The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 985 - พบนางอีกครั้ง
ฟึ่บ!
มวลอากาศพัดพาชั้นหมอกหนาออกไปมันรวดเร็วจนเกิดเงาหมอกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ถังหลิงได้พบกับศัตรูที่แย่ที่สุดที่มีโอกาสจะได้พบเจอเขาเรียกพลังทั้งหมดให้หมุนวนเป็นลายหยินหยางระหว่างฝ่ามือทั้งสอง
เนตรของหยินหยางหมุนทะลวงอย่างรวดเร็วมันเร็วจนเมฆหมอกกระจัดกระจาย ทุกอย่างที่หยินหยางสัมผัสกระจายออกไป สิ่งที่อ่อนแอแหลกเป็นเสี่ยง สิ่งที่แข็งแกร่งกระเด็นหาย
ซือหยูแอบตกใจถังหลิงยังมีไพ่ตายให้ใช้อยู่อีกหรือ?
จากที่ซือหยูประเมินพลังป้องกันระดับนี้สามารถรับแรงปะทะจากกระบี่แรกของปิงหวูชิงแห่งเขาอสูรได้ ส่วนคนที่เพิ่งจะเป็นจ้าวเทวะระดับเก้าก็ไม่น่าจะฝ่าพลังป้องกันนี้ไปได้ ฉั่วะ!
เสียงดังเบาๆ ก่อเกิด ลวดลายหยินหยางขาดเป็นส่องท่อนจากเงารางราวกับเป็นเพียงเศษกระดาษ เงารางทะลวงร่างถังหลินที่อกขวาตั้งแต่หน้าไปถึงหลัง สายโลหิตยาวพุ่งออกจากปากแผล
ภายใต้แรงกระแทกรุนแรงรางถังหลิงกระเด็นไปนับลี้ เขาหยุดกลิ้งที่ระยะสี่ร้อยศอกห่างจากซือหยู
ซือหยูสัมผัสได้ว่าพื้นสั่นเมื่อถังหลิงตกถึงพื้นเขาแปลกใจกับพลังกายของถังหลิง
ซือหยูยิ่งตกใจเมื่อเงารางช้าลงและปรากฏตัวออกมามันมิใช่อาวุธพิเศษ แต่เป็นกิ่งไม้แห้งเหี่ยว!!
กิ่งไม้นี้ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะช้าลงหลังจากปะทะมันมุ่งหน้าตรงเข้าหาซือหยู ราวกับจะกำจัดวิหคสองตัวในคราเดียว
ซือหยูถอยกลับทันทีกิ่งไม้บินแล่นผ่านไปเกือบจะเฉือนลำตัวของเขา ฟ้าว!
เสียงเบาของกิ่งไม้ลู่ลมดังแรงดันอากาศที่มันพามาด้วยนั้นแฉลบผิวของซือหยูจนใบหน้าแสบร้อน เสื้อผ้าของเขาขาดสะบั้น ทิ้งรอยแผลอันเต็มไปด้วยโลหิตที่ลำตัว
ซือหยูใจหายเขามองเงาทมิฬที่ค่อย ๆ ปรากฏแจ่มชัดในหมอก เขารีบถอย คนคนนั้นอันตราย เขามิอาจสู้ได้ด้วยกำลัง
เมื่อซือหยูขยับตัวถังหลิงจากระยะสี่ร้อยศอกก็สัมผัสถึงเขาได้
ถังหลิงพยาพยามอย่างมากเพื่อที่จะฝืนความเจ็บปวดและคลานลุกขึ้นเขาราวกับเห็นความหวังเมื่อเห็นซือหยูที่กำลังถอย
“ศิษย์น้องซือช่วยข้าด้วย! เจ้ากับข้าจะร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูได้!”
ถังหลิงตะโกนแต่เขาวิ่งไปในทิศตรงข้ามกับซือหยู
ซือหยูหน้าหมองบัดซบเอ้ย!
ถังหลิงพยายามจะปัดปัญหาให้พ้นทางล่อศัตรูไปหาซือหยูเพื่อที่เขาจะได้หนี!
ฟึ่บ!
เสียงสายลมร้องหวนสะท้านทั่วฟ้า
เงารางขยับไปทุกหนแห่งในความเร็วอันน่าตกตะลึงมันเคลื่อนไหวไปหาคนทั้งสองบนพื้นที่อยู่ใต้แรงโน้มถ่วง
เคราะห์ดีของซือหยูกิ่งไม้เหี่ยวแห้งนั้นไปหาถังหลิงก่อน
ถังหลิงหันกลับไปมองเขาชักสีหน้าและกรีดร้องด้วยเสียงแหบพร่า
“หยุดนะ!”
พอได้พูดเขาเปลี่ยนทิศวิ่งไปหาซือหยูแทน
ฉั่วะ!
