The fake แต่งงานหลอกๆ แต่รักฉันของจริง - ตอนที่ 16 เขาต้องการทำลายล้างโลก
ตอนที่ 16 เขาต้องการทำลายล้างโลก
สองมือของวิษณุส์กำขึ้นฉับพลัน เขาก้มศีรษะต่ำติดไม้เท้า “คุณปู่ คุณไม่เห็นเหรอว่าเขาตั้งใจ ผมได้ยินมาว่าเมื่อสามปีที่แล้วเขาไปอยู่ฝรั่เศส…”
“แกยังจะพูดอีกเหรอ เขาสูญเสียขาทั้งสองข้างไปแล้ว แกยังต้องการชีวิตของเขาอีกงั้นเหรอ” กษาปณ์จ้องเขาอย่างเย็นชา
“ฉันหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ฉันไม่ต้องการเห็นแกรังแกเขาอีก ถ้าไม่ฟังก็อย่ามาโทษฉัน!” กษาปณ์พูดจบก็หันหลังให้
“ออกไป!”
วิษณุส์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเกลียดชัง เขามองด้านหลังของกษาปณ์ เหมือนมีความเจ็บปวดบางอย่าง ในแววตาเผยความชั่วร้าย!
หันหลังแล้วเดินออกประตูไป พบรัมพรที่ยืนอยู่หน้าประตู
เขากำลังจะเดินผ่านลงไปข้างล่างแต่ถูกรัมพรเรียกเขาให้หยุด “วิษณุส์ แกอย่าสร้างปัญหาในช่วงเวลาสำคัญนะ ยังเหลืออีกสามเดือน แกต้องอดทน แกวางใจ ทุกอย่างในตระกูลปัญญาพนต์จะต้องเป็นของแก!”
วิษณุส์ออกจากวิลล่าไปโดยไม่พูดอะไร
เมื่อเสียงกระหึ่มของรถดังออกไป ตรงพุ่มไม้ของวิลล่ามีสองคู่ตา จ้องไม่วางตาจนกระทั่งรถเคลื่อนตัวออกไป
ที่จริงแล้วเธอคือพิมมี่ที่ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกบ้านตระกูลปัญญาพนต์ เธอมองรถของวิษณุส์ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวหายไปด้วยความเจ็บปวด
วิษณุส์ ฉันอยู่ตรงนี้!
คณพศกลับไปที่วิลล่าบนเกาะฟ้า มันเป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว เขาลงจากรถแล้วนั่งลงบนรถเข็น แล้วเลื่อนไปยังวิลล่า
เขาเข้าไปและเห็นป้าอ้ายอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไป “แล้วเธอล่ะครับ”
ป้าอ้ายหันหลังมา “คุณนายสามอยู่ในห้องค่ะ วันนี้เธอไม่ได้ออกมาเลย แม้แต่อาหารกลางวันก็ไม่รับค่ะ”
ชายหนุ่มเลื่อนรถเข็นขึ้นลิฟต์ตรงขึ้นไปชั้นสอง
เขาไปที่ห้องนอนของนาราและผลักประตูเปิด เห็นหญิงสาวอ่านหนังสืออย่างจริงจังอยู่ที่โต๊ะ บรรยากาศเยือกเย็นในดวงตาพาให้คนสั่นสะท้าน
นาราลุกขึ้นทันที มองอย่างชะงักงันกับชายหนุ่มที่ท่าทีดุร้าย วางหนังสือแล้วเดินเข้าไปหา “คุณกลับมาแล้ว”
เมื่อเธอเอื้อมมือไปเข็นรถเข็นก็ถูกมือใหญ่ของชายหนุ่มจับข้อมือเธอเอาไว้
เธอหันกลับมามองเขาเงียบๆ “วันนี้ฉันได้ศึกษาเทคนิคใหม่ค่ะ ช่วยในการไหลเวียนของโลหิตในกล้ามเนื้อ เดี๋ยวฉันจะช่วยคุณ….”
