The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 970 - ทำข้อตกลง
ข้อเสนอของปิงหวูชิงค่อนข้างน่าสนใจตำหนักชิงวิญญาณสมคบคิดกับเขตกลางและค้นพบตัวตนที่แท้จริงของซือหยูจนได้ เขาปรารถนาจะสังหารพวกมันมานานแล้ว ซือหยูคงดีใจหากพวกมันตายหมด เขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธปิงหวูชิงคนนี้เลย
แต่ใบหน้าของปิงหวูชิงอีกคนแล่นเข้ามาในใจซือหยูตอบอย่างเย็นชา
“ข้าขอปฏิเสธ”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมปิงหวูชิงคนนี้ถึงพยายามขวางปิงหวูชิงอีกคนหรือว่าพวกนางผิดใจอะไรกันเขาก็ไม่คิดจะทรยศใคร
ตอนนี้มีโอกาสสูงมากที่เขาจะพลาดแดนมณีโดยเฉพาะเมื่อปิงหวูชิงคนนี้เปิดเผยตัวตนของเขา หากทุกคนรู้ว่าเขาคือศัตรูของราชาเขตกลางก็คงจะไม่มีสำนักใดที่กล้ายื่นมือช่วยเขา แต่ซือหยูตัดสินใจดีแล้วไม่สำคัญเท่าใดนักว่าเขาจะได้ไปแดนมณีหรือไม่
“ถ้าเจ้าอยากเปิดโปงข้าก็ทำไปเลย”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็นเขาเตรียมใจที่จะเลิกล้มการไปแดนมณีและหนีจากตำหนักโลหิตอยู่แล้ว
แต่ซือหยูก็แปลกใจที่พบว่าปิงหวูชิงคนนี้ไม่ได้ผิดหวังหรือโกรธแค้นนางยังไม่คิดจะขู่เขา นางมองเขาด้วยแววตามีเลศนัย
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นนี้แต่ถึงมันจะไม่น่าเชื่อ มันก็ยังมีเหตุผล”
นางกำมือภาพเขียนที่นางถือถูกไฟลุกท่วมเป็นเถ้าถ่าน
“นี่มันหมายความว่ายังไง?”
ปิงหวูชิงตอบด้วยรอยยิ้ม
“ก็อย่างที่เจ้าเห็นข้าจะเก็บความลับเจ้าเอาไว้”
ซือหยูจ้องนางเขาพยายามคิดว่านางคิดอะไรรู้ “ปิงหวูชิงโชคดีแล้วที่เจอคู่หมั้นอย่างเจ้าช่วยไม่ได้ที่ข้าจะอิจฉา”
ปิงหวูชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มนางอิจฉาก็เพราะตัวตนที่แท้จริงของซือหยูและความทุ่มเทที่เขามีให้ปิงหวูชิงอีกคน
“เจ้าจะยอมไปทั้งอย่างนี้หรือ?”
ซือหยูถามเขาไม่อยากจะเชื่อง่าย ๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
ปิงหวูชิงพูดด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“ข้าจะเลิกต่อรองให้เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้าแต่ข้าคงไม่ปล่อยยอดฝีมืออย่างเจ้าไป ข้าจะเปลี่ยนเงื่อนไข ข้าจะไม่ใช้เจ้าขวางทางปิงหวูชิง เจ้าแค่ต้องช่วยให้ข้าชนะในการต่อสู้สุดท้ายที่แดนมณี”
ถ้าซือหยูที่มีพลังไร้เทียมทานและสามารถสังหารจักรพรรดิโลหิตได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ารวมถึงองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้ายินดีช่วยนางในแดนมณีนางจะชนะได้ในทุกการต่อสู้ ซือหยูคิดเงื่อนไขนี้ถือว่ายังพูดคุยกันได้
“ส่วนเรื่องการตอบแทนข้าจะไม่เพียงแค่เก็บความลับเจ้า ข้าจะเตรียมที่บ่มเพาะพลังให้เจ้าโดยที่จะไม่มีใครรบกวนเจ้าได้…”
ปิงหวูชิงกล่าว
ซือหยูเริ่มสนใจ
“อะไรกัน?เจ้าจะไม่ช่วยข้ากำจัดพวกตำหนักชิงวิญญาณที่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ?”
“หึหึเจ้าเพิ่งจะมาเสียใจเรื่องข้อตกลงที่แล้วรึ?”
