The fake แต่งงานหลอกๆ แต่รักฉันของจริง - ตอนที่ 10 อย่ามาทำใหญ่ในที่ของฉัน
ตอนที่ 10 อย่ามาทำใหญ่ในที่ของฉัน
ยชญ์มองหน้าคณพศที่ค่อยๆดำคล้ำ ยิ่งสุมไฟเข้าไปอีก “หลายปีที่ผ่านมานี้แกไม่ค่อยได้ออกมามองโลกเลย ถ้าโดนเธอยั่วเสน่ห์จนทนไม่ไหวล่ะก็ ลองชิมดูก็ไม่เห็นจะแปลก”
พูดจบก็หัวเราะกับเด่นภูมิ ตรัญก็แอบยิ้มเบาๆ
คณพศมองดูเด่นภูมิและยชญ์อย่างสนุก หยิบแก้วไวน์บนโต๊ะขึ้นมาแล้วพูดว่า “เห็นบอกว่าช่วงนี้บีเคว่างมาก ทางฝั่งจื้อลี่ขาดคนช่วย ที่ทะเลทรายมรณะเจอพวกปีศาจ แกไปช่วยฝั่งโน้นจะดีกว่า”
ยชญ์กำลังตกใจอึ้งอยู่ ก็หันหลังหยิบกุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะ
เด่นภูมิรีบแย่งมา “ฉันจำได้ว่าแกมี Rolls-royce phantomสองคันว่างอยู่ ฉันจะให้ลุงบีมขับไปล้างที่เกาะฟ้าให้สะอาด”
“บ้าอะไรเนี่ย รถสองคันนั้นเป็นของฉันนะ ฉันล้างเองได้ นี่แก ” เด่นภูมิเริ่มกระวนกระวายใจ ผู้ชายคนนี้ชักสีหน้าเร็วอย่างกับอะไรดี ก็แค่หัวเยาะเย้ยที่เขาไม่มีแฟนเอง
จะเอารถที่ให้ไปแล้วกลับคืนมาอีกเหรอ เขาเอารถอีกคันหนึ่งให้กับน้องชายภรรยาในอนาคตไปแล้วนะ เพื่อจะขอคืนดีกับแฟนเก่าเขา
จะขอคืนกลับมาได้ยังไงกัน
ยชญ์รีบขยับไปนั่งใกล้ๆ ตบหัวไหล่คณพศเบาๆ “ฮ่าๆ ทะเลทรายนั่นใช่ที่ๆคนควรไปมั้ยนั่น ถ้าเจอปีศาจผู้หญิง แกยังมีน้องชายอย่างฉันนั่งอยู่ตรงนี้หรือไง”
“ปีศาจผู้หญิงงั้นเหรอ ตรงตามใจแกเลยไม่ใช่เหรอ ฉันจำได้ว่าปีที่แล้วที่แกติดเล่น3P ปีศาจตัวเดียวแกยังไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย” คณพศมองหน้าเขาอย่างนิ่งๆ
ยชญ์เห็นปีศาจหญิงรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าล้มเขาลงกลางทะเลทราย ฉีกเสื้อผ้าขาดยุ่งอย่างทารุณ เขากลัวจนตัวสั่น
“แหะๆ คณพศ ฉันรู้ว่าแกน่ะมีความคิดแน่วแน่ แกไม่แตะผู้หญิงง่ายๆหรอก มาๆฉันรินไวน์ให้” ยชญ์รีบไปประจบคณพศ
เขาไม่กล้าล้อเล่นกับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
“พ้งเพล้ง” เสียงกระจกข้างห้องดังขึ้น
คณพศขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เด่นภูมิ เด่นภูมิลุกขึ้นทันที “นี่ใครน่ะ กล้ามาทำลายข้าวของในที่ของฉัน อยากตายหรือไง ” พูดจบก็เดินไปเปิดประตูเข้าไปข้างห้อง
ในห้องข้างๆ วิษณุส์เมาไม่รู้เรื่อง บอดี้การ์ดสองคนหามเขาไว้กำลังจะพาออกไป เขาชกไปที่บอดี้การ์ดจนชายชุดดำล้มลงกับพื้น
