The fake แต่งงานหลอกๆ แต่รักฉันของจริง - ตอนที่ 264 เขมินท์ได้ไล่ตามรถของนารา
ตอนที่ 264 เขมินท์ได้ไล่ตามรถของนารา
บุรินทร์ได้พยักหน้า แล้วรีบตามคุณหมอเดินออกไปทางประตู
“ต้องขอบคุณคุณหมอมากเลยนะครับ เดียวผมไปส่งคุณหมอนะครับ”
คุณหมอที่รู้สึกไม่วางใจเขาสักเท่าไหร่ ได้เดินหน้าไปก่อน
คุณหมอที่เมื่อถึงที่หน้าประตูแล้ว บุรินทร์ได้หยิบค้อนที่ตัวเองได้เตรียมไว้ออกมาจากข้างหลัง
แล้วทุบไปที่หลังกะโหลกศีรษะของหมอ
“ป้าง! ปึงปัง!”
เสียงที่อึมครึมรอยมา และหลังจากที่เสียงนั้นเงียบไปคุณหมอก็ได้ล้มลง
บุรินทร์ได้เก็บค้อนที่เปื้อนเลือด บุรินทร์ก็ได้พูดว่า “ คุณหมอจะโทษผมไม่ได้ เพราะคุณหมอดวงซวยเอง
มีแค่คนตายเท่านั้นที่จะเก็บความลับได้”
เขมินที่อยู่ข้างๆได้ปิดตาของพิมมี่ไว้แล้วด่าบุรินทร์ว่า “นายบ้าไปแล้วหรอ? นายทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าลูกได้ไง?!
ยังทำให้บ้านเปื้อนเลือดไปหมด สกปรกมาก ยังไม่รีบมาทำความสะอาดอีก?”
บุรินทร์ไม่ได้พูดอะไร เขาได้ลากศพของคุณหมอไปที่ชั้นใต้ดิน
เขาได้ให้สาวรับใช้ของเขาออกไปหมดแล้ว ตอนที่เขาให้คุณหมอมาดูอาการของลูกเขานั้น
เขาก็ไม่คิดที่จะไว้ชีวิตคุณหมออยู่แล้ว
อีกฝั่งหนึ่ง นาราก็ได้เริ่มคุ้นชินกับชีวิตที่อยู่ในเมืองธิตกล
อย่างไรก็ตามที่นี่เป็นที่ที่นาราเติบโตมา ในวันแรกที่เธอมาอยู่ที่นี่เธอได้รู้สึกไม่ปลอดภัย
แต่ภายหลังที่เธอได้รู้ว่ากษาปณ์จะไม่มากลั่นแกล้งเธอแล้ว เธอถึงมีความรู้สึกจิตใจได้สงบลง
กษาปณ์เป็นปู่ของคณพศ เธอรู้ว่ากษาปณ์นั้นไม่ค่อยชอบเธอ เธอไม่หวังที่จะให้กษาปณ์มายอมรับเธอ
แค่กษาปณ์ไม่มากลั่นแกล้งเธอก็เพียงพอแล้ว
หลายปีที่ผ่านมานี้กษาปณ์ไม่ได้ว่ายุ่งวุ่นวายกับเธออย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเพราะว่าเขาจะประนีประนอมกับคณพศ
หรือเพราะกษาปณ์อยากใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขก็ตาม ผลลัพธ์ล้วนเป็นผลลัพธ์ที่เธออยากได้
ในวันที่สามของการอยู่ในเมืองธิตกล นาราได้เตรียมของขวัญเล็กๆ เพื่อไปเยี่ยมไลลา
ดีที่วันนี้คณพศมีธุระต้องไปจัดการที่บริษัท นาราก็ได้ดีใจที่มีเวลาส่วนตัวสักที่
ไม่งั้นเขาคงต้องตามติดเธอไปทุกที่แน่เลย
ไลลาตั้งแต่ที่ทิ้งข้อความกระดาษไว้ เธอก็ได้หายไปเลย เธอคนนี้ทำเกินไปแล้ว
เดียวถ้าฉันไปเจอเธอนะ ฉันจะสั่งสอนเธอหน่อย!