กิ่งไม้แล่นผ่านไหล่ของเขาแรงกระแทกอันรุนแรงระเบิดทั้งแขนของเขาเป็นชิ้น ๆ เหลือเพียงแค่เศษชิ้นเนื้อและเลือด
แต่ถังหลิงก็อดทนความเจ็บปวดวิ่งไปหาซือหยูต่อไปเขาวิ่งเป็นเส้นทาง
เมื่อศัตรูปล่อยกิ่งไม้อีกครั้งถังหลิงจะหลบมัน และซือหยูก็ไม่น่าจะหลบได้เร็วอย่างที่เขาทำ
ถ้าหากถังหลิงโชคดีซือหยูจะถูกกิ่งไม้แห้งสังหาร จากนั้นศัตรูจะหยุดเพื่อเก็บพลังเมฆาม่วงของซือหยู ส่วนถังหลิงจะใช้โอกาสนี้หนีไป เขาพยายามจะเปลี่ยนเป้าหมายที่จะพังพินาศให้เป็นซือหยูสักไม่กี่ลมหายใจ
ซือหยูสายตาเย็นชา
“ถังหลิง!ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเจ้าในทางใด เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าข้าเป็นเหยื่อที่ดีให้เจ้ารังแก?”
ถังหลิงไม่มีอะไรต้องหลบซ่อนแล้วเขาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์
“ศิษย์น้องซือข้าขอโทษด้วย ข้าว่าเจ้ารออีกร้อยปีจะดีกว่า!”
ถังหลิงพลิกฝ่ามือขว้างยันต์หมอกใส่ซือหยู “ยันต์แช่ร่าง!ระเบิด!”
เขาตะโกนเบาๆ ยันต์ระเบิดออก แสงสีเขียวแผ่ออกมาจากภายในห่มกายซือหยู ซือหยูสัมผัสถึงแรงกดดันที่ทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังของมันเหมือนกับทำให้เขากลายเป็นคนไร้พลังที่จมอยู่ในวารีลึก เขาช้าลงอย่างมากและเกือบจะขยับไม่ได้
ในตอนนั้นคนลึกลับในหมอกก็ขว้างกิ่งไม้ที่สามออกมา
กิ่งไม้นั้นตรงดั่งศรที่ยิงจากธนูมันพุ่งตรงมาด้วยพลังที่สามารถสังหารทั้งสองได้พร้อมกัน
“ลาก่อนศิษย์น้องซือ”
ถังหลิงเรียกยันต์สีอำพันมาไว้ที่ตัวเขาเร็วกว่าเดิมสามเท่า แม้กิ่งไม้จะเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ถังหลิงก็หลบมันได้
เมื่อเจอกับอันตรายร้านแรงซือหยูสายตาเย็นยะเยือก
“ศิษย์พี่จากที่ข้าคิด เจ้านั่นแหละที่ต้องมาในอีกร้อยปี”
เหตุใดซือหยูจะต้องเมตตาต่อถังหลิงที่ชั่วช้าอย่างนี้เล่า?
“ผนึกเวลา!”
ซือหยูพูดเบาๆ แสงสีม่วงในตาซ้ายเปล่งประกาย มังกรม่วงเข้ารัดถังหลิงเอาไว้
ถังหลิงหยุดเคลื่อนไหวในทันทีราวกับควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ในใจมีเพียงความสะพรึงกลัวและความแค้น และเขาก็มิอาจหลบกิ่งไม้ทัน
ผั่วะ!