ขวดเหล้าและแก้วแตกกระจัดกระจายบนพื้น “หลบไป นี่ขนาดพวกแกยังรังแกฉันเลย”
บอดี้การ์ดลุกขึ้น เช็ดคราบเลือดที่ปาก “คุณชายรองครับ คุณเมามากแล้ว คุณหญิงบอกให้มารับคุณชายกลับบ้านครับ”
“กลับบ้านอย่างนั้นเหรอ” วิษณุส์ลืมตาอันแดงก่ำขึ้น “คุณปู่ไม่เคยเห็นฉันเป็นคนในครอบครัวเลย เขาเอาผู้หญิงของฉันให้กับไอ้พิการนั่น ฉันเกลียดเขา”
คณพศนั่งลงบนโซฟา ชายสองคนที่อยู่ข้างหลังรีบเดินเข้าไป “คุณชายรองครับ คุณหญิงบอกว่าให้อดทนเอาหน่อย เพื่อส่วนรวมนะครับ”
“ส่วนรวมงั้นเหรอ” คณพศเงยหน้าเล็กน้อย ยิ้มเหยาะที่มุมปาก “ฮ่าๆๆ แกคิดว่าฉันกลับไอ้พิการนั่นเหรอ ฉันแค่เกลียดคุณปู่ที่เอาผู้หญิงของฉันไปให้มัน ทำไม มันไม่ทำอะไรเลย ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในบริษัทอีก ฉันทำเพื่อบริษัทมามากขนาดนี้ ทำไมมันต้องได้มากกว่าด้วย”
“ถ้าตาแก่นั่นยังไม่ตายเสียที บ้านนี้ก็ต้องเป็นของไอ้พิการนั่นทั้งหมดแน่ๆ ” เสียงของเขาดังลั่นขึ้นบนความเงียบสงัด
บอดี้การ์ดสองคนช่วยกันแบกวิษณุส์จะเดินออกไป แต่เขาก็ตะโกนด้วยความดื้อรั้น “ไม่ไป ฉันจะดื่มต่อ”
กำลังเดินถึงหน้าประตูก็เห็นเด่นภูมิตัวสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าประตู เขามองดูวิษณุส์อย่างนิ่งๆ แฝงด้วยรอยยิ้มที่เยาะเย้ย
“วิษณุส์ ที่ไม่ใช่ที่ที่แกจะมาทำนักเลงใส่ได้ หวังว่าครั้งหน้าถ้าเมาขนาดนี้ก็ออกไปจากที่นี่ซะ” ขาพูดเตือนชายหนุ่มที่กำลังเมามาย
วิษณุส์เงยหัวขึ้นเห็นเด่นภูมิ ก็ผลักบอดี้การ์ดออกทันที จ้องเขม็งเด่นภูมิ “แกเป็นใคร กล้ามายุ่งเรื่องฉัน”
“พ้ง” ทันทีที่พูดจบ เด่นภูมิก็ถีบวิษณุส์ล้มลงยังโซฟา บอดี้การ์ดสองคนเข้ามาผสมโรงต่อยกับเด่นภูมิ
แต่ถูกเด่นภูมิเตะต่อยไปไม่กี่ทีก็ล้มลงไปกับพื้น เขาดึงวิษณูส์ขึ้นมา “ฉันเตือนแกไว้ก่อนนะ อย่ามาทำนิสัยนักเลงแถวนี้ ดูท่าทางแกสิ ยังกล้ามาด่าฉัน ฉันต่อยถึงขั้นควานหาฟันตามพื้น”
พูดจบแล้วลากเขาไปยังระเบียงข้างนอก บอดี้การ์ดสองคนรีบลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด แล้วแบกวิษณุส์ออกไป
เมื่อวิษณุส์สร่างเมา จำไม่ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร รู้แต่ว่าตัวเองโดนต่อยแล้วบอดี้การ์ดหามกลับบ้าน
เด่นภูมิปัดมือและขาเดินเข้าห้องไป เห็นคณพศนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าท่าทางเขาเยือกเย็นเหมือนเพชรฆาตในนรก
