควรจะได้เป็นจ้าวเทวะชั้นสูงแล้ว
ข้าห่วงตัวเองจะดีกว่าไปห่วงคนอื่นสินะ!ซือหยูหัวเราะเยาะตนเอง เพราะเขาเองเป็นแค่ภูติระดับสอง
ถึงอีกไม่นานเขาจะได้เพลงกระบี่เก้าสุริยาเขาก็มีอีกเรื่องที่ต้องคิด นั่นก็คือการสร้างกระบี่จากไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์คือไผ่เทวะที่แข็งแกร่งที่สุด มันแข็งแรงมิอาจทำลาย ดังนั้นถ้าไร้วิชาช่างที่ดี เขาก็มิอาจตีกระบี่ขึ้นมาได้เลย
เขาให้ความหวังทั้งหมดกับวิชาช่างนี้เขาหวังว่าเทียนจี่จื้อมีวิธีที่เขาจะทำตามได้ เมื่อคิดดังนั้น ซือหยูจึงตัดสินใจเข้าสู่สภาพการเร่งเวลา
เวลารอบกายไหลเร็วกว่าโลกภายนอกสองร้อยเท่าชั่วยามเดียวในโลกภายนอกก็เท่ากับการบ่มเพาะยี่สิบวัน
หลังจากซือหยูอ่านตำราจนเสร็จเขาก็มึนงงอย่างมาก นั่นเป็นเพราะวิชาสร้างสมบัตินั้นซับซ้อนกว่าวิชาปรุงยา เขามิเพียงแต่ต้องหลอมวัตถุดิบและควบคุมความร้อนเท่านั้น เขาต้องเชี่ยวชาญการสลักค่ายกล
เขาต้องเรียนรู้ค่ายกลพื้นฐานแบบต่างๆเพราะระดับของสมบัติวิเศษจะเป็นเช่นใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับสัญลักษณ์ของค่ายกลที่เขาสลัก ยิ่งระดับสูง สมบัติก็ยิ่งมีระดับสูง
หรือพูดอีกอย่างก็คือผู้ใช้ค่ายกลไม่จำเป็นต้องเป็นปรมาจารย์ช่าง แต่ปรมาจารย์ช่างนั้นต้องเชี่ยวชาญการใช้ค่ายกล ดังนั้นถ้าซือหยูอยากจะเรียนรู้การสร้างสมบัติ เขาก็ต้องเรียนรู้เรื่องค่ายกลเสียก่อน
แต่ตามที่เขารู้วิถีของค่ายกลนั้นกว้างใหญ่ มีหลายคนยอมเสียร้อยปีเพื่อเรียนรู้ส่วนเล็กน้อยของวิชา ถ้าซือหยูอยากจะเชี่ยวชาญโดยเร็ว เขาก็ต้องใช้เวลาหลายปีกับเรื่องนี้อย่างเดียวแม้จะใช้พลังเร่งเวลา นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดอ่านไว้ก่อนเลย
ขณะที่จมอยู่ในความคิดหม้อปรุงที่อยู่ถัดจากเขาสั่นอย่างรุนแรง กิเลนน้อยเพิ่มความร้อนขึ้น การปรุงยามาถึงขั้นตอนหลอมรวมที่เป็นขั้นสุดท้าย เขาได้ยินเสียงแตกหลายครั้งดังมาจากหม้อปรุง ดูเหมือนว่าโอสถข้างในจะต่อต้านอย่างรุนแรง
การเคลื่อนตัวของโอสถนั้นรุนแรงกว่าโอสถทุกเม็ดที่เคยปรุงมาซือหยูตกใจมาก เขารีบสังเกตดู
ปั้ง!
จู่ๆฝาหม้อก็พุ่งขึ้นฟ้านี่เป็นครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นในการปรุงยของพวกเขา บอกได้เลยว่าหม้อต้องรับแรงกดดันมากเพียงใด
และเมื่อฝาหม้อระเบิดออกก็มีสองสิ่งที่มองได้ยากพุ่งออกมามันเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน มันเร็วพอๆกับภูติชั้นกลาง โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ความเร็วของมันไปถึงระดับที่น่าตกตะลึง!
