The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 929 - ฝูงวิหคอสูร
DND.
“พวกมันแข็งแกร่งมีจ้าวเทวะระดับสี่อยู่ด้วย ที่อ่อนแอที่สุดก็เป็นพวกภูติ สถานการณ์ทั้งสองฝ่ายกำลังตึงเครียด มีคนสูญเสียไปมาก”
ไป่ชานเหลียงอธิบาย
เขาพูดต่อ
“พวกตระกูลชางก่วนกำลังตั้งรับมีคนเจ็บมากกว่าตาย ตอนที่กำลังพวกเราไปถึง พวกตระกูลชางก่วนต้านไม่ไหวและกำลังจะถอย พวกเขากระจายไปหลายทิศทาง จ้าวตำหนักคงฉานถึงมายืมกำลังตระกูลซือถูที่อยู่ใกล้ที่สุด”
ซือหยูหรี่ตาเล็กน้อยสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
“แปลกจริงๆ!ข้าคิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น!”
ไป่ชานเหลียงหันไปจ้องซือหยูและถาม
“ทำไมเจ้าพูดเช่นนั้นเล่า?”
ซือหยูรวบรวมความคิดและมองนายหญิงซือถูด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“นายหญิงซือถูโปรดเรียกกำลังรบทุกคนแล้วสั่งให้เตรียมพร้อมรบ!”
คำพูดโพล่งของเขาทำให้เหล่าคนตระกูลซือถูตัวแข็งทื่อพวกเขากังวลใจมานานแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็ยิ่งกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ฟังคำพูดที่เหมือนลางร้าน
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
นายหญิงซือถูขนลุกขณะที่ถาม
ซือหยูมองเรือนตระกูลซือถูกำลังรบหายไปครึ่งส่วนเขาพูดเบาๆ
“เราโดนกับดักพวกมันแล้ว!”
“พวกมันไม่ได้เล็งตระกูลชางก่วน!แต่เป็นตระกูลซือถูของท่าน!”
ซือหยูเตือนนาง
อะไรนะ?ตระกูลซือถูคือเป้าหมายจริงของพวกมันรึ? นายหญิงซือถูอ้าปากค้าง
นางไม่กล้าจะบุ่มบ่ามไม่ต้องพูดถึงคนในตระกูลที่กำลังกระวนกระวายอยู฿่เลย
“เจ้าบอกรายละเอียดมากกว่านี้ได้หรือไม่ถ้าหากมีเหตุผล ข้าจะจัดการให้ตระกูลพร้อมรบ! ข้าแค่ไม่อยากจะทำให้เกิดความวุ่นวายก่อนจะเห็นหลักฐาน”
ซือหยูจ้องมองค่ายกลเพลิงขนาดยักษ์เขาอธิบาย
“สามวันก่อนข้าได้ข่าวว่าตระกูลชางก่วนถูกโจมตีมาหลายวันแล้ว!”
ซือหยูพูดต่อ
“ในความคิดท่านคนแบบใดกันที่จะโจมตีตระกูลเดียวมาหลายวันโดยไม่มั่นใจว่าจะชนะ? พวกมันต้องรู้ด้วยว่าคนตำหนักโลหิตใช้เวลาสามวันที่จะไปถึงตระกูลชางก่วน แล้วศิษย์ที่ทำภารกิจอยู่ใกล้ๆก็จะมาถึงเร็วกว่านั้น!”
ซือหยูส่ายหน้า
“พวกมันไม่กลัวว่าจะแพ้ถ้าโจมตีชางก่วนต่อไปแล้วถูกกำลังตำหนักโลหิตบดขยี้เลยหรือ?”
“ดังนั้น…เป้าหมายของพวกมันมิใช่การพิชิตชางก่วนแต่เป็นการปิดบังแผนการที่แท้จริง!”
จิตใจซือหยูกระจ่างชัดเขาคิดอ่านได้อย่างแม่นรยำ
นายหญิงซือถูคิดตามแต่ก็ไม่เข้าใจว่าซือหยูพยายามจะพูดอะไร
“ข้ายังไม่เข้าใจพวกมันต้องการอะไรกันแน่?”