นาราก็ได้หิ้วของที่เธอเตรียมไว้แล้วลงไปข้างล่าง
นาราที่พึงถึงหน้าประตู ขาของเธอก็ถูกมิรากอดไว้
“คุณแม่จะไปไหนครับ?”
นาราได้ก้มลงไป มองมิราที่ตัวเล็ก แล้วพูดว่า” แม่ไปเยี่ยมเพื่อนเก่าคนหนึ่ง
ไม่นานเดียวแม่ก็กลับมา”
มิราเงยหน้าไปมองที่นาราด้วยความคาดหวัง “แม่ลูกจะไปด้วยได้มั้ย? ลูกก็อยากออกไปข้างนอกบาง
ลูกสัญญาว่าลูกจะไม่ดื้อครับ”
นาราก็ได้คิดอยู่สักพักและตอบตกลงที่จะให้มิราไปด้วย “น้าไลลาน่าจะคิดถึงมิราแล้วแหละ
พวกเราไปเยี่ยมน้าไลลากันเถอะ”
“อ่อ ไปเยี่ยมน้าไลลาหรอ ลูกไม่ได้เจอน้าไลลานานแล้ว” มิราดีใจจนกระโดดขึ้นมา
และเดินไปกระโดดไปแบบนี้
นาราได้ขับรถสปอร์ตเปิดประทุนที่คณพศได้ซื้อให้นั้นพามิรา มุ่งหน้าไปที่บ้านของไลลา
ตอนที่รถของเธอได้ขับออกจากบ้านเธอไม่ได้สังเกตเห็นมีดวงตาคู่หนึ่งได้จ้องมองเธออย่างไม่กะพริบ
และยังขับรถตามเธอไปด้วย
นาราขับรถได้ไม่ดีมาก เพราะส่วนมากจะมีคนรับส่ง อย่างไรก็ตามเธอถึงว่ายังขับได้อยู่ในระดับหนึ่ง
หลังจากที่ขับออกมาจากบ้านไม่ใกล้ เธอก็ขับไปถึงถนนที่ไม่ค่อยมีคน
ถนนนี้เป็นถนนที่สร้างใหม่ ถนนมีหลายเลน แต่ไม่ค่อยมีรถสัญจรไปมาเท่าไหร่
นาราได้เปิดเพลงฟัง ในรถก็ได้เต็มไปด้วยเสียงเพลง นาราในตอนนี้รู้สึกสบายใจ
เพราะเธอไม่เคยขับรถเองแบบนี้มานานแล้ว เธอชอบความรู้สึกแบบนี้มากเลย
“คุณแม่ คุณแม่?” มิราที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นได้สะกิดนาราและดึงเสื้อนารา
นาราก็ได้ลดเสียงเพลงและขับรถให้ช้าลง แล้วมองไปที่มิราแล้วถามว่า “มีอะไรหรอ?”
มิราได้ใช้นิ้วชี้ชี้ไปที่กระจกมองหลัง แล้วบอกว่า “แม่ แม่ไม่ต้องหันไปดูนะ หลังจากที่เราขับรถออกจากบ้าน
มีรถขับตามเรามาติดๆเลย”
นาราได้ยินมิราพูด รู้สึกไม่สบายใจ ได้มองไปที่กระจกมองหลัง นาราก็ได้เห็นมีรถสปอร์ตสีแดงเข็ม ตามรถเธอมาติดๆ
“อาจจะแค่เป็นรถที่จะแค่ใช้ทางเดียวกับเรา” นาราได้ปลอบใจตัวเอง เธอพึ่งกลับถึงเมืองธิตกลได้ไม่นาน คงยังไม่ได้ไปทำให้ใครโกรธแค้นหรอก?