เขาไม่ได้หูหนวก ได้ยินที่คำพูดที่วิษณุส์พูด เขากำมือไว้แน่น นัยย์ตาเต็มไปด้วยความเลือดเย็น
“จัดการเรียบร้อยแล้ว พวกสารเลว” เด่นภูมินั่งลงรินไวน์บนโต๊ะแล้วดื่ม
คณพศยืนข้นแล้วหยิบหน้ากากมาสวมใส่เดินออกไป ยชญ์รีบลุกขึ้นแล้วตามไป ตรัญก็หยิบหน้ากากออกมาสวมใส่แล้วเดินตามออกไป
หน้าประตูปู่ชิงคลับ บอดี้การ์ดกำลังหามวิษณุส์เดินโซเซไปที่จอดรถ ก็เห็นคนสวมหน้ากากเดินผ่านเขาไป
ข้างหลังตามมาด้วยชายสวมหน้ากาก และยังมีผู้ชายหน้านิ่งเดินตามหลังออกมา
วิษณุส์หัวเราะเยาะ “ไม่มีอะไรใส่หน้ากากทำไมเล่า ทำเหมือนกับเป็นมาเฟียเลย”
“กลับบ้าน” เขาสั่งบอดี้การ์ด
ใต้แสงไฟนีออน Rolls-royce phantomขับผ่านบริษัทตระกูลปัญญาพนต์ ชายหนุ่มในรถหันมองตึกที่สูงใหญ่แล้วยิ้มเบาๆ
คณพศกลับถึงเกาะฟ้าตอนสามทุ่ม เห็นลุงบีมเข็นวีลแชร์ออกมากแต่ไกล พยุงคณพศขึ้นนั่งที่วีลแชร์แล้วเข็นเข้าบ้านทันที
เดินเข้าห้องนอนเห็นของวางอยู่อย่างระเบียบในตู้แล้วถามลุงบีม “วันนี้เธอเป็นยังไงบ้าง ”
“คุณนายสามทำความสะอาดห้องอาบน้ำและห้องนอนเสร็จแล้วกลับห้องนอนเปิดโทรศัพท์ ตอนเที่ยงเห็นแม่บ้านได้ยินเธอร้องไห้แล้วก็อยู่แต่ในห้องทั้งวัน ข้าวเย็นก็ทานน้อยมากครับ”
ลุงบีมบอกตามความจริง ชายหนุ่มหน้านิ่ง ในที่สุดก็ร้องแล้ว นี่แค่วันที่สองก็ร้องแล้ว
ดีมากพิมมี่่ วันวานยังอีกยาวไกล ดูว่าเธอจะแสร้งได้นานแค่ไหนเชียว
“แต่ผมรู้สึกว่าคุณนายสามไม่ใช่คนแบบที่พวกเขาไปสำรวจมาเลย เธอดูอ่อนโยน อ่อนน้อม งานที่คุณชายให้ทำก็ทำให้เสร็จเรียบร้อยดีด้วยครับ”
“ดูไม่เหมือนคุณหนูเอาแต่ใจเลยสักนิด เธอยังไม่เหมือนคนมีเล่ห์มีกลด้วย” ลุงบีมขมวดคิ้วพร้อมพูด
คณพศหลับตาลงแล้วพูดด้วยเสียงที่เบา “เธอจะแกล้งทำไม่เป็นงั้นหรือ เพื่อสอดแนมให้วิษณุส์ คิดว่าเธอจะแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาไม่เป็นหรือไง”
ลุงบีมเหมือนจะพูดอะไรต่อ คณพศก็หมุนล้อวีลแชร์ไปยังห้องอาบน้ำในห้องหนังสือ เห็นของที่จัดวางเป็นระเบียบ สะอาดเรียบร้อย ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น
“ไปตรวจสอบดูสิว่าวันนี้เธอติดต่อกับใครบ้าง”
“ครับ คุณชาย” ลุงบีมออกจากห้องแล้วตรงไปยังห้องใต้ดิน
คณพศหมุนล้อวีลแชร์ไปยังห้องนอนของนารา เปิดประตูเข้าไป เห็นเธอนอนอยู่ ในห้องเงียบสงัดไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของเธอ
คณพศเข็นวีลแชร์ไปที่หน้าเตียงพร้อมเปิดไฟที่หัวเตียง หญิงสาวกำลังนอนตะแคงอยู่