The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 821-822
DND.821 – สตรีแต่งบุรุษ
ซือหยูสะบัดแขนเส้นไหมโปร่งใสพุ่งออกมาพันรอบกงจักร มุกวิญญาณเก้าหยกเปล่งแสงรับมันเข้าไป
ซือหยูดีใจที่ได้สมบัติภูติมาโดยไม่คาดคิดมันเป็นเรื่องบังเอิญที่ดี ถึงตอนนี้เขาจะยังควบคุมสมบัติภูติไม่ได้ ถ้าเขานำมันไปขาย เขาก็จะขายได้ในราคาสูงเสียดฟ้า
ซือหยูถอนหายใจเบาๆและมองชายหนุ่มที่หมดสติ
“ข้าจะเอาสมบัติภูติของเจ้าไปเป็นสิ่งชดเชยที่เจ้าทำกับข้าก็แล้วกัน…”
เพราะเขาเกือบจะทำให้ซือหยูตายดังนั้นซือหยูจึงปล่อยชายผู้นี้ไปโดยริบสมบัติภูติของเขาเอาไว้เท่านั้น
แต่ถ้าซือหยูทิ้งเขาเอาไว้ทั้งแบบนี้ร่างกายของเขาก็จะตกตายลงก่อนที่บาดแผลจะรักษาตัวเอง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจับข้อมือซือหยูไว้แน่นโดยไม่คิดจะปล่อย
หลังจากครุ่นคิดซือหยูตัดสินใจที่จะหาทางรักษาที่เป็นไปได้ เขาเริ่มตรวจสอบบาดแผลอย่างละเอียด
บาดแผลหลักของเขาก็คือแผลตรงท้องที่มีขนาดเท่าดัชนีสายพลังโลหิตภายในและเนื้อหนังรอบๆกำลังพยายามจะรักษาบาดแผลนั้น
แต่ในแต่ละครั้งที่จะรักษาควันสีม่วงและเทาก็ได้ลอยออกมาจากบาดแผลและฉีกปากแผลอีกครั้ง มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า บาดแผลไม่ได้รับการฟื้นฟูมาจนถึงตอนนี้
เมื่อเห็นบาดแผลซือหยูรู้ว่าถ้าเขาไม่กำจัดควันสีม่วงและเทาออกไปก็จะฟื้นฟูคนผู้นี้ไม่ได้ เพื่อพบต้นตอของปัญหา ซือหยูจึงยื่นมือขวาออกไป ทางช้างเผือกอันงดงามปรากฏบนฝ่ามือ
ซือหยูตั้งใจจะใช้ทรายดาราทางช้างเผือกในการดูดซับควันออกจากบาดแผลจากนั้นจึงยื่นมือซ้ายออกไปปลดเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
ทรายดาราทางช้างเผือกเป็นเพียงแค่สมบัติวิเศษมันไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้าเขาใช้ขณะที่ชายหนุ่มผู้นี้ยังสวมเสื้อผ้าก็เป็นไปได้สูงมากที่ทรายดาราจะคิดว่าเสื้อผ้าคือเป้าหมาย ซือหยูคิดว่าจะดีกว่าหากสัมผัสร่างกายอีกฝ่ายตรงๆ ด้วยวิธีนี้เขาถึงจะใช้พลังได้สูงสุด
ซือหยูขยับมืออย่างคล่องแคล่วแต่เมื่อสัมผัสคอเสื้อของชายหนุ่มก็พบว่าเสื้อผ้าของเขาเป็นสมบัติวิเศษที่มีพลังป้องกันสูงมาก มันปล่อยแรงกดดันวิญญาณจนซือหยูมือชา ถ้าหากเสื้อผ้าของเขาไม่ถูกทำลายมาก่อนจากการต่อสู้ ซือหยูคงจะสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อซือหยูปลดคอชุดเขาก็เริ่มเปลื้องผ้าอีกฝ่าย แต่เขาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อสัมผัสส่วนอก เขาวางมือด้วยสายตาว่างเปล่า เขาพบว่ามันนุ่มมาก!
