The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 982 - พื้นที่ลับในเมฆาม่วง
การมาของกลุ่มตำหนักโลหิตทำให้ทุกคนหันมามองตำหนักโลหิตคือหนึ่งในสองสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งดินแดนพรสวรรค์ ทุกคนที่มาจากตำหนักโลหิตคือสุดยอดของสุดยอด พวกเขามาถึงหกสิบคน พวกเขาค่อนข้างเตะตาเพราะแต่ละคนมีพลังสูงมาก
“นั่นพวกตำหนักโลหิตหรือ?แปลกจริง ทำไมถึงมากันมากขนาดนี้?”
“พวกนั้นมาเยอะกว่าครั้งก่อนหลายคนเห็นทีว่าแม้แต่ตำหนักโลหิตก็มีแผนสำรอง”
ทุกสำนักที่เข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้นำศิษย์มามากกว่าครั้งก่อนๆ ตำหนักโลหิตเองก็ไม่ยกเว้น หลายสำนักจึงเริ่มกังวลเพราะเหตุนี้ มันคือการบอกว่าการประลองจะเข้มข้นขึ้น!
ศิษย์ตำหนักโลหิตเองก็นับจำนวนศิษย์จากสำนักอื่นพวกเขาอดระแวงไม่ได้ มันเป็นอย่างที่ซือหยูเซี่ยนกล่าว จำนวนศิษย์ที่แต่ละสำนักพามานั้นเกินกว่าจำนวนปกติ หลายคนมองซือหยูด้วยความดีใจเป็นโชคดีที่เขาเตือนพวกเขา มิเช่นนั้นตำหนักโลหิตจะเสียหายร้ายแรงหากยังใช้ธรรมเนียมเดิม
งานชุมนุมเฟิงหยุนไม่ได้กำหนดวันตายตัวมันจะเริ่มหลังจากที่ทุกสำนักรวมตัวกันพร้อมหน้า และเมื่อตำหนักโลหิตมาถึงเป็นสำนักสุดท้าย งานชุมนุมก็น่าจะเริ่มในอีกไม่นาน พวกเขาเพียงแค่ต้องรอให้เจ้าตำหนักโลหิตและเจ้าตำหนักเมฆาม่วงมาประกาศเริ่มงาน
ขณะที่กำลังรอผู้ท้าชิงจากทุกสำนักเริ่มแยกกันเป็นสองค่าย ค่ายหนึ่งคือแปดสำนักฝ่ายตำหนักโลหิต พวกเขารวมตัวกันรอบศิษย์ตำหนักโลหิตและเริ่มหารือกัน
ทั้งสองค่ายแบ่งแยกกันชัดเจนและพวกเขากำลังปะทะคารมกัน
“ศิษย์พี่ปิงศิษย์พี่เทียน”
ศิษย์จากสำนักทั้งแปดได้เลือกศิษย์พี่ที่แข็งแกร่งที่สุดมาทักทายผู้นำของตำหนักโลหิตทั้งปิงหวูชิงและเทียนหยูตอบรับพวกเขากันทีละคน
หลังจากมีคนนำศิษย์คนอื่นก็เริ่มพยายามเข้าใกล้ศิษย์ตำหนักโลหิตคนอื่นเพื่อที่จะได้เป็นที่รู้จัก เผื่อว่าพวกเขาอาจจะได้รับความช่วยเหลือในแดนมณี ไอลีนโนเวล
ยอดอัจฉริยะหลายคนในตำหนักโลหิตมีจ้าวเทวะระดับแปดมากมายศิษย์ทุกสำนักรีบพุ่งไปหาพวกเขา และ ‘ข้ารับใช้’ อย่างซือหยูที่เป็นเพียงภูติระดับเก้านั้นเป็นข้อยกเว้น
หลายคนสงสัยเรื่องหน้ากากสีเงินของซือหยูแต่หลังจากรู้ว่าเขาเป็นแค่ข้ารับใช้ของม่อเทียนฉวน พวกเขาก็พยายามจะจบบทสนทนาอย่างสุภาพและรวดเร็วและไปหายอดฝีมือคนอื่น
