The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 894
DND.894 – ปรมาจารย์หยูเซี่ยน
“เกิดอะไรขึ้น?”
ผ่านไปนานกว่ารองผู้จัดการใหญ่จะพูดได้อย่างกระอักกระอ่วนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมซือหยูถึงกลายเป็นอาจารย์ของอาจารย์เกา แม้ว่าซือหยูจะร่ำเรียนภาษาไม้มาตั้งแต่เด็ก เขาก็ไม่น่าจะมีระดับความรู้อันสูงส่ง
ซือหยูเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้อธิบายสิ่งใดเขาเพียงแค่เดินไปทางแท่นบูชาเงียบๆ
รองผู้จัดการใหญ่กับคนที่เหลือสับสนฉินหลินชายสองหัวสีหน้าเคร่งเครียดราวกับเจอศัตรูตัวฉกาจ หากศิษย์ที่ถูกสอนยอดเยี่ยมเพียงนี้แล้ว แล้วอาจารย์จะมีความรู้ถึงเพียงไหนกัน?
“ท่านใต้เท้าข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่?”
ฉินหลินถามและประสานมือให้
“ข้าไม่ใช่ใครที่ไหน…”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
“เริ่มพิธีเซ่น”
ทั้งสองหัวของฉินหลินมองซือหยูอย่างลึกซึ้งพวกเขาระแวงทันที ความกดดันที่มากกว่าที่ได้พบกับอาจารย์เกาถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย
ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
พิธีเซ่นเริ่มขึ้นอีกครั้งแท่นบูชาสั่นเล็กน้อย ข้อความที่ใต้เท้าเปล่งประกายก่อตัวเป็นประโยค
ฉินหลินเหลือบมองข้อความที่เปล่งแสงและแปลงความอย่างรวดเร็วทั้งคู่มีความรู้ภาษาไม้ในระดับสูง เพียงห้าวินาทีก็สามารถแปลความได้
“ข้ารู้แล้ว”
ทั้งสองหัวจิตใจเชื่อมถึงกันพวกเขาหยิบเอาแผ่นกระดาษมาเริ่มเขียนคำแปลในทันที
“เอาไป!”
จู่ๆก็มีเสียงแล่นเข้าหู
เมื่อพวกเขาเงยหน้ามองก็เบิกตากว้างพวกเขาเพิ่งจะเขียนคำแปลขณะที่ซือหยูเขียนเสร็จหมดแล้ว เขาโยนเครื่องประดับหยกไปให้คนที่ทำหน้าที่และส่งไปยังแนวหน้า
“อะไรกัน!”
ทั้งสองหัวของฉินหลินสูดหายใจลึกทั้งสองไม่อยากจะเชื่อเลย!
ผู้คนในระแวกส่งเสียงดังตามมา
“เจ้าเห็นหรือไม่?เขาแปลมันแบบนั้นได้ยังไง?”
