The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 971 - ฝ่ามือเทพสุริยา
แสงประกายในตาบุรุษสว่างไสวยิ่งกว่าสุริยาทมิฬมันพุ่งตรงมายังตำหนักโลหิตที่อยู่ในดินแดนตอนเหนือเช่นกัน
“นายท่านคิดผิดแล้วม่อเทียนฉวนก็คิดผิดเช่นกัน มีแต่ข้าที่เป็นคนถูก”
แววตาบุรุษส่องแสงประกายคมกริบ
รังสีพลังอันน่ากลัวห้าชนิดที่เหมือนกับแสงเทพเจาะทะลวงม่านฟ้าหายไปในสายธารดาราพวกมันคือพลังที่สามารถสั่นสะเทือนได้ทั้งจิวโจว
ณป่าตอนเหนือ ชายหนุ่มแบกกระบองที่ทำจากฟันหมาป่าบนแผ่นหลังกำลังเอนกายที่สัตว์อสูรดุร้ายขนาดยักษ์ เขากำลังดื่มโลหิตของสัตว์อสูรและกัดกินเนื้อ ใบหน้าของชายหนุ่มชุ่มโชกไปด้วยเลือด เขาดูป่าเถื่อน
สัตว์อสูรร่างยักษ์เบื้องล่างเขายังคงมีชีวิตแววตาของมันเจ็บปวดและหวาดกลัวดวงตาลูกใหญ่มองชายหนุมที่ดูอ่อนแอราวกับมองสัตว์อสูรที่มีพลังมากกว่า และสัตว์อสูรตัวนี้เองก็เป็นถึงอสูรเนรมิตร
วิหคเพลิงสีแดงฉานโบยบินบนน่านฟ้าตอนเหนือสุดทุกอย่างที่สัมผัสมันได้กลายเป็นเพลิงลุกไหม้ มันคือเพลิงที่แม้แต่อสูรเนรมิตรต้านทานไม่ไหว
สาวน้อยชุดสีน้ำเงินยืนเหนือวิหคเพลิงนางดูเฉลียวฉลาดและมีแววตาสดใส นางสวมกระโปรงสั้นแค่เข่าและนั่งยิ้มแกว่งขาไปมาบนหลังวิหคเพลิง วิหคเพลิงที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ให้ความยำเกรงกับนางอย่างมาก
ณเขตกลางที่กลางจิวโจว ชายหนุ่มชุดสีทองยืนอยู่ข้างห้องที่ราชาเขตกลางปิดประตูฝึกตน ดวงตาของเขาเปล่งแสงสีทองแปลก ๆ
“ท่านอาจารย์เรียกข้ามีธุระอันใดหรือ?”
ชายหนุ่มถามเขาไม่คุกเข่าแม้จะเป็นศิษย์ เขายืนตรงและมองรอบห้อง ในน้ำเสียงของเขาไม่ได้มีความนับถืออยู่เลย เขาดูหยาบคายกับคนที่พบเห็นอย่างมาก ราวกับว่าเขาดูถูกได้แม้กระทั่งราชาเขตกลาง
เสียงของราชาเขตกลางดังมาจากในห้อง
“อู๋ชวงเจ้าควรไปที่แดนฒร๊”
“ทำไมไม่ให้ฮั่นเสวียนไปเล่า?ข้าไม่ต้องการสมบัติที่เซียนมณีทิ้งเอาไว้”
ชายหนุ่มนามอู๋ชวงยืนกอดอกอย่างไม่แยแส
ราชาเขตกลางกล่าว
“ทำไมเจ้าถึงไม่ต้องไปที่นั่นเล่า?นางคือเซียนที่อาวุโสที่สุดในโลกใบนี้ นางแข็งแกร่งยิ่งกว่าเซียนคนไหน ๆ”
อู๋ชวงถอนหายใจแรงด้วยความเย็นชา
“ด้วยพรสวรรค์ข้าการก้าวข้ามเซียนมณีก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ทำไมจะต้องพึ่งสิ่งที่นางทิ้งเอาไว้ด้วย?”