“ร่างกายเจ้านี่แปลกชะมัด…”
ซือหยูพูดอย่างตกตะลึง
อกของบุรุษนั้นแข็งแกร่งดั่งหินผาแต่อกของอสูรเนรมิตรตรงหน้านี้ต่างออกไป ซือหยูถอดเสื้อผ้าต่ออย่างเงียบๆ แต่เขาก็งุนงงอย่างมากเมื่อเห็นว่ามิได้มีเพียงแต่เสื้อผ้าจะมีพลังป้องกันเท่านั้น แต่มันยังซ่อนรูปร่างผู้สวมใส่ได้อีกด้วย
ซือหยูใจเต้นแรงเมื่อมองใบหน้าสง่างดงามของชายหนุ่มอีกครั้งมันเกือบจะงามเหมือนสตรี!
“นี่มันหญิงแต่งกายเป็นชายไม่ใช่เรอะ?”
ซือหยูเพิ่งจะรู้ตัว
อสูรเนรมิตรผู้นี้เป็นสตรี!เขาตกใจและไม่ทันคาดคิด
เมื่อสังเกตนางดีๆก็พบว่านางมีใบหน้าเรียบเนียนและยิ่งใหญ่ดั่งวีรสตรีแม้นางจะแต่งเป็นชาย มันก็มิอาจเก็บซ่อนเสน่ห์ของนางเอาไว้ได้ นางมีอกอวบอิ่มและเอวบาง ขานั้นเรียวยาว ทุกสิ่งที่เป็นนางบ่งบอกว่านางมิใช่แค่คนหนุ่มสาวอสูรเนรมิตร แต่นางคือสตรีงดงามที่หาได้ยาก
ซือหยูรู้ว่าเขาไม่มีเวลาจะมาชื่นชมสาวงามเขามองบาดแผลของนางต่อไปและวางมือลงบนแผล พลังอันแข็งแกร่งที่พุ่งออกมาจากแผลทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมาก เมื่อหันฝ่ามือมาดูเขาก็พบว่ามันมีรอยไหม้!
“พลังอะไรกัน!ครั้งที่แล้วข้าโชคดีนักที่รอดจากมันมาได้…”
ซือหยูพูดเบาๆ
เขามิอาจหยุดคาดเดาได้ว่าราชาเขตกลางจะมีฐานพลังเท่าใดเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรเนรมิตรหลายเท่า
เมื่อหยุดคิดทางช้างเผือกก็หมุนวนช้าๆ พลังที่น่ากลัวนั้นพุ่งออกมาอีก ทางช้างเผือกได้โอบล้อมควันและดูดซับมันเข้าไป
ดูเหมือนว่าควันนั้นจะมีคุณสมบัติวิญญาณมันต่อต้านแต่ก็มิอาจขัดขืนต่อพลังดูดกลืนที่รุนแรงกว่าได้ มันถูกทรายดาราดูดซับเข้าไป
“พลังชำระล้างของทรายดาราคงจะถึงขีดจำกัดแล้วยากที่จะดูดซับความไม่บริสุทธิ์ที่มีพลังแข็งแกร่งปะปนอยู่ด้วย..”
เมื่อเห็นว่าใช้ได้ซือหยูก็ใช้ทรายดูดกลืนพลังต่อไป ไม่นานทั้งบาดแผลก็ถูกปกคลุมด้วยแสงดาว ควันที่ลอยออกมาจากบาดแผลหายไปแล้ว
“อ๊ะ!”
นางที่หมดสติร้องเบาๆความเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้า
แววตาซือหยูคมกริบขณะที่ดูดซับควันเมื่อเห็นว่ารักษานางเสร็จแล้ว เขาก็ตกตะลึงเมื่อเห็นเสี้ยวควันดำที่บางเท่าเส้นผมผุดออกมาจากบาดแผลของนาง!