สายตานับล้านคู่กระตุกด้วยความตกใจ
“ข้าเห็นชัดเลย!พอคำภาษาไม้เปล่งแสงในวินาทีแรก เขาก็เหลือบมองครั้งเดียวก่อนจะแปลมัน…”
มีคนพูดด้วยความตกใจ
“เขาถอดความได้เร็วราวกับเป็นภาษามนุษย์ภาษาไม้ไม่ได้แปลกพิสดารสำหรับเขาเลย”
ผู้คนพูดคุยกันไม่หยุดขณะที่นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่นั้นยืนตัวแข็งทื่อ ทั้งสองคิดว่าอยู่ในฝัน ไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องจริง ตลอดพิธี ฉินหลินเป็นผู้แปลเสร็จก่อนทุกครั้ง ขณะที่คนอื่นๆได้แต่ชักช้า
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วพวกเขาไม่คุ้นชินกับมันเลย
ความเร็วในการแปลของซือหยูนั้นเร็วกว่าฉินหลินเป็นเท่าตัวนั่นแสดงถึงอะไร? นั่นแสดงว่าซือหยูรู้ภาษาไม้ดี ความรู้ของเขาอยู่ในระดับสูงจนไม่มีใครเทียบติด
“ปีศาจเฒ่าอู๋เจ้าซ่อนเขาไว้ดียิ่งนัก เจ้าเจอยอดฝีมือชั้นเยี่ยม แต่เจ้าก็ไม่บอกผู้ใด”
หลังจากนักบวชโซหายตกใจและยินดีความไม่พอใจก็ปรากฏบนใบหน้า
แม้ว่าทุกสำนักจะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับดินแดนมีดสวรรค์แต่พวกเขาก็มิใช่สำนักเดียวกัน พวกเขายังมีข้อตกลงอื่นอีก นั่นก็คือสำนักที่พ่ายแพ้มากสุดจะต้องให้ร้านที่มากกว่าเป็นการชดเชย
ในการแข่งปีที่แล้วเฉียนนั้นได้คะแนนสูง ในบรรดาร้อยร้านที่ต้องให้ดินแดนมีดสวรรค์นั้น ตำหนักเมฆาม่วงเสียเพียงแค่สิบร้าน ส่วนตำหนักโลหิตต้องเสียไปถึงสามสิบร้าน
“ข้าสับสนนักว่าทำไมเจ้าถึงไล่สองคนนี้ออกจากค่ายกลกลายเป็นว่าเจ้ากลัวว่าคนของเราจะได้เรียนรู้จากเขา”
นักบวชโซค่อนข้างอิจฉาเขาจึงโกรธกับเรื่องนี้
รองผู้จัดการใหญ่ไม่รู้เลยว่าจะบอกปัญหาของเขาเองตอนนี้อย่างไรเขาจะไปรู้หรือว่าปราชญ๋ภาษาไม้ที่เขาเจอโดยบังเอิญจะยิ่งใหญ่ถึงเพียนี้?
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดอันไร้เหตุผลของนักบวชโซเขาก็โมโห เขาถอนหายใจแรงอย่างเยือกเย็น
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดเรื่องนี้อีกเรอะ?ไม่ใช่เฉียนของเจ้าที่อวดดีจนไล่ซือหยูเซี่ยนออกไป เจ้าพยายามหยุดเขาหรือไม่? ถ้าเจ้าควบคุมเฉียนได้ ซือหยูเซี่ยนก็คงได้สอนพวกเขาในคืนนั้น พวกเจ้าก็คงไม่ต้องพ่ายแพ้ราบคาบเช่นนี้ แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาโทษว่าข้าซ่อนเขาเอาไว้เรอะ?”
นักบวชโซเสียใจกับสิ่งที่พูดเมื่อครู่แล้วคำพูดของเขานั้นดูไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย
นักบวชโซหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อถูกรองผู้จัดการใหญ่โต้แย้ง
“ข้าลืมตัวไปหน่อยสหายเกาข้าโปรดอย่าได้ติดใจ”
นักบวชโซมองซือหยูผู้เยือกเย็นบนแท่นบูชาเขาดูไม่เหมือนคนจากจิวโจว นักบวชโซถอนหายใจ
“ข้าผิดเองข้าทำให้ทุกคนต้องเสียหายเพราะความอวดดีของเฉียน”
อาจารย์เกามีความรู้ระดับทั่วไปแม้กระนั้น เมื่อได้รับการสอนจากซือหยูคืนเดียว เขาก็กลายเป็นดาวตกที่ทำให้คนนับล้านตกตะลึง
ถ้าหากนักบวชโซโต้แย้งเฉียนในวันนั้นหลายคนก็คงจะมีความรู้เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าเขามีความรู้สูงส่งเช่นนี้แล้วอีกไม่นานเราก็จะได้รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังหลังจากได้ถามเขา”
รองผู้จัดการใหญ่สบายใจขึ้นมาดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อมองซือหยูบนแท่นบูชา
ซือหยูได้รับความรู้มามากขนาดนี้จากที่ไหนกัน?