ซือหยูตอบ
“พวกมันทำสิ่งที่ต้องการไปแล้ว!”
เขาชี้ค่ายกลป้องกันของตระกูลซือถูที่เสียกำลังตระกูลไปครึ่งส่วนนายหญิงซือถูตระหนักได้ในทันที นางชักสีหน้าด้วยความตกตะลึง
“จะ…เจ้าจะบอกว่าพวกมันดึงกำลังคนไปที่อื่นแต่เป้าหมายคือสิ่งอื่นรึ?”
นางกระพริบตาเร็วๆ
“พวกมันแสร้งทำเป็นตระกูลชางก่วนเพื่อล่อคนจากตำหนักโลหิตให้ไปที่นั่นแล้วมันจะใช้จังหวะนี้จู่โจมตระกูลข้าสินะ?”
ซือหยูพยักหน้า
“พวกมันยังจงใจทำร้ายพวกชางก่วนโดยไม่ฆ่าหลายคนจากตำหนักโลหิตที่ไปเลยต้องเสียเวลารักษาบาดแผลคนเหล่านั้น!”
เขาพูดต่อ
“นี่ทำให้กำลังคนลดลงไปมหาศาลตำหนักโลหิตจึงต้องมายืมกำลังคนจากตระกูลใกล้ๆ ซึ่งก็คือตระกูลซือถูที่อยู่ใกล้ที่สุด มันต้องการจะทำให้ตระกูลซือถูอยู่ในสภาพอ่อนแอ! พวกมันวางแผนมาอย่างดี!”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเงียบกริบคนตระกูลซือถูหนาวสั่นถึงกระดูก การคิดอ่านของซือหยูนั้นชัดเจนมีเหตุผล พวกเขามิอาจปฏิเสธได้!
พวกเขาล้วนคิด…หากไร้กำลังครึ่งหนึ่งก็เท่ากับว่าตระกูลพวกเขาอ่อนแอที่สุดและง่ายที่จะถูกรุกรานไม่ใช่รึ?
เป้าหมายจริงของศัตรูหาใช่ชางก่วนแต่เป็นซือถู!นายหญิงซือถูใบหน้าหวาดกลัว นางตัวสั่นเล็กน้อย
หลังจากเสียสติไปครู่หนึ่งสุดท้ายนางพูดขึ้นมา
“ส่งคำสั่งรวมพลภูติแห่งซือถูสั่งให้ทุกคนพร้อมรบ!”
จากนั้นนายหญิงซือถูเรียกหยกสื่อสารออกมาและพูดอัดเสียง นางยกมันขึ้นเหนือศีรษะ หยกสื่อสารหายไปในความว่างเปล่า มันกำลังนำสารไปหาเจ้าตำหนักคงฉานที่ยังเดินทางไปไม่นาน
แต่หลังจากที่มันได้เจอกับค่ายกลเพลิงหยกสื่อสารก็หล่นลงกับพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ!
“มีคนข้างนอกตั้งค่ายกลไว้ข้าส่งข่าวไปข้างนอกไม่ได้!”
นายหญิงซือถูหน้าซีด
ทุกคนใจหายมีคนเล่นสกปรกใส่พวกเขาจริง! พวกเขาตกตะลึง…
“ศิษย์ตำหนักโลหิตคนนั้นพูดถูก!พวกเราเป็นเป้าหมายของมัน!”
“ใครกันแล้ว…พวกมันทำได้ยังไง? ตอนที่เจ้าตำหนักคงฉานอยู่ นางไม่รู้เรื่องค่ายกลนี้รึ? ยอดฝีมือประเภทใดกันที่ตั้งค่ายกลอื่นเอาไว้?”
“ไม่นะ!ถ้าส่งข่าวไม่ได้ ตระกูลพวกเขาจะถูกบดขยี้แน่!”
“อย่าแตกตื่น!”