ควันนี้มิใช่สิ่งที่ราชาเขตกลางทิ้งเอาไว้มันดูเหมือนจะอยู่ในร่างกายของนางมานานมากแล้ว ซือหยูใจเต้นระรัวเมื่อเห็นควันดำนี้ เป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะข่มจิตสังหารที่เอ่อล้นออกมาในใจ
ซือหยูตกใจมากควันดำนี้มีฤทธิ์จู่โจมถึงจิตใจ มันอันตรายยิ่งกว่ากระบวนท่าของราชาเขตกลาง และมันดูดซับออกมายากเสียยิ่งกว่า ซือหยูดูดซับได้ช้ามาก ถ้าซือหยูถอนมือออก ควันดำนี้ก็จะกลับไปซ่อนตัวอยู่ในร่างของนางอีกแน่นอน
“ร่างกายของนางมันอะไรกัน?ทำไมถึงมีควันน่ากลัวนี่อยู่ด้วยล่ะ?”
ซือหยูตกตะลึงเพียงแค่มอง จิตสังหารก็เอ่อล้นออกมาแล้ว และยิ่งมันอยู่ในร่างกายนาง นั่นความหมายว่าจิตสังหารของนางจะเหนือกว่าซือหยูเป็นสิบเท่า!
แต่การที่นางยังไม่เสียสติไปไล่สังหารผู้ใดนั้นบ่งบอกว่านางยอดเยี่ยมผ่านไปนานกว่าซือหยูจะดูดซับคัวนดำออกมาได้ เมื่อเขาดูดซับ ความเจ็บปวดบนใบหน้านางนั้นชัดยิ่งกว่าเดิม นางถึงกับเกร็งตัว เม็ดเหงื่อซึมออกมาจากทุกรูขุมขน
นางแสดงความเจ็บปวดต่อไปจนซือหยูดูดซับควันออกมาหมดถึงตอนนี้ มือที่จับข้อมือซือหยูไว้แน่นนั้นหลวมลง ซือหยูใช้โอกาสนี้ดึงมือกลับและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเขามองดูนางอีกครั้งก็พบว่าบาดแผลของนางฟื้นฟูดีแล้วอีกไม่นานเท่านั้นก่อนที่นางจะฟื้นตัวเต็มที่ จะไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็นบนร่างนาง
ซือหยูอ้าปากค้างเขาแทบจะไม่เชื่อว่าคนที่เป็นอสูรเนรมิตรแล้วจะเกิดใหม่ได้ด้วยตัวเอง พวกเขาไม่ต้องการโอสถเพื่อฟื้นฟูบาดแผลเลยด้วยซ้ำ!
หลังจากเขาทำทุกอย่างเสร็จซือหยูเริ่มเอาเสื้อผ้าปกปิดตัวนางเอาไว้ เขาหน้าแดงเมื่อเห็นหน้าอกของนางที่หางตา
แต่ในตอนนั้นเองตอนที่เขาจะช่วยสวมเสื้อผ้าให้นาง เขาก็รู้สึกถึงจิตสังหาร เมื่อหันไปมองก็พบดวงตาที่เบิกโพลง นางตื่นมาในตอนที่ซือหยูกำลังจะสวมเสื้อผ้าให้ ในตอนนี้นางคงคิดว่าซือหยูพยายามจะเปลื้องผ้านาง!
ซือหยูใจเต้นแรงเพราะนางคืออสูรเนรมิตร ต่อให้นางยังไม่ตื่นเต็มที่ เพียงแค่การเหลือบมองก็มากพอแล้วที่จะทำให้ซือหยูบาดเจ็บสาหัส…หรือกระทั่งสังหารเขา!
“เจ้า…ทำอะไร?”
นางพูดขึ้นมาแม้นางจะอ่อนแอมากในตอนนี้ แต่จิตสังหารของนางนั้นเข้มข้น
ไม่บอกก็รู้ว่านางคิดว่าซือหยูพยายามจะฉวยโอกาสในตอนที่นางบาดเจ็บและขมขื่นนางนางกำลังจะจู่โจมเขา ซือหยูรีบตบหน้าผากของนางจนนางสลบไปอีกครั้ง
ซือหยูเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเกือบไปแล้ว!
“ต้องรีบไปจากที่นี่นางพร้อมจะตื่นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ!”