ปิงหวูชิงกงซุนหวูซื่อ และไป่ชานเหลียงค่อนข้างมีชื่อเสียงแม้แต่ในแปดสำนักอื่น หลายคนจึงอยากผูกมิตรด้วย
ซือหยูที่ว่างจึงสังเกตรอบๆ และก็ต้องแปลกใจที่หนึ่งในสำนักที่อยู่ใต้ตำหนักโลหิตแสดงท่าทางไม่แยแส พวกเขาเพียงแค่ยืนอย่างสงบนิ่งและไม่ได้คิดจะผูกมิตรกับคนตำหนักโลหิตเลย
เมื่อซือหยูมองไปก็พบว่ามีอยู่เก้าคนทั้งชายหญิงพวกเขานำโดยชายหนุ่มอายุราวยี่สิบสามปีที่ยืนกลางกลุ่ม ชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้าธรรมดา แต่เขามีรอยลูกไฟที่แก้ม มันเหมือนกับเพลิงที่กำลังลุกอยู่
พลังของเขาถูกกลบเอาไว้ถ้าหากเขาไม่ได้อยู่ที่กลางกลุ่มก็คงยากที่จะมีคนให้ความสนใจ
เมื่อซือหยูมองเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างไม่มีเหตุผลเขาคิดก่อนจะใช้เนตรวิญญาณเหลือบมองเร็ว ๆ และเขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น
“หวูซื่อเจ้านั่นคือใคร?”
ซือหยูถามกงซุนหวูซื่อที่อยู่ข้างหน้าเขา
กงซุนหวูซื่อมองตามซือหยูไป
“หมอนั่นรึ?” นางรีบตอบ
“เขาคือเว่ยปูฟางศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักชิงวิญญาณ เขาเคยปฏิเสธคำเชิญส่วนตัวของตำหนักโลหิตและเลือกอยู่ตำหนักชิงวิญญาณต่อไป เขาเป็นจ้าวเทวะระดับแปดและก็คงจะเป็นคนที่สุดยอดหากอยู่ตำหนักโลหิต มันน่าเสียดายจริง ๆ”
จ้าวเทวะระดับแปดหรือ?ตอนที่ซือหยูมองดูด้วยเนตรวิญญาณ เขาพบว่าเว่ยปูฟางเป็นจ้าวเทวะระดับเก้า
มันคือการปกปิดพลังที่ซือหยูสัมผัสได้ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดเลยว่าคนที่ปกปิดพลังจะเป็นคนจากตำหนักชิงวิญญาณ
เว่ยปูฟางนั้นมีพลังไม่ด้อยไปกว่าปิงหวูชิงหรือเทียนหยูเลย
จู่ๆ เว่ยปูฟางสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังประเมินเขา เขามองกลับมา ซือหยูละสายตาได้ทันและเว่ยปูฟางไม่เห็นอะไร เขาขมวดคิ้วมองรอบ ๆ ด้วยความสับสน “ศิษย์พี่ใหญ่เกิดอะไรขึ้น?”
หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดดำติดกับเว่ยปูฟางถามด้วยความกังวล
เว่ยปูฟางตอบอย่างเยือกเย็น
“มีคนตำหนักโลหิตที่มีพลังพิเศษมันเห็นพลังที่แท้จริงของข้า”
หญิงสาวชุดดำตกใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่วิชาอสูรหวนคืนที่ศิษย์พี่ใหญ่บ่มเพาะมีพลังปกปิดอันยอดเยี่ยม แต่ก็ยังถูกมองผ่านได้หรือ? ฝีมือปิงหวูชิงหรือเทียนหยูกัน?”