นายหญิงซือถูตะโกนเมื่อเห็นว่าผู้คนเริ่มคุ้มคลั่ง
ความยิ่งใหญ่ของนางมีประโยชน์ในยามนี้ทุกคนเงียบลงทันที
“พวกเจ้าทุกคนเอาหยกสื่อสารตัวเองออกมาส่งข่าวให้เจ้าตำหนักคงฉานอย่าใช้วิธีเดียวกันส่งข่าว!”
เมื่อได้ฟังคำสั่งคนหลายพันทำอย่างที่นางบอก แม้กระนั้นมันก็ตามมาด้วยเสียงหยกแตกเป็นเสี่ยงๆตามๆกัน ทุกคนหนักใจยิ่งกว่าเดิม พวกเขาส่งข่าวออกไปไม่ได้เลย
“ไม่มีใครส่งข่าวได้เลย!พวกเราแย่แน่!”
มีคนหนึ่งตะโกนผู้คนเริ่มตื่นตระหนกอีกครั้ง
นายหญิงซือถูแววตาหม่นหมอง
“พวกเจ้าทุกคนหุบปาก!พวกเจ้าแตกตื่นก่อนที่ข้าศึกจะมาถึงด้วยซ้ำ! ถ้าพวกมันมาถึงจริงๆ พวกเจ้าปล่อยให้พวกมันทรมานพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวเรอะ?”
ผู้คนเงียบลงอย่างวรวดเร็วพวกเขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะข่มความกลัว
“เงาผีซันเอานักรบแดนตายสิบคนออกไปคนละทิศทาง ถ้าเจ้าหนีไปได้ไกลพอ เจ้าจะไม่อยู่ภายใต้พลังค่ายกลอีกแล้ว…”
นายหญิงซือถูสั่งการ
นางพูดเสริม.ไอลีนโนเวล.
“จากนั้นเจ้าต้องส่งข่าวทันที!เจ้าต้องบอกเจ้าตำหนักคงฉานถึงสถานการณ์ของเรา บอกให้นางเอากำลังของเรากลับมา”
ฟึ่บ!
สายลมพัดโหยหวนเงาทมิฬกลุ่มหนึ่งปรากฏอย่างไร้เสียงข้างนายหญิงซือถู พวกเขารวดเร็วจนภูติมองตามไม่ทัน
ซือหยูตกใจเล็กน้อย…เร็วมาก!คนนั้นจะต้องมีร่างกายขั้นจ้าวเทวะระดับห้า!
แม้เขาจะเป็นเพียงจ้าวเทวะระดับสองร่างกายของเขาก็โดดเด่นอย่างมาก ไม่นานก็มีอีกสิบเงาพุ่งตามมา แต่ละคนมีร่างกายของจ้าวเทวะระดับสาม
ตระกูลซือถูแอบฝึกฝนกำลังทหารนี้เอาไว้!ซือหยูพยักหน้าเงียบๆ เพื่อจะมีกำลังอำนาจในดินแดนพรสวรรค์ พวกเขาจำต้องเตรียมการล่วงหน้า!
“นายหญิงสบายใจได้พวกเราจะทำตามที่ท่านสั่ง!”
เงาผีซันรับคำสั่งและหายลับเป็นเส้นดำออกไป
อีกสิบคนที่เหลือแยกไปคนละทิศทางเหตุผลในการไปของพวกเขามิใช่การต่อสู้ แต่เพื่อหนีจากค่ายกล! ในสิบเอ็ดคนนี้ แค่รอดคนเดียวก็พอแล้ว
สิบคนมีความเร็วของจ้าวเทวะระดับสามอีกหนึ่งก็เร็วเท่าจ้าวเทวะระดับห้า ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้นอกจากศัตรูที่มีกำลังไร้ขีดจำกัด!
ปั้ง!
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ไปไกลร่างหนึ่งก็ตกลงมาจากเมฆกระแทกค่ายกลเหนือป้อมปราการ มันลุกไหม้อย่างรุนแรงก่อนจะตกลงมากระแทกเกาะ!
