The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 962 - กลายเป็นคนรักของเจ้า
DND.
ชายเสื้อซือหยูโบกสะบัดเส้นไหมไร้รูปร่างทอดยาวไปถึงเท้า กิ่งไม้ที่แข็งแรงถึงขีดสุดถูกตัดออกเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย ซือหยูเบี่ยงไหล่หลบหนามที่พุ่งเข้ามา เขาขยับนิ้วโป้งและนิ้วชี้หลายครั้งเพื่อตัดหนามนั้น
เมื่อแขนจินมู่ถูกตัดของเหลวสีเขียวอมฟ้าได้พุ่งกระจายออกมา แต่จินมู่ก็ยังคงมีสีหน้าใจเย็นอยู่อย่างเดิม ความเจ็บปวดไม่ได้แสดงออกทางใบหน้า เขามองซือหยูด้วยความแปลกใจ เขาคิดว่าซือหยูรอดพ้นมาได้ยังไง มือเขาที่กลายเป็นหนามนั้นแข็งแกร่งกว่ากิ่งไม้มากนัก แต่มันก็ถูกตัดขาดไปอย่างลึกลับ แสงสีเขียวขุ่นปรากฏในมือและรีบฟื้นฟูตัวกลับ จินมู่ไม่ได้เจ็บปวดเลย
“ข้าประเมินเจ้าต่ำไปข้าคงทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่ใช้วิชาบางอย่างออกมาบ้าง…”
จินมู่พูดอย่างเย็นชาตาไม้สีเขียวผุดออกมาจากอก มันดูอ่อนนุ่มมาก หมอกสีเขียวก่อเกิดภายในตาไม้และแพร่กระจายไปยังอากาศก่อนจะหายไป หมอกนี้ดูธรรมดาและไม่มีพลังอะไร
แต่ในเวลาต่อมาตาไม้ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว มันสูงเท่ากับตัวคน ตาไม้ได้กลายเป็นต้นไม้ที่อิสระจากร่างจินมู่และลอยขึ้น มันปล่อยแสงอันงดงามออกมา รูปร่างมันเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นร่างมนุษย์ เมื่อสายลมอ่อนพัดโชย ต้นอ่อนร่างสูงก็ได้เผยรูปลักษณ์ มันคือสตรีงามที่สวมชุดสีเขียว
ซือหยูตกใจเมื่อเห็นนาง
“ลู่จือยี่!”
เขาอุทานเขาไม่คิดเลยว่าต้นอ่อนจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้ ซือหยูหยุดคิดไม่ได้ว่าเขาเห็นภาพหลอนไปขณะหนึ่ง
“เจ้ารู้จักนางรึ?อย่างนั้นก็ดีแล้ว นี่คือเมล็ดที่ข้าเพิ่งจะบ่มเพาะจากแก่นโลหิตของนาง มันมีพลังสองในสามของเจ้าของเลือด…”
จินมู่กล่าว
ซือหยูขนลุกเขายังจำได้ว่าตอนที่จินมู่ท้าแข่ง เขาได้ขอแก่นโลหิตสิบหยดกับซือหยูหากชนะ จินมู่มีพลังวิเศษที่แปลกประหลาด เขาใช้แก่นโลหิตหยดเดียวในการสร้างร่างปลอมของเจ้าของเลือดโดยมีพลังถึงสองในสาม
“จัดการมัน!”
จินมู่ตะโกนและวิ่งเข้าหาซือหยูลู่จือยี่ถือกระบี่ไม้ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แววตานางไร้ชีวิต นางจู่โจมซือหยูอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของลู่จือยี่ไม่ได้ช้าไปกว่าจ้าวเทวะระดับหก พลังที่ออกมาจากร่างของนางเองก็เทียบได้กับจ้าวเทวะระดับหก นี่คือพลังสองในสามของลู่จือยี่
ซือหยูลังเลไปครู่หนึ่งเมื่อเผชิญหน้ากับร่างปลอมของนางแต่สายตาเขาก็เปลี่ยนมาเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว เขาใช้หยกแก่นเพลิงสยายปีกและขยับไปทางซ้าย แต่เมื่อเขาหลบการโจมตีนี้ไปได้ก็มีอีกการโจมตีตามมาที่ด้านหลัง มันเล็งหัวใจของเขา
ซือหยูเรียกเส้นไหมออกมาตัดสิ่งที่เข้ามาด้านหลังเป็นสองท้อนพร้อมกันนั้นตาขวายังเปล่งแสงสีรแดง
“เคลื่อนย้ายมิติ!”