“ไม่จำเป็น!” ชายหนุ่มบีบข้อมือเธอแน่น “หยุดเสแสร้งได้แล้ว! ไม่เหนื่อยหรือไง” ดวงตาที่เยือกเย็นของเขาเย้ยหยันในการแสดงออกที่โง่เขลาของหญิงสาว
“ฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยว่าภรรยาที่ฉันแต่งงานด้วยจะถูกคนอื่นทำให้กลายเป็นรองเท้าเน่าไปแล้ว!” ดวงตาของเขาแดงฉาน
ไม่รู้ว่าทำไมต้องไปฟังคำพูดของวิษณุส์ เขามันต้องการทำลายล้างโลก
เธอคนนี้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนดวงจันทร์บนท้องฟ้า ไม่คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นของปลอม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจ เขาแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้เพื่อแก้แค้นวิษณุส์
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของวิษณุส์ ความโกรธก็ลุกไหม้ในจิตใจ มันเหมือนว่าเขาถูกคนย้อมสีนิ้ว ทุกอย่างและคนเป็นของเขาคณพศคนนี้ ต่อให้ไม่ต้องการ ก็ไม่ยอมให้คนอื่นได้ครอบครอง!
และผู้หญิงคนนี้ที่ถูกวิษณุส์เล่นจนไม่มีชิ้นดีแล้ว เขาจะกล้ำกลืนลงไปได้ยังไง ดีมาก!
มองนาราที่กำลังงุนงง บนใบหน้าไม่มีการแสดงออก เธอนิ่งเฉยเหมือนดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วง นิ่งเฉยและสง่างาม
เธอทำให้รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ อย่างไรก็ไม่มีจิตใจที่จะไปทำร้ายใครได้
ในดวงตาสีฟ้ากลมโตของเธอ มีทั้งน้ำและหมอก มองชายหนุ่มที่กำลังโกรธเงียบๆ
“คุณชายสาม…”
“อย่ามาเรียกฉันว่าคุณชายสาม เธอมันไม่คู่ควร!” หญิงสาวเพิ่งเอ่ยปากก็ถูกชายหนุ่มขัดจังหวะ เขามองเธออย่างดุร้าย
“นับจากวันนี้อยู่ให้ห่างจากฉันสามเมตร เพราะฉันเกลียดความสกปรก และถ้าเธอยังจำได้ เธอมาอยู่ที่นี่เพื่อคอยดูแลฉัน ถ้าคิดหนีฉันจะให้ตระกูลวรชัยลภัสหายไปจากเมืองธิตกลไม่ให้เหลือซาก! ไสหัวไป!”
ในแววตาของเขามีความเจ็บปวดเหลือคณานับ นาราเห็นมันอย่างชัดเจน ใช่ มันคือความเกลียด เขาเกลียดพี่สาวเหรอ คงเพราะพี่สาวเคยเป็นคู่รักของคุณชายสอง
แต่มันไม่สามารถเปลี่ยนความจริงได้ เธอเดินเข้าไปแผ่วเบา “คุณชายสาม ฉันจะพาคุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะคะ เสื้อผ้าของคุณสกปรกหมดแล้ว”
คณพศโบกมือไล่ “ไสหัวไป เธอมันไม่คู่ควร! จำไว้ว่าอย่าเรียกฉันว่าคุณชายสาม!” ตะคอกเสร็จก็เลื่อนรถเข็นออกไปทันที
“คุณชาย…คุณคณพศ!” นาราร้องเรียกเขาเสียงดัง
“ต่อให้คุณเกลียดฉัน ก็อย่าได้อารมณ์เสียไปเลยนะคะ คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ ฉันจะไปแล้ว”
มีหมอกในดวงตาของเธอ ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง หันหลังแล้วเดินออกไปจากห้องและเดินลงบันไดไป