โชคดีที่ซือหยูมีประสบการณ์เรื่องนี้มาบ้างแล้วเมื่อมันจะพุ่งออกไป เขาก็เข้าไปขวางและเก็บมันลงกล่องหยก
ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
หลังจากโอสถทั้งสองเม็ดถูกเก็บไว้ในกล่องมันก็เข้ากระแทกด้านในกล่องไม่หยุด ซือหยูที่ถือกล่องอยู่นั้นรู้สึกว่ากล่องพร้อมจะหลุดมือเขาไปทุกเมื่อ หลังจากผ่านไปสิบวินาทีเท่านั้น ความปั่นป่วนถึงหยุดลง
เมื่อซือหยูมองโอสถอย่างละเอียดก็เบิกตากว้างเพราะโอสถชีพโกลาหลที่ด้านซ้ายนั้นมีลวยลายสี่ลาย มันคือโอสถระดับสี่อย่างที่ซือหยูคิด
แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจก็คือโอสถที่ด้านขวามันมีห้าลวดลาย นั่นหมายความว่ามันเป็นโอสถระดับห้า นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาปรุงโอสถระดับห้าขึ้นมา! โอสถระดับห้านั้นเม็ดใหญ่ มันมีพลังที่บริสุทธิ์และเหนือกว่า
เขาไม่คิดเลยว่ากิเลนน้อยจะปรุงโอสถระดับห้าขึ้นมาได้!ซือหยูสงสัยในความทรงจำของมันยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าทำดีมากยากสำหรับข้าที่โอสถระดับสี่เม็ดเดียวจะทำให้ข้าเป็นภูติระดับสาม แต่ถ้ามีโอสถระดับห้าเพิ่มไปอีกก็เกินพอ!”
ซือหยูลูบหัวกิเลนน้อยและกล่าวชม
กิเลนน้อยมีความสุขมากมันเอนกายใกล้ซือหยูให้เขาลูบ แต่จู่ๆมันก็สังเกตเห็นม้วนคัมภีร์ใหญ่ที่แนบกายซือหยูอญู่ มันลืมตาเริ่มอ่านด้วยความสงสัย
ซือหยูเบิกตาโพลงเขาตาลุกวาว
“เจ้าอยากตีสมบัติหรือ?”
ตีสมบัติอะไร?กิเลนน้อยเงียบงันขณะที่ดวงตาเปล่งประกายสดใสกว่าเดิม
มันยืนขึ้นด้วยขาหลังราวกับมนุษย์และปรบขาหน้า
“ข้าอยากตีสมบัติ!ข้าอยากตีสมบัติ!”
มันสนใจเรื่องตีสมบัติเข้าจังๆซือหยูมิอาจหยุดสงสัย…หรือว่ามันก็มีความทรงจำเรื่องการตีสมบัติ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นซือหยูก็ตื่นเต้นขึ้นมา เขาเพิ่งจะหงุดหงิดเพราะเขามิอาจใช้ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ได้ และตอนนี้กิเลนน้อยได้มาเป็นแสงแห่งความหวังของเขา
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับไปอ่านได้เลย!”
ซือหยูพูดด้วยความคาดหวัง
เขาเก็บกิเลนน้อยและม้วนวิชาลงในมุกวิญญาณเก้าหยกก่อนจะมองกล่องหยกและเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น…โอสถสองเม็ดนี้ยอดเยี่ยมนัก!มันจะช่วยให้ฐานพลังของข้าเติบโตขึ้นไปอีก! ข้าจะเป็นภูติระดับสามได้ในคราเดียวไหมนะ?
แต่ก่อนที่ซือหยูกำลังจะทดลองเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
รอยแยกมิติงั้นหรือ?ความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้า เขารีบเก็บกล่องหยกและกระโดดลงแม่น้ำเยือกแข็งและแหวกว่ายไปซ่อนตัวที่ก้นแม่น้ำ
หลังจากซือหยูกระโดดลงไปรอยแยกมิติได้ปรากฏบนท้องนภาเหนือเขา ชายหนุ่มรูปงามได้ปรากฏออกมาด้วย เขามีมงกุฎสุริยันจันทราอยู่เหนือศีรษะ
แต่เขามิได้อยู่คนเดียวมีวายุมิติห้าสายรอบตัวเขา ทันใดนั้นทั้งห้าที่เปล่งแสงทองก็เดินออกมา แต่ละคนเปล่งปลั่งราวกับดวงตะวัน
ซือหยูตกตะลึงเมื่อเห็นคนทั้งห้าพวกเขาคือองครักษ์แสงกระจ่าง! ทั้งห้าเป็นอสูรเนรมิตรที่เคยไล่ล่าเขามาก่อน