“รอบแรกซือหยูเซี่ยนได้หนึ่งคะแนน และฉินหลินได้หนึ่งคะแนน”
เมื่อรอบที่สองเริ่มขึ้นก็เป็นอย่างที่คาดซือหยูเหลือบมองข้อความเพียงครั้งเดียวก่อนจะเริ่มแปล มันง่ายดายราวกับการดื่มน้ำ เขาแทบจะไม่ต้องใช้ความคิด ส่วนฉินหลินนั้นต้องจ้องมองตัวอักษรไปสี่ถึงห้าวินาทีก่อนจะใช้มันแปลเป็นประโยคที่มีความหมายได้
“รอบที่สองซือหยูเซี่ยนได้หนึ่งคะแนน ฉินหลินได้หนึ่งคะแนน”
“รอบที่สามซือหยูเซี่ยนได้หนึ่งคะแนน ฉินหลินได้หนึ่งคะแนน”
…
“รอบที่สิบห้าซือหยูเซี่ยนได้หนึ่งคะแนน ฉินหลินได้หนึ่งคะแนน”
ทั้งสองหัวของฉินหลินมิอาจคลายใจได้มาโดยตลอดทั้งสองมองซือหยูราวกับมองศัตรูที่ไม่มีวันเอาชนะ
“ถึงขั้นกล่งแล้วพวกเราขอถามนามอันยิ่งใหญ่ของท่านใต้เท้าอีกครั้งได้หรือไม่…”
ฉินหลินพูดถามอย่างตึงเครียด
พวกเขาพ่ายแพ้ในขั้นแรกในด้านความเร็วและพวกเขาแพ้ทั้งสิบห้ารอบ เมื่อจะถามชื่อของซือหยูอีกครั้ง พวกเขาจึงใช้คำว่า ‘นามอันยิ่งใหญ่’ แทนคำว่า ‘นามของท่าน’ นั่นก็เพราะพวกเขาเริ่มให้ความนับถือซือหยูมากขึ้น
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ใช่ใครที่ไหน”
ซือหยูโบกมือปฏิเสธ
“ไปต่อ!”
แท่นบูชาเริ่มสั่นเร็วกว่าเดิมหนึ่งเท่าข้อความที่ซับซ้อนและแปลกกว่าเริ่มปรากฏ พวกมันแสดงให้เห็นในเวลาไม่นานก่อนจะหายไป
สองหัวของฉินหลินต้องใช้เวลาแปดวินาทีในการแปลความส่วนซือหยูสามารถแปลได้อย่างง่ายดายต่อหน้าต่อตาคนทั้งล้านคน เขาเขียนประโยคและส่งชิ้นกระดาษให้คนข้างหน้าเพื่อส่งของเซ่น
ซือหยูในขั้นกลางราวกับอยู่ในขั้นแรกเขามิได้รับผลจากความยากของข้อความแม้แต่น้อย ซึ่งตรงข้ามกับฉินหลินที่ต้องใช้เวลาถึงแปดวินาทีก่อนจะเริ่มเขียนคำตอบ.Aileen-novel
ถ้าหากสังเกตดูฉินหลินให้ดีก็จะพบว่าหัวทั้งสองเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากมิใช่เพราะว่าความยากของขั้นกลาง แต่เป็นเพราะคู่แข่งที่เก่งเกินไป ซือหยูมีความรู้ในระดับที่เหนือจินตนาการ และเขาก็ได้สร้างความกดดันอย่างแรงกล้าแก่ฉินหลิน
คลื่นพลังบริสุทธิ์ห้อมล้อมร่างกายของซือหยูพลังนั้นเข้าบำรุงจุดกำเนิดพลังทั้งสองอย่างมั่นคง
เขาแปลสำเร็จ!
คนทั้งล้านคนอุทานด้วยความตกใจอีกครั้ง
“นรกขุมใดกัน!ชายแก่ผู้นี้คือใคร? ดินแดนพรสวรรค์ของเรามีปราชญ์ภาษาไร้เทียมทานอยู่ด้วยหรือ?”