เขาจะไม่รอให้นางตื่นมาแล้วค่อยอธิบายกับนางแน่เขาจึงหนีไปทันที หลังจากเดินทางได้หลายแสนลี้ เขาก็บนทุ่งหญ้า เขาสร้างถ้ำใต้ดินและลงไปซ่อน
ในตอนนั้นเองเป็นเวลาที่นางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางลืมตามองรอบๆและก้มมองเสื้อผ้าตัวเอง
แม้นางจะสวมเสื้อผ้าอยู่อย่างดีแต่เสื้อผ้าของนางก็ค่อนข้างยับและถูกแตะต้อง นั่นทำให้จิตสังหารเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของนาง
จิตสังหารนี้มีพลังที่น่าขนลุกมันทำให้อายุขัยของป่าโดยรอบถูกดูดกลืนเข้าไป ใบไม้กลายเป็นสีเหลืองและหล่นจากต้นไม้ ตอไม้กลายเป็นสีดำ อายุขัยของมันหมดสิ้นไป
แต่เมื่อนางได้สังเกตร่างกายตัวเองดีๆก็พบว่าแม้เสื้อผ้าจะยับร่างกายของนางก็มิได้ถูกทำอะไร ตอนนั้นจิตสังหารของนางจึงหายไป แต่นางก็ยังโกรธอยู่ดี
นางจำได้เล็กน้อยว่าตอนที่นางต่อสู้กับอสูรเนรมิตรทั้งห้านางเห็นมนุษย์ซ่อนตัวอยู่ในแม่น้ำเยือกแข็ง นางยังจะได้อีกว่านางบาดเจ็บสาหัสและใช้พลังมิติหนีมายังอาณาเขตแม่น้ำและฝากชะตากรรมไว้กับคนแปลกหน้า
นางไม่คิดเลยว่าหลังจากตื่นมาแล้วจะได้เห็นคนแก่ตัณหากลับที่พยายามจะถอดเสื้อผ้านาง!และนางยังโมโหอย่างมากที่ถูกทำให้สลบ!
แต่แม้นางจะโมโหนางก็ไม่ลืมสถานการณ์ของตัวเองในขณะนี้ นางมองรอบๆอย่างรีบร้อนเพื่อตรวจสอบว่าไม่มีองครักษ์แสงกระจ่าง
นางคิด…ตาแก่นั่นมีวิชาเขารอดจากอสูรเนรมิตรห้าคนมาได้!
นางมองไปยังที่ไกลๆและพูดออกมา
“หากเจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ข้าจะให้อภัยที่เจ้าล่วงเกินข้าครั้งนี้”
DND.822 – เจ้าตำหนักเทียนฉวน
ในตอนนั้นเองนางมองท้องตัวเองด้วยความตกใจ
“แผลข้า!”
นางรู้ตัวดีว่าตนเองมีบาดแผลอย่างไรบ้างนางภาพฉายราชาเขตกลางเข้าจู่โจม ส่วนหนึ่งในพลังของเขายังอยู่ในร่างกายนาง นั่นทำให้บาดแผลของนางมิอาจพื้นฟูและยิ่งผ่านไปจะยิ่งแย่
นางถึงกับหมดสติถึงอสูรเนรมิตรทั้งห้าจะไม่ไล่ตามนางมา นางก็รู้ตัวดีว่านางจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่จู่ๆบาดแผลของนางก็ถูกรักษาอย่างสมบูรณ์!
ตาแก่นั่นรักษาข้างั้นรึ?นางคิดไม่ตกและเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาจึงถอดเสื้อผ้านาง! เมื่อรู้แล้วว่าเป็นเพียงความเข้าใจผิด ความโกรธส่วนมากของนางก็หายไป
เขาเป็นใครกันแน่?เขาก็แค่ภูติระดับสองเท่านั้น แต่เขากลับกำจัดพลังที่ราชาเขตกลางทิ้งเอาไว้ได้! น่าตกใจนัก! นางตกตะลึงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้!
สำหรับนางเองนางต้องช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการกำจัดเสี้ยวพลังที่เหลือ แต่ชายแก่กลับทำได้ในเวลาอันสั้น และทำทั้งหมดในตอนที่นางหมดสติ! นางคิดว่าตัวตนที่แท้จริงของซือหยูนั้นต้องลึกลับและไม่ใช่ภูติระดับสองธรรมดาทั่วไปแน่!