ปิงหวูชิงพูดย้อนกลับไป
ซือหยูส่ายหน้าอย่างใจเย็น
“ข้าจัดการเองคงดีกว่ามันคงจะสบายใจกว่าให้เจ้าทำ”
ปิงหวูชิงยิ้ม
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า” ไอลีนโนเวล
นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“โอ้จริงด้วย ข้าต้องเตือนเจ้า คนตำหนักชิงวิญญาณจะมาที่นี่ในอีกสองเดือนเพื่อติดต่อกับตำหนักโลหิต ถ้าเจ้าไม่อยากให้พวกมันรู้ เจ้าควรจะเตรียมตัวให้ดี”
ซือหยูพยักหน้า
“เข้าใจล่ะ!”
ต่อให้นางไม่เตือนซือหยูก็ย่อมต้องเตรียมการเอาไว้ เขาต้องหาวิธีปิดบังใบหน้า มียอดฝีมือนับไม่ถ้วนในจิวโจว มีวิชาประหลาดมากมายอยู่ในตัวพวกเขา เขาไม่แน่ใจว่าจะมีใครสักคนที่มองเห็นอายุและรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาได้อีกหรือไม่ เขาจะต้องหาวิธีปิดบังตัวตนที่ดีกว่าเดิม
“ที่นี่คือที่บ่มเพาะพลังส่วนตัวของข้าอาจารย์เตรียมไว้เพื่อข้า ไม่มีใครนอกจากข้าที่รบกวนเจ้าได้ เจ้าบ่มเพาะที่นี่ไปก่อน เจ้าไม่ต้องกลับตำหนักนอก”
ปิงหวูชิงโยนสร้อยหยกม่วงให้ซือหยูมันคือแผนที่และมีพลังพิเศษอยู่ด้วย เขาใช้พลังพิเศษนี้ผ่านกลไลป้องกันได้ “แล้วเจอกันในอีกสองเดือนข้าจะรอดูเจ้า”
ปิงหวูชิงเหลือบมองซือหยูอย่างมีเลศนัยก่อนจะจากไปเหลือเพียงซือหยูอยู่คนเดียว
ซือหยูขมวดคิ้วเมื่อมองทิศทางที่ปิงหวูชิงไป
“ปิงหวูชิงคนนี้คือใครกันแน่?นางจะทำให้ม่อเทียนฉวนเลิกล้มความคิดที่จะค้นวิญญาณข้าได้ยังไง?”
สำหรับซือหยูม่อเทียนฉวนคือสตรีที่กล้าทำทุกอย่าง นางถึงกับผิดคำพูดต่อปฏิญาณสัตย์ดวงใจ แต่นางกลับมาฟังศิษย์ตัวเองน่ะหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นเป็นไปได้จริงหรือที่ปิงหวูชิงคนนี้จะบังเอิญได้ภาพเขียนซือหยูมาจากผู้เฒ่าตำหนักชิงวิญญาณ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ปิงหวูชิงคนนี้จะต้องมีสำนักใหญ่ยักษ์หนุนหลังอยู่ แล้วนางมีความสัมพันธ์อย่างไรกับปิงหวูชิงจากตำหนักนอกกัน? คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจซือหยูเขาตามแผนที่ไปบ่มเพาะพลัง เมื่อไปถึง เขาพบสมบัติวิเศษรูปร่างพีรามิดสีเงิน ทั้งตัวพีรามิดเปล่งพลังวิญญาณออกมา พลังด้านในพีรามิดนั้นแข็งแกร่งมาก
“สมบัติกึ่งภูติรึ?”