หัวของถังหลิงระเบิดราวกับแตงโมที่ถูกไม้ฟาดมิติสั่นไหวพาตัวเขาออกไปด้านนอก เหลือเพียงพลังชีวิตเมฆาม่วงเหนือศีรษะของเขาที่คงอยู่
กิ่งไม้มิได้ช้าลงแต่พุ่งตรงไปที่ซือหยูที่ยังขยับไม่ได้อยู่แทน
ตาขวาของซือหยูเปล่งแสงสีแดง
“วายุมิติ!” วายุก่อร่างนำพากิ่งไม้ที่พุ่งเข้ามาไปยังที่ใดมิอาจทราบได้
ซือหยูแหวกว่ายออกมาจากจุดที่ยันต์ระเบิดด้วยความยากลำบากเขาเริ่มขยับตัวได้บ้างแล้ว โชคดีที่ยันต์นั้นใช้ได้ในเวลาจำกัด มิเช่นนั้นเขาคงจะถูกส่งกลับไปแล้ว
หลังเป็นอิสระจากยันต์ซือหยูไม่แม้แต่จะมองพลังเมฆาม่วงก่อนจะหายไปในหมอกควัน
เมื่อเขาหนีไปสองคนฝ่าหมอกเข้ามา เป็นทั้งบุรุษและสตรี
ชายนั้นรูปลักษณ์งดงามดูกล้าหาญสันจมูกของเขาโด่ง ร่างกายนั้นดูผอม เขาดูโอ่อ่า เขามีความมั่นใจอยู่เต็มอกราวกับผู้ปกครองที่ยืนต่อหน้าสามัญชน คนที่อยู่รอบกายเขาต้องรู้สึกต่ำต้อยกว่า พลังของเขาอยู่ในจุดสุดยอดของจ้าวเทวะระดับเก้า! อีกก้าวเดียว ชายคนนี้จะได้เป็นอสูรเนรมิตร ในเรื่องของพลัง เขาคือบุคคลอันหาได้ยากในโลกใบนี้
ข้างกายเขาคือสตรีสวมชุดสีมรกตนางดูสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ บรรยากาศที่นางส่งออกมานั้นงดงามอ่อนโยน นางตามชายหนุ่มรูปงามมา ดวงตาอันงดงามมองเขาด้วยความรักอันซับซ้อนและสับสนในเวลาเดียวกัน
“พี่ไทซูเห็นทีจะมีคนถูกจัดการไปคนเดียว”
สตรีในชุดสีมรกตพูดเบาๆ นางปาดมือเบา ๆ คว้าเอาพลังเมฆาม่วงยื่นให้ชายหนุ่มรูปงาม
การกระทำอันเปี่ยมไปด้วยรักของนางสามารถทำให้บุรุษนับไม่ถ้วนต้องใจสั่น
นางคือสตรีที่ยอดเยี่ยมที่ดินในดินแดนพรสวรรค์ลู่จือยี่ พลังของนางไร้เทียมทาน ไม่มีสตรีในเทียบเคียงได้ ความสวยงามของนางเองก็เช่นกัน ประกอบกับนิสัยอันอ่อนโยน นางมีทุกอย่างที่ยอดฝีมือทุกคนในทวีปจิวโจวต้องการ
ถ้าหากพวกเขารู้ว่าลู่จือยี่ตกหลุมรักผู้ใดพวกเขาจะไม่เพียงแค่ริษยา แต่พวกเขาจะอิจฉาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนพรสวรรค์ กู้ไทซู!
เขาไม่เคยพ่ายแพ้ตั้งแต่ที่ได้สร้างชื่อในวิถีแห่งพลังเขามีพลังถึงจุดสุดยอดของจ้าวเทวะก่อนอายุยี่สิบห้า และเขาก็เป็นจ้าวเทวะมาตั้งแต่ก่อนอายุยี่สิบปี
ทุกคนรู้ว่าเขาต้องการเพียงโอกาสได้เป็นอสูรเนรมิตร ไอลีนโนเวล
ว่ากันว่ากู้ไทซูมีโอกาสครั้งใหญ่มากมายที่จะได้เป็นอสูรเนรมิตรแต่มันก็ต้องเลื่อนออกไปเพราะโอสถเก้าภูติที่ยังไม่สำเร็จ
กู้ไทซูเป็นชายที่มีพลังสูงสุดจนคนที่ยอมรับลู่จือยี่ที่มีพลังระดับเท่ากันไม่กล้าแสดงความริษยาไม่มีใครอื่นอีกแล้วในทั้งดินแดนพรสวรรค์ที่เหมาะสมกับลู่จือยี่ไปกว่าเขา
กู้ไทซูรับพลังเมฆาม่วงโดยไม่แสดงสีหน้าแววตาเขาจ้องมองทิศที่ซือหยูหนีไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อีกหนึ่งหนีไปได้มันคงจะเป็นคนทีมีพลังพิเศษ” จากระยะที่เห็นพวกเขาไม่มีทางรู้ว่าซือหยูใช้พลังพิเศษของมิติและเวลาไปแล้ว
ลู่จือยี่กล่าว
“หนีไปได้แค่คนเดียวเดี๋ยวเขาก็คงถูกจัดการโดยที่พี่ไทซูไม่ต้องออกแรง ทิศนั้นมีผู้หญิงที่เหมยลี่ตามล่าอยู่”
กู้ไทซูพยักหน้า
“ใช่ไปกันเถอะ พวกเราจะทำตามคำชี้แนะของท่านผู้นั้น เราต้องพยายามกำจัดศิษย์ตำหนักโลหิตทิ้งไป”
ทั้งสองหายไปในหมอกหนาราวกับคู่รักเทพ
ในโลกภายนอกคนที่ดูแลสำนักล้อมรอบดินแดนลับเมฆาม่วงอยู่
เหล่าศิษย์จากหลายสำนักถูกพาตัวออกมาอยู่เนืองๆ พวกเขาพากันถอนหายใจ
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเองถังหลิงถูกพาตัวออกมาโดยคลื่นพลังมิติด้วยความเจ็บปวด กะโหลกของเขาถูกฟื้นฟูแล้วและดูไร้รอยขีดข่วน แต่ความทุกข์ทรมานนั้นยังคงอยู่ไม่จางหาย
ม่อเทียนฉวนทำให้เขาต้องยืนนิ่งนางถามเขาด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมเจ้าถึงออกมาเร็วนัก?”