“เจ้าไม่รู้จักเรอะ?”
คนหนึ่งพูดหยาม
“ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อนเพราะเพิ่งจะมาที่นี่เขาเป็นคนมีชื่อเสียงหรือ?”
อีกคนตอบและส่ายหน้า
“เจ้ารู้จักเจ้าของร้านซือแห่งร้านตงหลินหรือไม่?”
“อะไรนะ?นั่นเขารึ? เขาคือเจ้าของร้านซือที่ขายวารีผงกลั่นดวงใจใช่หรือไม่?”
ทุกคนตกใจเมื่อได้รู้ความจริง
ทั้งเมืองเทียนหยาในเวลานี้ใครกันเล่าที่จะไม่รู้เรื่องวารีผงกลั่นดวงใจ? แล้วจะมีใครที่ไม่รู้จักเจ้าของร้านนามซือหยูเซี่ยน?
ทุกคนในดินแดนพรสวรรค์รู้สึกภูมิใจยิ่งกว่าหลังจากผ่านไปหลายปี สุดท้ายปราชญ์ภาษาไม้ก็ถือกำเนิดขึ้นเสียที เขาบดขยี้ได้แม้แต่ฉินหลิน
ปราชญ์ภาษาไม้ที่เก่งที่สุดผู้ที่อ้างว่าเก่งที่สุดในจิวโจว ครั้งนี้ดูเหมือนกับแค่ศิษย์ชั้นต่ำของซือหยูเซี่ยน
พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นมากมันเป็นความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้เลย
ดวงตางดงามของลู่จือยี่กระตุกความรู้สึกมากมายในใจเกิดขึ้นเมื่อมองซือหยู นางไม่รู้เพราะเหตุใด ยิ่งนางมองซือยหู นางก็ยิ่งรู้สึกว่านางรู้จักเขา ทั้งการเคลื่อนไหว คำพูด และแม้แต่รังสีพลังของเขาก็ซ้อนทับกับชายคนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดในจิตใจของนาง
ซือหยูมีความโดดเด่นเหมือนเช่นเขาเขายังสุขุม เยือกเย็น และสง่างามไร้กังวลเหมือนเช่นเขา เขายังตระการตาจนทำให้ทุกคนตะตกลึงในความสามารถ…เหมือนเช่นเขาคนนั้น
มิใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านางคือสิ่งที่เกิดขึ้นในกระโจมเทพสวรรค์เหมือนกับสิ่งที่ชายหนุ่มผมสีเงินนามหยินหยูเคยทำหรือ?
แต่เขาคือชายหนุ่มขณะที่อีกคนคือชายแก่ผมขาว
“เขาเป็นใครกันแน่?”
ความสงสัยเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนเมื่อลู่จือยี่จ้องมองซือหยู
จิตสังหารปรากฏบนใบหน้าหูหวังกุยซือหยูเซี่ยนอีกแล้ว! จะอย่างไรก็ยังเป็นซือหยูเซี่ยน!
ซือหยูเซี่ยนได้ผุดวารีผงกลั่นดวงใจขึ้นมาและทำลายแผนข่มตำหนักโลหิตของเขาจนสิ้นซากและเขาก็ปรากฏตัวในท้ายสุดของพิธีเซ่นพร้อมกับทำลายแผ่นใหญ่ครั้งนี้ของเขาอีกด้วย! ซือหยูทำลายทุกแผนการของเขาย่อยยับ หูหวังกุยเริ่มคิดหนัก หรือว่ามันจะจงใจ?
ทุกเรื่องดำเนินมาถึงความเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในบรรดาผูคนนั้นมีเด็กสาวตัวเล็กที่นั่งเอนกายที่สตรีวัยกลางคนนางกอดอกแบนราบขณะจ้องมองซือหยูอย่างเยือกเย็น
“ข้าไม่รู้เลยจริงๆเขาปิดบังเอาไว้ลึกซึ้ง แม้แต่คนจากเขาอสูรก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเชี่ยวชาญภาษาไม้”
“ใช่เราเข้าใจเขาผิดไป เขาคือยอดอัจฉริยะ พวกเราต้องรับเขาเข้าผาบั่นภูติให้เขาทำงานกับเรา…”
แม่นางหลิงพูดอย่างเยือกเย็น
เจ้าบ้านจันทร์กระจ่างและเจ้าของสวนตำราอยู่ที่นี่เช่นกัน
“หึหึไม่คิดเลยว่าเขาจะยอดเยี่ยมเช่นนี้”
เจ้าบ้านจันทร์กระจ่างมองด้วยความชิงชัง
ความเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าเจ้าสวนตำราฉิน
“ฮื่ม!นั่นคนที่ก่อเรื่องในสวนตำราข้าไม่ใช่เรอะ? ถึงตอนนี้จะดังขึ้นมา ข้าก็ไม่อภัยให้หรอก”
…
พิธีบนแท่นบูชายังดำเนินต่อไป
“รอบที่สองซือหยูเซี่ยนได้สองคะแนน และฉินหลินได้สองคะแนน”
“รอบที่สาม…”
…
“รอบที่แปดซือหยูเซี่ยนได้สองคะแนน และฉินหลินได้สองคะแนน”
ซือหยูยังคงแสดงความสามารถอันน่าประทับใจอย่างเคยสีหน้าของเขายังคงผ่อนคลายไร้กังวลและรับมือทุกรอบได้อย่างง่ายดาย แต่ฉินหลินนั้นถึงขีดกำจัดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ดูเหมือนว่าสมองของเขาจะล้าเต็มทน
“ท่านปรมาจารย์ใหญ่ขอขอถามนามอันยิ่งใหญ่ของท่านอีกครั้งจะได้หรือไม่!”
ฉินหลินเริ่มเรียกซือหยูว่า‘ปรมาจารย์’ แล้ว
บอกได้เลยว่าเขานับถือซือหยูมากเท่าใด
“ข้าไม่ใช่ใครที่ไหน…”
ซือหยูตอบอย่างเรียบง่าย
ในรอบถัดไปซือหยูก็แปลความได้สำเร็จขณะที่ฉินหลินมิอาจแปลได้อีกเพราะความกดดัน เขาพลาดและถูกคัดออกไป
“รอบที่สิบซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จและได้สองคะแนน”
“รอบที่สิบเอ็ดซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จและได้สองคะแนน”
เขามาถึงรอบที่สิบเอ็ดแล้วมันคือความสำเร็จสูงสุดที่ฉินหลินเคยทำได้ แต่คนนับล้านตรงนี้มิได้งุนงงและสับสนอีกต่อไป เพราะว่าความสามารถของซือหยูไม่น่าจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้
ในรอบที่สิบสองเขาแปลสำเร็จ และในตอนที่สิบสาม เขาก็แปลสำเร็จเช่นกัน
…
ในสอบที่สามสิบซือหยูแปลสำเร็จ
“เริ่มขั้นสุดท้ายของพิธีได้…”
ผู้จัดพิธีประกาศเสียงดังด้วยเสียงสั่นเครือตั้งแต่พิธีถูกจัดขึ้นจากปีก่อนหน้ามาถึงตอนนี้ นี่คือครั้งแรกที่มีคนมาถึงขั้นสุดท้าย
แท่นบูชาสั่นเร็วและแรงขึ้นระยะเวลาแสดงข้อความนั้นสั้นกว่าขั้นแรกถึงสามเท่า คำภาษาไม้ที่ปรากฏนั้นแปลกประหลาดอย่างมากและพบเห็นได้ยาก
ฉินหลินยืนชมด้วยความตื่นเต้นนี่เป็นครั้งนแกที่เขาได้เห็นอักษรภาษาไม้ในขั้นสุดท้าย
ฟึ่บ!
อักษรภาษาไม้ปรากฏเพียงสามวินาทีก่อนจะหายไป