ซือหยูเบิกตากว้างสมบัติกึ่งภูติทั้งหมดเกิดมาพร้อมกับพลังวิญญาณ ยิ่งมีพลังวิญญาณมาก สมบัติก็ยิ่งมีพลังมาก
ซือหยูมีต้นแบบสมบัติภูติซึ่งก็คือตราสายฟ้าห้าธาตุ แต่มันไม่ได้มีพลังทางวิญญาณ สมบัติกึ่งภูติชิ้นนี้อาจจะเทียบได้กับหน้าไม้สวรรค์สร้างของกงซุนหวูซื่อก็ได้
หลังจากซือหยูเข้าไปในสมบัติภูติเขาพบว่ามีมิติพิเศษอยู่ด้านใน มันมีกระโจม สระน้ำ ซุ้มเล็ก ๆ และหุบเขาอันสงบสุขอยู่หลายแห่ง เสียงใบหญ้ากระทบดังสะท้อนกันไปมา มันทำให้จิตใจสงบลง จิตใจของเขาแจ่มใสขึ้น อีกทั้งยังทำสมาธิได้ดีขึ้น พลังวิญญาณมหาศาลยังล่อยล่องอยู่บนฟ้า มันหนาแน่นกว่าโลกภายนอกหลายเท่า
“สภาพแวดล้อมที่นี่ยอดเยี่ยมนัก”
ซือหยูพูดในใจถ้าหากปิงหวูชิงได้บ่มเพาะพลังในสมบัติกึ่งภูติเช่นนี้ ตำหนักโลหิตก็น่าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะบ่มเพาะนางแล้ว
ที่นี่กระโจมหลายแห่งนอกจากตรงกลางที่มีกลไลป้องกัน กระโจมอื่นนั้นว่างเปล่า
ซือหยูจ้องมองกระโจมตรงกลางก่อนจะก้าวเข้าไปที่กระโจมใกล้ๆ สร้อยหยกที่ได้มาเปล่งเสียงแหลมเมื่อเขาเข้าไป ค่ายกลป้องกันถูกใช้งาน ไม่มีอีกแล้วที่จะเข้ามาได้หากเขาไม่อนุญาต
เมื่อซือหยูเข้ามาด้านในเขาเรียกสองสิ่งออกมาตรงหน้าในทันที มันคือฝ่ามือดับสวรรค์ในกระบวนท่าที่สองและสามที่ได้มาจากองครักษ์แสงกระจ่างและคุกเทวะห้าธาตุ วิชาก่อนหน้านับได้ว่าเป็นวิชาระดับเซียนที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพลังเพิ่มขึ้น ซือหยูใช้ฝ่ามือสุริยาที่เป็นกระบวนท่าแรกได้อย่างดีแล้วมันนับได้ว่าแข็งแกร่ง แต่ก็น้อยกว่าที่ซือหยูคาดเอาไว้ พลังของมันอ่อนแอยิ่งกว่าวิชาระดับตำนานชั้นสูงอย่างมังกรเก้าอสูรเสียอีก แต่เขาต้องลองกระบวนท่าที่สองและสามถึงจะรู้ว่าวิชาใดที่แข็งแกร่งกว่ากัน
ส่วนคุกเทวะห้าธาตุในตอนนี้เขารู้อักษรอสูรเก้าสิบตัวแล้ว ถ้าบรรลุอีกสิบตัว เขาจะรู้ครบหนึ่งร้อยตัวและจะใช้พลังหนึ่งในสิบของมันได้ เขาจะสามารถกักขังอสูรเนรมิตรได้
ซือหยูเหลือเวลาอีกแค่สองเดือนเขาจะต้องเติบโตให้ทันเวลา
เขามองรอบๆ เมื่อให้แน่ใจว่าไม่ถูกจับตามองก่อนจะใช้พลังเร่งเวลา เขาพยายามเรียนรู้ฝ่ามือเทพดับสวรรค์และวิชาลับห้าธาตุขณะที่เวลาถูกเร่งความเร็วไปห้าร้อยเท่า
ขณะที่เขาปิดประตูฝึกตนพายุลูกหนึ่งได้ก่อตัวในสี่สิบห้าดินแดนของจิวโจว ในดินแดนที่อยู่เหนือสุด ดวงตะวันสีดำขึ้นทางขอบนภาปกคลุมดวงตะวันบนท้องฟ้า มันบดบังแสงตะวันจันทราทั้งหมดไป
หากมองดวงตะวันสีดำนี้ให้ดีจะพบว่ามีชายหนุ่มตัวสูงในชุดดำอยู่ด้วยแววตาของเขาเปล่งแสงสีทอง ราวกับว่าเขาคือราชาแห่งโลกใบนี้
“ในที่สุดหนึ่งในศิษย์สำนักอสูรสวรรค์ของข้าบรรลุวิชาตะวันดำอสูรสวรรค์แล้ว”
ความยินดีฉาบใบหน้าบุรุษที่สวมมงกุฎดำเหนือศีรษะมีพลังอสูรอยู่รอบตัวเขา
��