เขากู่ร้อง
ลู่จือยี่ที่บินผ่านซือหยูไปถูกเคลื่อนย้ายกลับมาถัดจากแขนขวาของซือหยูเขาใช้เส้นไหมเฉือนเอวของนาง แต่ก็น่าตกใจที่ลู่จือยี่นั้นไม่เป็นอะไร สิ้นส่วนร่างที่ถูกตัดขาดจากกันหลอมรวมกันอีกครั้ง
ซือหยูขมวดคิ้วเขาใช้เส้นไหมตัดร่างนางเป็นสองส่วนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาแบ่งครึ่งร่างนางในแนวตั้ง แต่นางยังคงไม่ตาย บาดแผลทั้งหมดของนางสมานกันอย่างรวดเร็ว มันฟื้นฟูได้ในพริบตาเดียว
ลู่จือยี่ได้โอกาสฟันกระบี่ใส่ซือหยูจนเขาต้องถอยสีหน้าซือหยูไม่สู้ดีนัก เขากำลังลำบากจริง ๆ และถ้าเขาไม่มีวิชาพิเศษที่เหมาะกับการจัดการนาง เขาก็แทบจะสังหารลู่จือยี่ไม่ได้ แล้วไหนจะจินมู่อีก พวกเผ่าไม้มีพลังในการเกิดใหม่และพลังการฟื้นฟู เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ
“พลังมิติรึ?ดี…ดีมาก! พวกมันบอกว่าเจ้ามีกายาวิญญาณโบราณ ข้ายินดียิ่งนักที่จะบอกว่าข้าไม่ได้มาตำหนักโลหิตเพื่อแข่งอะไรกับเจ้าเพราะเจ้าดินแดนมีดสวรรค์ แต่ข้าต้องการแก่นโลหิตของเจ้าตามที่นายท่านบอก..”
จินมู่พูดอย่างเย็นชา
นายท่าน?ผู้เป็นนายของจินมู่คือใครกัน? ไม่ใช่เจ้าดินแดนมีดสวรรค์หรอกหรือ?
แต่ก็อาจจะเป็นเรื่องจริงเพราะถ้าหากเจ้าดินแดนมีดสวรรค์ได้ครอบครองชาวเผ่าไม้อย่างจินมู่จริง พวกเขาก็คงไม่ต้องพ่ายแพ้ราบคาบในพิธีเซ่นป่าปีศาจร้าง
“บังเอิญนักข้าก็สนใจเจ้าอยู่เหมือนกัน…”
ซือหยุพูดอย่างเย็นชา
จินมู่ยิ้มเยาะ
“เจ้าอวดดีเกินไปรองเสี่ยวคงจะจัดการปิงหวูชิงไปแล้ว ข้าก็จะจบชีวิตเจ้าด้วยเช่นกัน”
หลังจินมู่พูดจบตาไม้อีกต้นผุดออกมา ครั้งนี้มิใช่แค่หนึ่งแต่มาถึงสิบ! ตาไม้ทั้งสิบงอกออกจากร่างลอยขึ้นฟ้า และกลายเป็นร่างมนุษย์ พลังอันแข็งแกร่งทั้งสิบคลื่นปะทุออกมา คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่แข็งแกร่งแต่ซือหยูไม่รู้จักใครเลย
แต่เขาก็บอกได้ว่าคนที่อ่อนแอที่สุดนั้นเป็นจ้าวเทวะระดับเจ็ดหนึ่งในนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งเทียบเท่าจ้าวเทวะระดับเก้า ถ้าหากสองในสามของพลังมีพลังมากถึงขั้นนี้ ต่อให้เจ้าของแก่นโลหิตไม่ใช่อสูรเนรมิตร พวกเขาก็ต้องเป็นจ้าวเทวะระดับเก้าในขั้นสูงสุด Aileen-novel
ซือหยูมองไปยังคนหนึ่งที่สวมหน้ากากสีทองเผยให้เห็นแค่เพียงดวงตาสดใสสีเขียวมรกตดวงตาของเขาคล้ายกับดวงตาของอสรพิษ เขามีนัยน์ตาที่ประหลาด นัยน์ตาคนปกตินั้นจะเป็นทรงกลม ขณะที่เขามีนัยต์ตาเหมือนบุพผาบานสะพรั่ง มันงดงามและมีเสน่ห์อันชั่วร้ายชวนลุ่มหลง ซือหยูไม่เคยเห็นดวงตาที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเผชิญหน้ากับคนหนุ่มสาวมากมายซือหยูสะบัดปีกบนหลังและหนีไปทันที แค่สู้กับลู่จือยี่ที่เป็นอมตะคนเดียวก็หนักหนาพออยู่แล้ว หากต้องสู้อีกสิบคนก็คงจะไม่ไหว แล้วยังมีคนสวมหน้ากากสีทองที่มีดวงตาประหลาดอีกคน
จินมู่แสยะยิ้ม
“จะหนีรึ?”