ถังหลิงอยู่ในสามสิบอันดับแรกของตำหนักโลหิตด้วยพลังจ้าวเทวะระดับแปด เขาควรจะได้เป็นร้อยอันดับแรกถ้าเขาไม่ประมาท
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพิ่งจะกำจัดจ้าวเทวะระดับแปดจากตำหนักเมฆาม่วงมาไม่นาน ม่อเทียนฉวนยังไม่ทันมีโอกาสได้แสดงความยินดีด้วยซ้ำก่อนที่ถังหลิงจะถูกส่งตัวออกมา
ถังหลิงกัดฟันเขาถูกกู้ไทซูกำจัด เขาควรจะโทษตัวเองในความล้มเหลวด้วยเหตุผล แต่นี่เป็นการแข่งอย่างยุติธรรม เขาจะโทษในความอ่อนแอของตัวเองแล้วบอกว่าคู่แข่งนั้นแกร่งเกินไปได้หรือ?
“เป็นฝีมือซือหยูเซี่ยน!!” ถังหลิงกล่าวอ้างด้วยความไม่พอใจและละอายเขาจะไม่ยอมโทษตัวเองเป็นอันขาด
ม่อเทียนฉวนหน้าบูด
“เขารึ?เกิดอะไรขึ้น?”
ถังหลิงกัดฟันพูด
“มันร่วมมือกับศัตรูแล้วหลอกข้าด้วยวิชาประหลาดข้าเลยถูกจัดการ”
“เป็นเรื่องจริงรึ?”
ม่อเทียนฉวนถามอย่างเย็นชา
ถ้าหากเป็นคนอื่นม่อเทียนฉวนก็คงจะไม่เชื่อ เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับคนนอกมาจัดการกับสหายร่วมสำนัก แต่ถ้าหากเป็นซือหยูเซี่ยน ทุกอย่างก็เป็นไปได้
ในความเห็นของนางซือหยูเซี่ยนเป็นคนที่แปลกประหลาดมาก ที่มาของเขาไม่มีใครล่วงรู้ อดีตของเขามีเพียงความว่างเปล่า
นางช่วยไม่ได้ที่จะเหลือบมองบุรุษเมฆาม่วงหรือว่าซือหยูเซียนจะเป็นสายลับจากตำหนักเมฆาม่วง? บุรุษเมฆาม่วงเพียงแค่ยิ้มและไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียว เขาไม่คิดจะชี้แจง
ศิษย์ระดับสูงของตำหนักโลหิตถูกกำจัดโดยศิษย์ร่วมสำนักถ้าตำหนักเมฆาม่วงรู้เข้าก็คงจะเพลิดเพลินใจเป็นอย่างยิ่งราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน บุรุษเมฆาม่วงไม่คิดจะอธิบายอะไร ท่าทางของเขายิ่งทำให้ม่อเทียนฉวนสงสัย
“ฮื่ม!ซือหยูเซี่ยน! ออกมาเมื่อไหร่จะได้เห็นดีกัน!”
ม่อเทียนฉวนโกรธแค้น
ในพื้นที่ลับซือหยูมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ส่วนกลาง
เวลายังเดินต่อเวลาผ่านไปเกือบจะครึ่งวันแล้ว ถ้าเขายังไม่ได้พลังเมฆาม่วงมาครอง การต่อสู้ในครึ่งหลังจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
แกร๊ง!
เขาได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน
มีคนต่อสู้กันอีกแล้ว! ซือหยูตาเป็นประกายและมุ่งหน้าไปที่ตำแหน่งการต่อสู฿้ทันทีเมื่ออยู่ห่างสี่พันศอก เขาแอบมองดูความเคลื่อนไหวด้วยเนตรวิญญาณ
เขาชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็น
ที่สี่พันศอกข้างหน้ามีกลุ่มเงาสองเงากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ความเร็วนั้นราวกับไม่ได้ถูกแรงโน้มถ่วงฉุดรั้งเอาไว้เลย
“เป็นไปได้ยังไง?”
ซือหยูตกใจ
ความเร็วของเงาทั้งสองนั้นไม่ต่างจากความเร็วของภูติระดับเก้าที่โ,กภายนอก
ถึงอย่างนั้นพื้นที่ลับเมฆาม่วงแห่งนี้ควรจะเป็นที่ที่ทุกคนถูกลดความเร็ว สิ่งที่เขาได้เห็นนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้!