นางพยายามใช้พลังชีวิตและเมื่อยืนยันว่าร่างกายภายในอยู่ในสภาพดี นางก็สบายใจขึ้น แต่เมื่อหยุดใช้พลัง ความตกใจก็ปรากฏบนใบหน้า นางยื่นมือออกมา เสี้ยวควันดำเริ่มลอยออกมาจากมือ
ซือหยูคงจำมันได้ทันทีหากอยู่ที่นี่มันคือควันดำที่ซือหยูพยายามอย่างมากที่จะดูดซับมันเข้าไป ซือหยูดูดซับมันไปเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ควันจำนวนมากยังคงอยู่ในร่างกายของนาง
“เป็นไปได้ยังไง?เสี้ยวพลังหนึ่งของจักรพรรดิภูติผู้ส่งสารถูกกำจัด!”
ความยินดีปรากฏบนใบหน้าเมื่อนางตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
พลังภูติผีสูงสุดนั้นคือพลังต้องห้ามมีเพียงคนเดียวที่ครอบครองก็คือ…จักรพรรดิภูติผู้ส่งสาร! ในสงครามระหว่างมนุษย์และภูติผีเมื่อร้อยปีก่อน จักรพรรดิภูติผู้ส่งสารนั้นได้ใช้มุกบาดาลสิบเม็ดและพลังนี้ในการบดขยี้ยอดฝีมือแห่งจิวโจว ซึ่งในช่วงเวลานั้นของจิวโจวมีเพียงราชาเขตกลางในอดีต เฉินอี้เจิงเท่านั้นที่ต่อกรได้
ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องพลังภูติผีสูงสุดครั้งใดสีหน้าของอสูรเนรมิตรทุกคนที่เข้าร่วมสงครามครั้งนั้นล้วนหม่นหมอง นั่นก็เพราะในสงครามครั้งนั้น มีอสูรเนรมิตรมากมายที่ตายไปเพราะจักรพรรดิภูติผู้ส่งสาร พวกเขารู้ดีว่าอสูรเนรมิตรก็เป็นเพียงมดปลวกเมื่อต้องเทียบกับสิ่งนั้น
พลังของจักรพรรดิภูติผู้ส่งสารได้หลงเหลืออยู่ในร่างกายนางตั้งแต่ร้อยปีก่อนพลังได้รุกล้ำร่างกายของนางมาตลอดร้อยปี นางพยายามทุกวิถีทางและใช้ภูมิปัญญาของอสูรเนรมิตรในการจัดการ แต่ทุกสิ่งล้วนไร้ผล
พลังภูติสูงสุดยังคงอยู่ในร่างกายของนางนางต้องกดมันเอาไว้ มิเช่นนั้นความปรารถนาในการฆ่าจะเข้าควบคุมจิตใจของนางทำให้นางกลายเป็นภูติผี! นี่เป็นเหตุให้นางไม่มีโอกาสได้บ่มเพาะพลังมาตลอดร้อยปี นางต้องกดพลังภูติผีสูงสุดนี้ไว้ตลอดเวลา
ใช่แล้วฐานพลังของนางไม่เคยเพิ่มขึ้นอีกเลย นางยังคงมีพลังเท่ากับร้อยปีก่อน นางทิ้งความหวังไปแล้ว นางรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดมันนอกจากจะมีคนที่มีพลังเหนือกว่าจักรพรรดิภูติผู้ส่งสารปรากฏตัวขึ้นในจิวโจว
แต่วันนี้นางก็ต้องตกตะลึงขณะที่นางหมดสติไปเพียงครู่ ส่วนหนึ่งของพลังที่อยู่ในกายนางถูกชายแก่ลึกลับชะล้างออกไป! นางหยุดสงสัยไม่ได้ว่าชายแก่เป็นเพียงภูติระดับสองจริงหรือไม่ เมื่อคิดให้ถ้วนถี่นางก็คิดว่านางอาจจะมาเจอกับยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่เข้าแล้ว!
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คือการที่เขาต้องหนีจากอสูรเนรมิตรห้าคนภูติจะไปทำได้อย่างไร! แล้วเขายังกำจัดพลังของราชาเขตกลางได้อย่างรวดเร็ว! กระทั่ง…ลบล้างพลังของจักรพรรดิภูติผู้ส่งสารไปอีก!