ชายที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังมองเธอที่เดินไปด้วยบรรยากาศที่โดดเดี่ยว ทันใดนั้นหัวใจก็รู้สึกเหมือนถูกแทง และมันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นาราเดินออกจากวิลล่าเงียบๆ เธอเดินช้าๆไปทางทิศเหนือตามหาดทราย มีหญ้าทะเลมากมายที่นั่น พันรอบแนวปะการัง เมื่อดวงอาทิตย์ตก น้ำที่มีพืชน้ำจะกลายเป็นสีแดง
พระอาทิตย์ตกงดงามมาก ได้ยินเสียงคลื่นเป็นครั้งคราว นาราก้มหน้าแล้วเดินต่อไป เธอเดินไปและคิดถึงเหตุผลที่เธอต้องอดทน
บางทีโชคชะตาชีวิตของเธออาจถูกกำหนดให้ต้องผ่านช่วงเวลานี้ ตระกูลวรชัยลภัสเลี้ยงดูเธอมา ถึงเวลาที่เธอต้องตอบแทน แต่เธอคิดถึงคุณแม่มาก คุณแม่หน้าตาเป็นอย่างไรในความทรงจำของเธอ เธอจำอะไรไม่ได้เลย
เธอเคยถามบุรินทร์ว่าแม่ของเธอยังอยู่ในโลกนี้ใช่ไหม บุรินทร์พยักหน้าเงียบๆ เขาบอกว่า “ใช่ แม่เธอยังอยู่ เมื่อเธอโตขึ้น แม่จะมาหาเธอ”
แต่เธออายุยี่สิบปีแล้ว ก็ยังไม่ได้เจอแม่ แม่ไม่ได้ต้องการเธออีกต่อไปแล้ว หรือว่ามีปัญหาที่ต้องแก้ไข
โดยไม่รู้ตัวนาราได้เดินเข้าไปในป่า เกาะนี้ใหญ่มาก นอกจากวิลล่าของคณพศ ส่วนอื่นก็เป็นป่าทึบ
เมื่อนาราเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเธอเข้ามาในป่าลึก มันเริ่มมืดแล้ว เธอมองเข้าไปในป่า หันหลังแล้วเดินกลับไปเงียบๆ
ในตอนนี้มันเริ่มมืดแล้ว เธอเดินไปมองไป มันรู้สึกเหมือนไม่เห็นชายหาดเลย ไม่ใช่ว่าเธอไม่กลับไปตามเส้นทางเดิมหรอกเหรอ ทำไมมันดูเหมือนวนอยู่ที่เดิม
เธอแหวกต้นไม้ออกและเดินต่อไป ไม่เห็นแสงสว่างเลยสักนิด และบางครั้งยังได้ยินเสียงคำรามของสัตว์
ทันใดนั้นเธอก็มองไปรอบๆ เห็นแต่ต้นไม้ตรงหน้า
‘บู๊วว~’
มันเป็นเสียงของสัตว์ นารารู้สึกกลัวขึ้นมา ที่จริงแล้วไม่ควรมาที่หลังภูเขาเพียงคนเดียว เธอสูญเสียการมองเห็นทิศทาง
เธอยกเท้าวิ่งตรงไปข้างหน้า หลังภูเขานี้คงไม่มีสัตว์ป่าหรอกนะ ไม่ไม่ ไม่นะ เธอจะต้องไม่หลงทางตอนนี้! จะทำยังไงดี
จู่ๆ เสียงดัง‘ฮูฮู’ก็ดังขึ้นข้างหน้า เธอตกใจมาก
ถอยกลับมา เธอสะดุดเส้นเชือกจนล้มลงกับพื้น
และเสียงดัง‘ฮูฮู’ก็ใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นดวงตาสีเขียวกำลังเข้ามาใกล้เธอ
นาราตั้งใจเพ่งมอง มันเป็นหมาป่าตัวใหญ่สูงเท่าครึ่งตัวของมนุษย์ ปากของมันมีร่องรอยสีเงินโผล่ออกมา เหมือนกำลังเห็นเหยื่ออันโอชะ
นารารีบลุกขึ้น มองหมาป่ายักษ์ด้วยความกลัว หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“เธอ…อย่ากินฉันนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ…บุกรุกพื้นที่เธอ…ขอโทษนะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!” นารากลัวจนไร้เรี่ยวแรง
เธอค่อยๆ ก้าวถอยหลัง และหมาป่าก็ค่อยๆ ก้าวตามเธอมา ดวงตาสีเขียวจ้องนาราโดยไม่กะพริบตา ดั่งกลัวว่าอาหารอันโอชะจะหายไป