ความอวดดีของชายหนุ่มคนนี้น่าตกตะลึงเขากล้าอ้างว่าตัวเองสามารถก้าวข้ามเซียนมณีได้ ชายในห้องเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“หนึ่งในสิ่งที่เจ้ามีก็คือความมั่นใจที่ไม่มีใครเทียบได้แต่ถ้าหากวันหนึ่งเจ้าจะแพ้ มันก็เพราะความมั่นใจของเจ้า ฮั่นเสวียนกำลังปิดประตูฝึกตนและไปไหนไม่ได้ ข้าต้องขอให้เจ้าเดินทางไปที่แดนมณีแล้วนำกระดูกของเซียนมณีกลับมา…” Aileen-novel
ราชาเขตกลางกล่าว
อู๋ชวงรำคาญใจแต่เขาก็ตกลงหลังจากคิดไปครู่หนึ่ง
“ก็ได้ข้าจะไปที่นั่น ข้าจะเอากระดูกของเซียนมณีกลับมาก่อนพวกยอดฝีมือทุกคนในจิวโจว”
เขาแสดงออกโดยไม่ต้องพูดว่าเขาหมายมั่นจะเป็นที่หนึ่ง
ณดินแดนมีดสวรรค์ คนลึกลับที่สวมหน้ากากทองคำยืนอยู่หน้าป่าไผ่ด้วยมือไพล่หลัง เขากำลังมองสวนไผ่อันสง่างาม นัยน์ตาของเขาเป็นสีเขียวที่ดูลึกลับ มันดูเหมือนกับดอกไม้บานที่ประหลาด
“หลิงเทียนเจ้าพร้อมหรือไม่?”
ชายร่างอ้วนที่ดูเฉลียวฉลาดถาม
ชายสวมหน้ากากหันกลับไปพูดอย่างชัดเจน
“ท่านอาจารย์ข้าเตรียมตัวดีแล้ว ข้าเพียงแค่รอให้แดนมณีมาถึง”
บุรุษผู้นี้คือปี้หลิงเทียนยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งดินแดนมีดสวรรค์
“ดีข้าเชื่อว่าเจ้าจะได้ประโยชน์มากมายจากที่นั่น ข้าจะตั้งตารอวันที่เจ้าได้สืบทอดตำแหน่งข้า วันที่เจ้าจะได้เป็นเจ้าดินแดนมีดสวรรค์คนต่อไป”
ชายร่างอ้วนนี้มิใช่ใครนอกจากเจ้าดินแดนมีดสวรรค์
ปี้หลิงเทียนยิ้มจางๆ และส่ายหน้า
“ทั้งจิวโจวมียอดฝีมือนับไม่ถ้วนหากไม่นับรวมดินแดนในทิศอื่นและสี่อัจฉริยะดารา แค่ดินแดนเราอย่างเดียวก็มีกู้ไทซูกับปิงหวูชิงอยู่แล้ว ไม่มีใครรู้พลังที่แท้จริงของสองคนนี้ พวกมันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าอัจฉริยะดาราคนไหนแน่”
“ยิ่งกว่านั้น…”
ปี้หลิงเทียนพูดต่อ
“จินมู่เอาแก่นโลหิตข้าไปสร้างร่างปลอมที่มีพลังสองในสามของข้า แต่เรากลับไม่ได้ข่าวคราวของจินมู่กลับมาเลย จินมู่กับรองเสี่ยวควรจะถูกใครสังหารไปแล้ว คงไม่เป็นไรหากเป็นฝีมือม่อเทียนฉวน แต่ถ้าหากเป็นฝีมือของศิษย์ตำหนักโลหิต นั่นจะน่ากลัวมาก เพราะแม้แต่ม่อเทียนฉวนก็น่าจะต้องระวังเรื่องพลังที่แท้จริงของหุ่นเชิดจินมู่อยู่แล้ว”
เจ้าดินแดนมีดสวรรค์ไม่ค่อยพอใจนักความตายของจินมู่ทำให้ดินแดนมีดสวรรค์เสื่อมเสียเกียรติยศ
“เจ้าสบายใจได้เป็นไปไม่ได้หากม่อเทียนฉวนจะไม่ลงมือเอง”
เจ้าดินแดนมีดสวรรค์กล่าว “เจ้าแค่ต้องระวังปิงหวูชิงเท่านั้นนอกนั้นไม่มีใครเทียนบเจ้าได้”
ดูเหมือนปี้หลิงเทียนจะพยักหน้ารับแต่จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า
ณตำหนักเมฆาม่วงที่ดินแดนพรสวรรค์ แสงสีม่วงเปล่งประกายจากส่วนลึกปกคลุมดินแดนหมื่นลี้ พลังวิญญาณในพื้นที่ที่ถูกแสงสีม่วงรายล้อมได้หยุดนิ่งราวถูกแช่แข็ง