เขาสั่งร่างปลอมทั้งสิบเอ็ดคนไล่ตามซือหยูไปด้วยพลังมหาศาลของแต่ลบะคน พวกเขาล้อมซือหยูได้ในพริบตา ทุกคนจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน การโจมตีหลากหลายกระบวนท่ามากมายนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่พื้นที่ที่ซือหยูอยู่ ไม่มีโอกาสให้เขาได้หนี เมื่อแสงพลังทั้งสิบเอ็ดหายไป ที่นั่นก็ว่างเปล่า
จินมู่ผงะหลัง
“มันตายง่ายอย่างนั้นเชียว?”
จินมู่บินไปยังจุดที่ซือหยูเคยอยู่เขาเลิกคิ้ว
“ถ้าร่างถูกบดขยี้กลิ่นคาวเลือดก็ต้องเหลืออยู่บ้าง มันหนีไปได้รึ?”
เขาสั่งให้ร่างปลอมทั้งสิบเอ็ดกระจายกันค้นหาแต่ทั้งสิบเอ็ดก็ไม่พบอะไรเลย
“บัดซบ!มันหนีไปได้จริง ๆ เป็นไปได้ยังไง?”
จินมู่โกรธเกรี้ยวแม้แต่ร่างปลอมจากแก่นโลหิตของอัจฉริยะที่เก่งที่สุดทั้งสิบจากดินแดนมีดสวรรค์ก็ทำอะไรเขาไม่ได้
จินมู่กำลังจะตามหาซือหยูต่อแต่เครื่องประดับหยกบนเอวของเขาได้เปล่งแสงออก เขาหยิบขึ้นมาทุบมัน จากนั้นจึงได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ
“เจ้าขยะนั่นทำอะไรผู้หญิงคนเดียวยังไม่ได้!”
จินมู่ลังเลก่อนจะกัดฟันเลิกคิดตามหาซือหยู
“พวกเจ้าตามข้ามา!”
จินมู่พาร่างปลอมทั้งสิบเอ็ดไปกับเขาหลังจากพวกเขาจากไป มิติใต้ต้นไม้ใหญ่ได้ขยับเขยื้อนออก มีบางอย่างก้าวออกมา มันเผยให้เห็นร่างของซือหยูกับกงซุนหวูซื่อที่อยู่ใกล้ ๆ เขา
“หึหึพี่หยูเซี่ยน ผ้าคลุมวิญญาณของข้าน่ะเยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”
กงซุนหวูซื่อหัวเราะเบาๆ นางแอบตามเขามาตลอด นางใช้ผ้าคลุมนี้กำบังกาย และในเวลาที่ซือหยูกำลังจะหนีไม่พ้น นางได้เข้ามาปกป้องซือหยูก่อนจะพาเขามาซ่อน ผ้าคลุมนี้ค่อนข้างพิเศษ มันมิได้บิดบังแค่ร่างกายและพลัง มันยังซ่อนสัญญาณชีพได้อีกด้วย คนที่อยู่นอกผ้าคลุมไม่มีทางเห็นได้เลย ผ้าคลุมนี้มีพลังที่คล้ายกับพลังเซียนของราชาเขตกลางอย่างมาก
“ก็ดีอยู่หรอกแต่เจ้าไม่ต้องมายืนใกล้ข้าขนาดนี้ก็ได้”
ซือหยูก้มลงมองดูแขนนางที่กอดแขนเขาจนแน่นครึ่งร่างของนางเอนมาที่เขา ผ้าคลุมที่ค่อนข้างกว้างอยู่แล้ว ไม่ยากที่จะใช้ร่วมกันได้เพิ่มอีกคน
“แบบนี้ปลอดภัยกว่านะถ้าพวกร่างปลอมมาเจอพวกเราจะทำยังไง?”