“ไม่ใช่หรอกมันจะต้องเป็นฝีมือคนอื่น”
เว่ยปูฟางขมวดคิ้ว
“รีบส่งข่าวไปเราต้องระวังตำหนักโลหิต พวกมันมียอดฝีมือลึกลับซ่อนตัวอยู่อีก”
ซือหยูทำเป็นไม่รู้อะไรเขาหลับตาพัก ทุกคนกำลังผูกมิตรกับยอดฝีมือตำหนักโลหิตและไม่สนใจเขา เขาจึงมีช่วงเวลาอันสงบสุขได้ในตอนนี้ หลังจากผ่านไปสักครึ่งชั่วยามการพูดคุยของทั้งสองฝ่ายจบลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครสนใจซือหยู แม้จะมีคนสนใจ พวกเขาก็หันกลับหลังรู้ว่าซือหยูเป็นแค่ ‘ข้ารับใช้’
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเองสองคนบินมาจากยอดเขาแรก พวกเขาคือม่อเทียนฉวนกับชายแก่ผมขาว ทั้งสองบินอยู่บนฟ้า ม่อเทียนฉวนท่าทางมีความสุข เห็นทีว่านางจะไม่ได้แพ้การประมือ ชายแก่ผมขาวจะต้องเป็นเจ้าตำหนักเมฆาม่วง บุรุษเมฆาม่วงที่หลายคนพูดถึง ว่ากันว่าเขาเป็นอสูรเนรมิตรไม่กี่คนในจิวโจวที่มีพลังเทียบม่อเทียนฉวนได้ และเขาก็คือจุดสุดยอดของอสูรเนรมิตร
ทุกคนรีบเงียบไม่มีใครกล้าปริปาก พวกเขามองทั้งสองด้วยความนับถือ
“ได้ยินว่าราชาทั้งเก้าเขตจะร่วมมือกันในแดนมณีครั้งนี้พวกเราไม่มีเวลา ดินแดนพรสวรรค์ของพวกเขาเสียวีรบุรุษไปมากในอดีตร้อยปีก่อน พวกเราพักมาร้อยปีจนถึงวันนี้และจะกอบกู้เกียรติยศกลับมา ครั้งนี้พวกเราจะไม่พลาดในแดนมณี”
บุรุษเมฆาม่วงกล่าวเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขสงบ แต่มันมีเสน่ห์อย่างพิเศษ ทุกคนที่ฟังล้วนหลงใหล
“ครั้งนี้งานชุมนุมเฟิงหยุนจะคัดเลือกหนุ่มสาวที่มากความสามารถที่สุดในดินแดนพรสวรรค์หนึ่งร้อยคนไปสู่แดนมณี ถ้าหากทั้งร้อยคนกลับมาได้ พวกเขาเหล่านั้นย่อมจะกลายเป็นกระดูกสันหลังของดินแดนพรสวรรค์…”
บุรุษเมฆาม่วงกล่าว
ทุกคนที่ได้ฟังเริ่มตื่นเต้นบุรุษเมฆาม่วงประกาศเริ่มงานชุมนุมเฟิงหยุนแล้ว พวกเขาจะต้องผ่านการประลองคัดเลือกจากคนที่แข็งแกร่งที่สุดห้าสิบคน และนั่นก็คือการประลองแบบแพ้คัดออก
“แต่หลังจากที่หารือกับเจ้าตำหนักม่อแล้วพวกเราตัดสินใจที่จะเปลี่ยนกฎในครั้งนี้” บุรุษเมฆาม่วงพูดมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“การทดสอบในปีนี้จะไม่ใช่การประลองแต่เป็นบททดสอบด้วยเพลิง”
“ตำหนักเมฆาม่วงจะเปิดพื้นที่ลับพิเศษของตำหนักพวกเจ้าจะต้องไปที่นั่น พวกเจ้าทุกคนต้องพยายามหาพลังชีวิตเมฆาม่วงมาให้ได้ ยิ่งสะสมได้เท่าใดก็ยิ่งจะมีอันดับมากเท่านั้น และสุดท้าย ร้อยลำดับแรกจะถูกส่งไปที่แดนมณี”