มิราส่ายหัว“ ไม่ใช่ คุณแม่ รถที่ตามเรามา เหมือนมีเจตนาที่จะตามเรา ไม่ผิดแน่นอน
ตอนเราขับรถช้าเขาก็ขับช้า ตอนเราขับเร็วเขาก็ขับเร็ว”
มิราที่อายุเพียงห้าขวบ แต่วิเคราะห์สิ่งต่างได้อย่างใจเย็น และมีไหวพริบที่ดีมาก
มิราได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมจากคณพศไม่มีผิด
ตอนแรกที่มิราแค่รู้สึกเบื่อเลยมองไปที่กระจกมองหลังเห็นมีรถตามพวกเรามา
แต่พอได้สังเกตอยู่สักพัก รู้สึกว่ารถคันที่ตามเขาตั้งใจที่จะตามพวกเรามา มันไม่ปกติแน่ๆ
นาราก็เริ่มที่จะกระวนกระวาย ถ้าเธอรู้ว่าการที่ออกมาแบบนี้จะเจอเรื่องอันตราย เธอก็คงไม่พามิรามา
“ทำไงดี ทำไงดี ฉันควรทำไงดี?” นารารนจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และเธอก็ได้ขับรถให้ช้าลง
รถคันหลังที่ตามพวกเธอก็มาได้เพิ่มความเร็ว เหมือนที่จะขับมาชิดรถของเธอ
ใจของมิราเริ่มร้อนแล้ว “คุณแม่อย่าลดความเร็วนะครับ ถ้าเกิดรถคันหลังเกิดแซงหน้าเราไปแล้วไปขวางทางเรา!”
เราจะตกอยู่ในสภาพที่แย่มากนะครับ
“อ๊ะ? อ่อๆ ได้ เหยียบคันเร่ง แม่จะเหยียบคันเร่งนะ” ตอนนี้นาราได้ตกใจกับสถานการณ์แบบนี้มาก
นาราที่ได้ยินที่มิราพูดเลยรีบเหยียบคันเร่ง
รถของนาราที่ได้เพิ่มความเร็ว ไม่นานก็ได้ใกลห่างจากรถที่ตามเธอมา
รถที่ตามนารามานั้นก็เป็นรถหรู เมื่อเห็นนาราเร่งความเร็ว เขาก็ได้เร่งความเร็วตาม
รถทั้งสองคันได้ขับอยู่บนถนนที่ไม่ค่อยมีรถสัญจรไปมา ต่างฝ่ายต่างอยากที่จะแซงอีกฝ่าย
พระเจ้า พระเจ้า จะทำไงดี รถคันนั้นจะขับแซงเราอยู่แล้ว นาราที่ตอนนี้ตื่นตระหนกตกใจจนเกิดไป
โดยเธอได้สูญเสียความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้
จะโทษใครไม่ได้ เพราะรถคันนี้เธอได้แอบขับออกมา แล้วยังเจอเรื่องแบบนี้อีก จึงทำให้เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“แม่ไม่ต้องกลัวนะ เราจะต้องหนีไปได้!” มิราได้พยายามที่จะให้กำลังใจแม่
“ลูกได้ส่งข้อความไปหาพ่อแล้ว อีกไม่นานพอก็น่าจะถึงและมาจัดการกับทุกอย่างเอง”
มิราที่พูดแบบนี้นารารู้สึก สมองของตัวเองใช้ไม่ได้เลย
ใช่ ทำไม่เมื่อกี้ฉันถึงคิดไม่ได้นะ?
ไม่รู้เป็นเพราะรู้ว่าคณพศจะมาช่วยหรือเปล่า ใจของเธอที่เต้นแรกได้กลับสู่สภาพปกติ
เธอในตอนแรกที่กระวนกระวายก็ได้สงบลง
รถคันนั้นที่เธอได้เห็นผ่านกระจกมองหลัง เธอรู้สึกว่ารถคันนั้นคุ้นตามาก
นี้มันรถของเขมินท์ที่เขาได้ขับอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรอ?
หรือว่า…..
นารารู้สึกสั่นสะท้าน ไม่กล้าที่จะคิดต่อไปอีก