กงซุนหวูซื่อกลอกตา
ซือหยูยืนขึ้นมองจุดที่จินมู่บินไปเขาพูดด้วยเสียงลึกล้ำ
“ปิงหวูชิงกำลังจะแย่เราต้องรีบกลับไปช่วยนาง”
“พี่เอาชนะร่างปลอมพวกนั้นได้หรือ?พวกมันแข็งแกร่งนะ”
กงซุนหวูซื่อยังคงกอดแขนซือหยูเอาไว้นางยิ้มขณะที่พูด
ซือหยูลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“จัดการจินมู่ไม่ใช่เรื่องยากถ้าข้ามีโอกาส ข้าจะฆ่ามันได้แน่นอน ปัญหาเดียวคือร่างปลอมพวกนั้น พวกมันมีพลังในการฟื้นฟู ถ้าหากข้าหาวิธีจัดการมันไม่ได้ก็ยากที่จะฆ่ามัน”
ซือหยูขมวดคิ้ว
ซึ่งแท้จริงเขาพบวิธีทำลายร่างปลอมเหล่านั้นแล้วนั่นคือการใช้ไฟ ไฟเกิดจากการลุกไหม้ในไม้ มันคือสิ่งที่ไม้ชิงชัง ถ้าเขาใช้เพลิงที่รุนแรง เขาจะจัดการร่างปลอมเหล่านั้นได้ แต่เพลิงจะต้องแข็งแกร่งพอ มิเช่นนั้นร่างปลอมจะฟื้นตัวกลับมาอีก
เพลิงของกิเลนน้อยนั้นแข็งแกร่งมากเขามันก็กำลังทำภารกิจสำคัญในการตีกระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์อยู่ คงยากที่จะขอยืมเพลิงของมันได้
แต่ถ้าหากซือหยูไม่มีทางแก้คืนเขาจะต้องจำใจชะลอการตีกระบี่ออกไปและใช้เพลิงกิเลนน้อยจัดการศัตรูแทน
“พี่หยูเซี่ยนข้ามีวิธีจัดการร่างปลอมพวกนั้น…”
กงซุนหวูซื่อพูดด้วยรอยยิ้มรอยยิ้มนางเหมือนกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
“หืม?วิธีไหนล่ะ?”
ฟึ่บ!
กงซุนหวูซื่อเรียกอาวุธที่เหมือนง้าวออกมามีไกอยู่ที่ด้ามและรูเปิดที่ปลายง้าว มันยาวสิบเอ็ดศอก สูงกว่ากงซุนหวูซื่อถึงสองเท่า
มันเหมือนกับอาวุธปืนในสมัยใหม่แต่มันแตกต่างกันเพราะว่ามันไม่ได้ต้องบรรจุกระสุน แต่เป็นยันต์
“ตอนที่ข้าเจออันตรายครั้งที่แล้วท่านพ่อส่งมันมาให้ข้าใช้ปกป้องตัว ข้าจะลองใช้มันดู”
กงซุนหวูซื่อพูด
“พี่อย่าได้ดูถูกมันมันคือสมบัติกึ่งภูติ ข้างในมีแต่ยันต์ระดับสูง ถ้าข้ายิงโดยใคร ต่อให้จ้าวเทวะระดับเก้าก็ต้องแหลกเป็นชิ้น ๆ”
ซือหยูสัมผัสได้ว่ายันต์ด้านในปืนนี้เต็มไปด้วยพลังของเพลิงซึ่งมีพลังที่อ่อนกว่าเพลิงจากกิเลนน้อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกมันจากระยะไกลคงไม่ยากที่จะจัดการพวกมันจนหมด…”
กงซุนหวูซื่อกล่าว
ซือหยูพูดทันที
“แล้วเจ้าจะรออะไรอยู่เล่า?ไปที่นั่นกันเร็ว ถ้ากำจัดร่างปลอมได้ จัดการจินมู่ก็ง่ายขึ้นเยอะ”
กงซุนหวูซื่อยังคงไม่เคลื่อนไหวนางมองซือหยูด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูถาม
“เจ้าต้องการอะไร?”
อสูรน้อยคงไม่คิดจะจัดการเขาในจังหวะสำคัญ…สินะ?
“หึหึพี่หยูเซี่ยน ข้าไม่ต้องการอะไรหรอก แต่สัญญากับข้าสักอย่างจะได้หรือไม่…”
ซือหยูขมวดคิ้ว
“เจ้าพูดจาคลุมเครือนักสัญญาแบบไหนกัน?”
“ข้าอยากจะเป็นคู่รักกับพี่หยูเซี่ยน…”
กงซุนหวูซื่อพูดออกมาด้วยความกล้า