เมื่อสรุปเรื่องราวจนถึงขั้นนี้นางเดาว่ามีห้าในสิบส่วนที่นางเจอกับยอดฝีมือที่เก็บตัวอยู่ เมื่อเทียนฉวนคิดเช่นนี้ ความโกรธของนางก็จางหาย เหลือเพียงแต่ความรู้สึกผิดและความรู้สึกขอบคุณในใจ
“ท่านผู้อาวุโสขอบคุณที่ช่วยเหลือข้า ข้ามิอาจขอบคุณได้มากพอเลย”
นางโศกเศร้าเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะการกระทำของนางที่ทำให้ผู้อาวุโสโมโห เขาจึงกำจัดพลังภูติสูงสุดที่อยู่ในร่างกายนางแค่เสี้ยวเดียว
ถ้าหากนางใจเย็นในตอนนั้นสิ่งที่แตกต่างคงจะเกิดขึ้นพลิกผัน นางพลาดโอกาสดีไปเสียแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องเสียใจ
ข้าจะหาท่านผู้นั้นเจอได้ยังไงกัน?นางถอนหายใจเบาๆ นางรู้สึกขอบคุณกับชายแก่ลึกลับผู้นี้มาก
“ข้าเพียงแค่เป็นห่วงตัวเองจนเกือบจะทำให้เขาเดือดร้อนแต่เขากลับไม่โกรธและช่วยเหลือข้าด้วยน้ำใจ ช่างเป็นบุรุษที่มีเกียรติยิ่งนัก แต่กลับเก็บตัวอยู่ไม่รู้ว่าคือผู้ใด”
ในตอนนั้นเองสายลมเย็นพัดผ่าน เสื้อผ้าของนางปลิวไป นางตกใจและรีบจับชายเสื้อโดยไม่รู้ตัว ในตอนนั้นก็พบว่ามันว่างเปล่า
นางตัวแข็งทื่อ
“จักรบินข้าหายไปไหน?”
นางจำได้ว่านางเก็บมันไว้ก่อนจะสลบต่อให้มันหล่น มันก็จะติดตามนางมา สิ่งเดียวที่กล่าวได้ในตอนนี้ก็คือมีคนชิงมันไป!
และโจรที่กระทำจะต้องมีวิชาที่ยอดเยี่ยมจนนำพาจักรบินไปด้ววยได้!คนผู้นั้นจะต้องเป็นชายแก่ไม่ผิดแน่!
เมื่อได้สตินางหน้าแดงก่ำ ผู้อาวุโสที่เก็บตัวอยู่คนเดียวที่นางคิดว่าเป็นผู้มีเกียรติกลับกลายเป็นแค่โจรเฒ่า!
อั่ก!
นางถึงกับกระอักเลือดออกมาเมื่อรู้ความจริงนางโกรธแค้น!
นางกำหมัดกัดฟันตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
“ไอ้แก่ข้าจะไม่มีวันอภัยให้เจ้า!”
ซือหยูไม่รับรู้เลยว่าสิ่งใดเกิดขึ้นที่นี่เขาไม่รู้ตัวว่าทำให้อสูรเนรมิตรโกรธแค้นจนกระอักเลือดออกมา
ในเวลานี้เขาเพิ่งจะรับประทานโอสถชีพโกลาหลสองเม็ดเข้าไป โอสถชีพโกลาหลระดับสี่เม็ดเดียวนั้นมีผลทางโอสถที่ดีและขยายสายธารพลังของเขาอย่างรวดเร็ว แต่มันก็มิได้ขยายไปถึงภูติระดับสามแม้จะผ่านไปนาน
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรับประทานโอสถชีพโกลาหลระดับห้าที่กิเลนน้อยปรุงโอสถนี้เห็นโอสถระดับสูงที่หาได้ยากในบรรดาโอสถทั้งหมด มันมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าโอสถระดับสี่อย่างห่างไกล
หลังจากรับประทานเขาสัมผัสว่าสายธารพลังนั้นปะทุพวยพุ่งอย่างก้าวกระโดด เมื่อพลังโอสถกระจายออกไป ขนาดของจุดกำเนิดพลังทั้งนอกในของซือหยูได้ขยายขึ้น มันเกินขอบเขตของภูติระดับสามไปแล้ว มันเกือบจะถึงขอบเขตของภูติระดับสี่!