ที่อกของศพนั้นถูกทะลวงจากหน้าไปถึงหลังเขาตายอย่างทุกข์ทรมาน! ผู้คนจับจ้อง…เขาคือหนึ่งในสิบที่ส่งออกไปงั้นหรือ?
“แย่แล้ว!มีคนซุ่มโจมตีอยู่บนฟ้า!”
เขาตกตะลึง
คนตระกูลซือถูหายใจเข้าลึกพวกเขาเพิ่งจะเดินทางออกไปไม่กี่ลมหายใจ แต่หนึงในสิบก็ถูกสังหารไปแล้ว! คนที่เหลือนั้นมองเห็นได้ยาก พวกเขาอยู่ในหมู่เมฆา
ปั้ง!
จากนั้นเองอีกคนตกลงมาจากฟ้ากลายเป็นลูกไฟ เขากระแทกเข้ากับเกาะ!
ปั้ง!
ปั้ง!
สี่!
ห้า!
หก!
ร่างมนุษย์ตกลงมาราวกับหยาดฝนเงาทมิฬของทหารกำลังลับร่วงจากฟ้า! สีหน้าคนตระกูลซือถูดำมืดขึ้นเรื่อยๆ
เก้า!
สิบ!
ใบหน้างดงามของนายหญิงซือถูหน้าซีดราวกับคนตายนางมองเมฆาที่อัดกันแน่นบนนภา
“ใครที่อยู่ตรงนั้น!ออกมานะ!”
“ฮ่าๆๆๆข้าไม่ได้ซ่อนตัวด้วยซ้ำ! พวกเจ้าก็แค่โง่เขลาเกินกว่าจะเห็นข้า!”
เสียงชั่วร้ายดังมาจากส่วนลึกในหมู่เมฆ
ไม่นานหลังจากนั้นเงาทมิฬจำนวนมหาศาลแล่นผ่านเมฆา มันเป็นเงาที่หนาแน่นราวกับฝูงอะไรบางอย่าง
พร้อมกันนั้นยังมีเสียงร้องแหลมดังตามมาพร้อมกับแรงกดดันวิญญาณขนาดมหึมาสายลมคลั่งพัดหวนก่อตัวเป็นวายุหลายลูกพัดเมฆออกไปเป็นระยะกว่าพันลี้ เมื่อนั้นพวกเขาจึงได้เห็นเงาทมิฬได้อย่างชัดเจน!
ทุกคนตกตะลึงมันมิใช่เงาของมนุษย์หรือแมลง! แต่มันคือวิหคดุร้ายที่มีร่างกายใหญ่โต!
วิหคเหล่านี้มีตั้งแต่ภูติระดับหนึ่งจนถึงจ้าวเทวะระดับห้า!มีวิหคจ้าวเทวะระดับสี่ถึงห้าตัว ส่วนระดับสามลงมาก็มีไม่ต่ำกว่าร้อย!
ส่วนพวกที่เป็นภูตินั้นมีมากมายจนนับไม่ได้!อย่างน้อยก็มีหมื่นตัว!
เสียงกรีดร้องแหลมของพวกมันดังก้องไม่หยุดพลังอันชั่วร้ายที่มากับแรงกดดันวิญญาณหนาแน่นนั้นปกคลุมท้องนภาจนมิด ทุกคนโศกเศร้าถึงขีดสุด!
พวกเขาคิด…ศิษย์นอกจากตำหนักโลหิตจะช่วยต้านทานกำลังขนาดนี้ได้ยังไง?
นอกจากศิษย์ทั้งตำหนักนอกจะมาไม่ว่าพวกเขาจะพลีชีพไปเท่าไหร่ก็ไม่พอ! พวกเขากำลังจะกลายเป็นอาหารวิหคพวกนี้!
พวกเขาไม่มีหวังจะได้ติดต่อเจ้าตำหนักคงฉานให้คืนกำลังมาอีกแล้วต่อให้นางคืนกำลังกลับมามันก็ไร้ประโยชน์! แม้แต่เจ้าตำหนักคงฉานที่เป็นจ้าวเทวะระดับหกเองก็อาจจะตายอนาถกับกำลังวิหคระดับนี้!
ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือเจ้าตำหนักคงฉานอาจจะตายไปแล้วก็ได้!เพราะถ้าพวกนางเจอกำลังระดับนี้ พวกนางจะกลายเป็นอาหารโอชะของพวกมันในพริบตาจนไม่เหลืออะไรเลย
ซือหยูหายใจเข้าลึกนี่คือฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่! ในดินแดนพรสวรรค์ นอกจากตำหนักโลหิตกับตำหนักเมฆาม่วงก็ไม่มีที่ใดจะต้านทานกำลังระดับนี้ได้!
เขาคิด…ผู้อยู่เบื้องหลังการรุกรานดินแดนพรสวรรค์คือใครกัน?ทำไมถึงไม่มีใครรู้เรื่องการซ่องสุมกำลังนี้เลย? ไม่แปลกใจเลยที่ตระกูลลำดับสามจะถูกทำลายล้างในข้ามคืน!
และเมื่อภัยครั้งใหญ่ปรากฏให้เห็นแจ่มชัดแบบนี้ก็พอจะเดาได้ว่าสำนักอย่างตำหนักศีลหวนคืนกับตำหนักชิงวิญญาณจะถูกทำลายล้างในข้ามคืนเช่นกัน!ในบรรดาวิหคเหล่านี้ มีเหยี่ยวตัวหนึ่งที่มีสีทองทั้งตัว ดวงตาของมันคมกริบและน่ากลัว
มันน่าจะเป็นจ่าฝูงของเหล่าวิหคนี้มีชายชุดสีม่วงคนหนึ่งยืนอยู่บนเหยี่ยวทองคำ ดวงตานั้นชั่วร้าย
นายหญิงซือถูสั่นไปทั้งตัวนางโศกเศร้าในทุกมุมของหัวใจ นางไม่รู้เลยว่าจะต่อต้านกับภัยครั้งนี้อย่างไร แม้จะเป็นเวลาที่กำลังสูงสุด ตระกูลซือถูก็มิอาจต้านทานกำลังมหาศาลเช่นนี้ได้ และตอนนี้พวกเขายังอยู่ในยามที่อ่อนแอที่สุดอีก!
คนตระกูลซือถูต่างสิ้นหวังบางคนเข่าอ่อนจนล้มลงไป ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือพวกที่นอนนิ่งบนพื้น พวกเขานอนนิ่งขยับอะไรไม่ได้เพราะความกลัว!
ในตอนนั้นเองความอบอุ่นได้ส่งผ่านมาที่มือของนายหญิงซือถู ขณะที่มีเสียงอันอ่อนโยนแต่แข็งแกร่งดังจากข้างหู
“นายหญิงซือถูเข้มแข็งไว้! ถ้าท่านหวั่นไหวในตอนนี้ คนของท่านก็จะสิ้นหวังตามไปด้วย”
นายหญิงซือถูส่ายหน้าขจัดความคิดเศร้าหมองนางก้มหน้ามองมือที่จับมือนางเอาไว้ มันดูหยาบกร้านจากความแก่เฒ่า แต่มันก็อบอุ่นและทรงพลังราวกับชายหนุ่ม
นางเงยหน้ามองและได้พบกับใบหน้าอาสุโสที่ดูแข็งแกร่งมันดูสงบสุข เยือกเย็นแ ละหนักแน่น ราวกับฟ้าถล่มจะทำอะไรไม่ได้
“ความหวัง…อยู่ที่ไหนกันเล่า…”
เสียงของนายหญิงซือถูแหบพร่าจากความเศร้าหมอง
ซือหยูมองฝูงสัตว์อสูรและพูดอย่างไม่แยแส
“จะต้องมีเหตุผลที่พวกมันลงมือในตอนที่ตระกูลซือถูอ่อนกำลังอยู่แน่ถ้ามันไม่กลัวอะไร มันก็คงจะลงมือไปนานแล้ว!”