พร้อมกันนั้นพลังลึกลับทั้งแปดได้ปะทุขึ้นทะยานสู่นภา มันก่อร่างเป็นแปดร่างเงาจิตวิญญาณโบราณ มันเป็นเหตุการณ์น่าตกใจและแม้แต่คนในตำหนักเมฆาม่วงยังแตกตื่น
“นี่มันพลังของศิษย์พี่ใหญ่สายโลหิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว”
“หึ!ด้วยพลังสายเลือดระดับนี้ เขาอาจจะกักขังได้แม้แต่อสูรเนรมิตรขั้นแรก การสังหารย่อมเป็นเรื่องง่าย”
“ชิ!มันไม่ใช่แค่นั้น เจ้าไม่เห็นเงาแปดร่างข้างบนหรือ? โอสถเก้าภูติของศิษย์พี่ขาดแค่เพียงโลหิตของจิตวิญญาณสุดท้าย การได้เป็นอสูรเนรมิตรอยู่ใกล้แค่เอื้อม”
ด้านในตำหนักโลหิตแสงอันน่าตระการตาส่องประกายมาจากสวนที่ซือหยูนั่งทำสมาธิอยู่ มันดูเหมือนกับสุริยาร้อนแรงที่เปล่งประกายทุกพื้นที่ ชายผมสีเงินจมอยู่ในแสงสุริยากระจ่างนี้
ทั้งสวนเริ่มหลอมละลายราวหิมะมันไม่เหลือสิ่งใดอยู่ภายใต้แสงตะวันนี้
ดูเหมือนแสงตะวันจะส่องประกายล้อมทั้งหุบเขามันเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในสมบัติภูติให้กลายเป็นซาก แต่คนภายในดวงสุริยาก็ได้เบิกตาโพลงขึ้นมา
แสงส่องประกายเริ่มเลือนหายซือหยูยังคงยืนอยู่สถานที่เดิมที่ถูกทำลายไปแล้ว ทุกอย่างรอยกายเขาหายไปจนหมดสิ้น
“แปะ!แปะ!”
เสียงปรบมือเบาๆ ดังมาจากกระโจมกลาง ปิงหวูชิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าบรรลุฝ่ามือเทพดับสวรรค์ขององครักษ์ราชาเขตกลางได้แล้วเจ้ายังใช้กระบวนท่าที่สองได้อีก มันคือฝ่ามือสุริยาสินะ”
ซือหยูมองนางอย่างเย็นชาเขาไม่สนใจนางเลย ตั้งแต่ที่นางรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา มันไม่สำคัญอีกแล้วที่นางจะรู้ว่าเขาบ่มเพาะวิชาพิเศษของเขตกลาง
ซือหยูใช้เวลาสองเดือนที่นี่เขาเรียนรู้วิชาต่าง ๆ มาโดยตลอดด้วยความเร็วห้าร้อยเท่า เขาใช้วิชาระดับเซียนได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าเขาจะพบเพาะฝ่ามือเทพสุริยาได้แต่ชั้นแรก มันก็แสดงพลังได้เหนือกว่าที่เขาคาดคิด
หลังจากซือหยูบ่มเพาะฝ่ามือเทพจันทราจนถึงขั้นสูงสุดมันสามารถจัดการกับจ้าวเทวะระดับสี่ได้ แต่มันก็ไม่พอสำหรับจ้าวเทวะระดับห้า และมันยังไม่เป็นภัยกับจ้าวเทวะระดับหกเลย
ส่วนฝ่ามือเทพสุริยาแม้จะเป็นเพียงชั้นแรก พลังของมันก็เหนือกว่าจ้าวเทวะระดับหกไปแล้ว มันสามารถทำให้จ้าวเทวะระดับเจ็ดเป็นเถ้าถ่านอย่างง่ายดาย พลังนั้นเหนือกว่าที่ซือหยูคิด เขาพอใจกับมันมาก
สิ่งเดียวที่ไม่พอใจก็คือเขามิอาจใช้วิชานี้ตามใจชอบได้เพราะตัวตนของเขามันจะทำให้เกิดปัญหาอีกมากหากเขาใช้มันท่ามกลางสายตาคนมากมาย
“เจ้าคงจะลำบากใจสินะ?เพราะเจ้าใช้วิชานี้ไม่ได้ตามที่ต้องการ”
ปิงหวูชิงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“แล้วถ้าข้าบอกเจ้าว่ามีวิธีที่ทำให้เจ้าใช้มันได้ทุกเมื่อโดยที่ไม่มีใครรู้เจ้าจะตอบแทนข้ายังไง?”