เมื่อรวมพลังของสองจุดกำเนิดเข้าด้วยกันพลังชีวิตของเขาได้มีปริมาณเทียบเท่าภูติระดับห้า! ตอนที่เขากลายเป็นภูติระดับสาม กายเนื้อของเขาได้มีพลังเพิ่มขึ้นมาหลายขั้น ถ้าเขาใช้กายามังกร มันจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก!
ส่วนพลังจิตวิญญาณมันเพิ่มเพียงเล็กน้อย ถ้าเขาใช้เพียงการเพิ่มฐานพลังอย่างเดียว การเติบโตในพลังจิตวิญญาณก็คงจะเชื่องช้า
“เจ้านั่นจะเอาเมล็ดวัตถุดิบปรุงวารีกลั่นดวงใจมาให้ข้าเมื่อไหร่กัน?”
ซือหยูคิดถึงโอสถโบราณที่จะช่วยให้ภูติชั้นกลางเพิ่มฐานพลังขึ้นได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเพิ่มพลังของดวงวิญญาณตอนนี้เมื่อเป็นภูติระดับสามแล้ว เขาก็จะได้กลับไปยังตำหนักและแลกวิชาเพลงกระบี่เก้าสุริยาสักที! ซือหยูคาดหวังกับตำราเล่มนั้นมาก
หลังจากผ่านไปสิบวันซือหยูได้กลับมาที่ตำหนักและพบว่าตำหนักยังคงเฟื่องฟูอย่างเคย เมื่อผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกร เขาก็ตกใจที่เห็นว่ามันถูกใช้งาน หลายคนกำลังพยายามขึ้นบันไดไป! มีคนที่เป็นจ้าวเทวะอยู่ที่นี่ด้วย!
“ศิษย์ในก็มาถึงที่นี่รึ?”
ซือหยูไม่เข้าใจเลย…ขึ้นมัจฉาข้ามประตูมังกรไปแล้วพวกเขาจะได้อะไรกัน?
นอกจากพิสูจน์คุณสมบัติพวกเขาก็จะได้ตรามัจฉามังกรและสิทธิพิเศษ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องจ่ายหนึ่งแสนคะแนนในการเข้าท้าทายมัจฉาข้ามประตูมังกร จำนวนคะแนนนั้นมหาศาลแม้แต่กับศิษย์ใน
ซือหยูสับสนในเรื่องนี้เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหล่าศิษย์ในถึงสนใจมัจฉาข้ามประตูมังกรนัก แต่สิ่งที่เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือเขาเห็นอสูรน้อยกงซุนหวูซื่ออยู่บนเสามังกร!
นางกำลังยืนอยู่ที่ขั้นห้าสิบและมิอาจก้าวไปต่อได้แม้เวลาจะผ่านไปนานสุดท้ายนางก็กัดฟันยอมแพ้ขณะที่หอบหายใจด้วยความแค้น ดูเหมือนว่านางจะผิดหวัง
“ขั้นห้าสิบ!ในตอนนั้นคือร่างเงาของนางงั้นรึ?”
ซือหยูพูดกับตัวเอง
ขั้นห้าสิบเป็นขั้นที่อสูรน้อยเคยมาถึงในอดีตแต่ซือหยูก็ก้าวข้ามนางไปและลบร่างเงาของนางแทนที่ด้วยร่างเงาของเขา เขาไม่คิดเลยว่าอสูรน้อยจะหมกมุ่นอยู่กับมัจฉาข้ามประตูมังกรเหมือนคนอื่นๆ!
เขาบินไปหาและเรียกชื่อนางทันที
“หวูซื่อ!”
กงซุนหวูซื่อที่ถูกเรียกไม่หันไปมองนางพูดด้วยความโกรธ
“ตะโกนหาอะไรของเจ้า?ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี”
แต่ต่อมาหูนางก็กระตุกเบาๆนางหันไปมองในทันที เมื่อเห็นซือหยู ดวงตาราวอัญมณีของนางก็เปล่งประกาย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าที่เคยผิดหวัง
นางกระโจนเข้าหาซือหยูราวกับนกน้อยนางกอดแขนของเขาและหัวเราะคิกคัก
“พี่หยูเซี่ยนกลับมาแล้วหรือ!คิดถึงข้าบ้างไหม?”
ซือหยูมุมปากกระตุกเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของนาง…นางวางแผนชั่วอะไรอีก?
“พี่หยูเซี่ยนข้าไม่มีคะแนนเหลือแล้ว ให้ข้ายืมบ้างจะได้ไหม? นะ!”
กงซุนหวูซื่อดึงแขนซือหยูและพูดอย่างน่าสงสาร
ยืมคะแนนข้าตอนนี้น่ะรึ?
“ทำไมเจ้าไม่ถามไป่ชานเหลียงหรือคนอื่นๆเล่า?”
ซือหยูถาม
กงซุนหวูซื่อทำหน้ามุ่ยและโน้มกายมาพูดกับเขาอย่างสนิทสนม
“เพราะเป็นพี่หยูเซี่ยนยังไงล่ะข้าเชื่อใจพี่ที่สุด!”
ซือหยูยิ้ม
“เจ้าอยากจะยืมเท่าไหร่ล่ะ?”
“อืมม…สักแสนคะแนนได้ไหม?”
กงซุนหวูซื่อมิได้สงวนคำพูดแม้แต่น้อยนางเอ่ยตัวเลขมหาศาลออกมาทันที
ซือหยูยิ้ม
“ข้าให้เจ้ายืมได้แต่อย่างแรกเจ้าต้องใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจเสียก่อน และเจ้าจะต้องคืนทั้งหมดกับข้าในหนึ่งเดือนพร้อมดอกเบี้ยหนึ่งในสิบส่วน นี่มันยุติธรรมนะ ถ้าเจ้าไปหายืมกับคนอื่น อย่างน้อยเจ้าก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยสองในสิบส่วน”
ใบหน้าเล็กๆของกงซุนหวูซื่อแน่นิ่งไป
“พี่หยูเซี่ยนเราสนิทกันไม่ใช่หรือ? ทำไมต้องใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจกับข้าด้วยล่ะ? พี่ไม่เชื่อใจข้ารึ?”
ซือหยูตอบโดยไม่ต้องคิด
“ข้าไม่เชื่อใจเจ้าสักนิดเดียวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เจ้าก็เกือบจะทำให้ข้าโดนปิงหวูชิงทำร้ายจนตาย! ทำไมข้าต้องเชื่อใจเจ้า? เจ้าจะใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจหรือไม่?”
กงซุนหวูซื่อหน้าบึ้งนางเอามือเท้าเอวพร้อมทำแก้มป่องและจ้องมองเขาอย่างดุร้าย
“บัดซบ!จำคำข้าเอาไว้เลย…มันจะไม่จบแค่นี้แน่!”
เมื่อพูดจบนางก็พุ่งออกไปราวกับพายุซือหยูเพียงแค่ยิ้มตอบ ดูเหมือนว่าอสูรน้อยจะอาฆาตเขาด้วยเหตุอันใดมิทราบได้ เขาไม่รู้เลยว่าเขาไปทำอะไรให้นางตอนไหน
หรือว่าเป็นเพราะข้าไปดับร่างเงาของนางตอนที่ออกจากมัจฉาข้ามประตูมังกร?แล้ว…ทำไมนางถึงหมกมุ่นอยู่กับมันนักล่ะ? ซือหยูคิดขณะที่มองนางออกไป
หลังจากผ่านไปครึ่งวันเขาได้กลับมาถึงเขาอสูร อสูรทั้งสี่ไม่ได้อยู่ในเรือน ไม่มีใครเลยที่อยู่บนเขา
มีเพียงเรือนกลางที่มีคนจื่อเสวียนนั่งอยู่ในสวน เมื่อสัมผัสพลังซือหยูได้ นางก็มองซือหยูเชิงต่อว่า
“ทำไมเจ้าไม่กลับมาให้เร็วกว่านี้ล่ะ?”