The fake แต่งงานหลอกๆ แต่รักฉันของจริง - ตอนที่ 34 คู่สร้างคู่สม
บทที่ 34 คู่สร้างคู่สม
นาราถึงกับสมองว่างเปล่าเมื่อถูกเขาหลอก เมื่อชายหนุ่มเตรียมจะบุกโจมตีเธอ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“นายน้อย คุณนายน้อย คุณท่านให้ลงไปรับประทานอาหารเช้าคะ”
นาราได้ยินเสียงจากด้านนอกที่ทั้งดุและน่ากลัว
ทันใดนั้นเธอก็ใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักร่างของชายหนุ่ม คณพศเงยหน้ามองด้วยสายตาเบลอๆ “คุณนาย…”
“รีบลุกขึ้นเร็ว มีคนมาแล้ว”
“ไม่สนหรอก”
“…………….”
ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง นาราเข็นรถวีลแชร์ลงไปข้างล่าง กษาปณ์ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
เขาเงยหน้ามองหลานชายที่นิ่งเฉยไม่แสดงอาการใดๆ กับนาราที่ดูแข็งทื่อไร้ชีวิตชีวา จึงได้แต่ถอนหายใจ ไม่เอ่ยวาจาใดๆ ออกมา
งานเลี้ยงวันเกิดของกษาปณ์เป็นไปตามกำหนดการ เขาไม่อยากเชิญแขกมามากนัก แต่พวกที่มีหน้ามีตาในสังคมของตระกูลปัญญาพนต์และเมืองธิตกลต่างก็มาร่วมงาน
งานเลี้ยงในวันนี้ กษาปณ์เพียงแต่จะประกาศให้ทุกคนทราบว่าคณพศหลานชายคนที่ 3 คือผู้ถือหุ้นมากที่สุดของตระกูลปัญญาพนต์ แต่ไม่ได้ประกาศว่าในอนาคตใครคือประธานของบริษัท
วิษณุเหล่ตามองด้วยความอดทนต่อความรู้สึกเหมือนถูกจู่โจม เขามองมาที่บุรินทร์แล้วพยักหน้าส่งสัญญาณ ในขณะนั้นบุรินทร์ก็เดินออกมาจากฝูงชน เขามองมาที่กษาปณ์ “คุณกษาปณ์ครับ วันนี้ผมเป็นตัวแทนของตระกูลวรชัยลภัสขอร่วมแสดงความยินดีที่ท่านอายุครบ 80 ปี ท่านควรส่งมอบภาระหน้าที่การงานในบริษัทให้ลูกหลานได้ดูแล”
“นั่นซิ คุณกษาปณ์พวกเราต่างก็รอให้คุณประกาศว่าใครจะรับช่วงประธานต่อจากท่าน ท่านจะถือโอกาสใช้งานเลี้ยงนี้ประกาศเลยไหมครับ?” ประธานกษาปณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก บุรินทร์เป็นคนสนิทของวิษณุ
สีหน้าของกษาปณ์ดูคร่ำเครียดในทันที สายตาอันแหลมคมจ้องมองไปที่บุรินทร์ “ประธานคนใหม่ฉันจะประกาศให้ทราบในเดือนมิถุนายน วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน ฉันไม่อยากพูดเรื่องบริษัท แต่อยากพูดเรื่องสำคัญของตระกูลวรชัยลภัสมากกว่า”
บุรินทร์เบิกตากว้าง กวาดสายตาทั่วทั้งห้องนั่งเล่น มองหานาราที่อยู่ตรงมุมห้องข้างๆ รถวีลแชร์
นาราในเวลานี้ยืนอยู่ด้านหลังรถวีลแชร์ ร่างกายดูบอบบางจริงๆ อยู่ภายใต้เงาของชายหนุ่ม แต่ชายหนุ่มบนรถวีลแชร์กับมองเธอด้วยสายตาลุ่มลึก
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา บุรินทร์ต้องอกสั่นขวัญแขวน เขารู้ว่าเขมินท์พานาราไปส่งที่เกาะฟ้า เขาต้องทะเลาะกับภรรยายกใหญ่ ทุกวันเขาต้องกังวลว่านาราจะถูกจับได้ที่ไหน ทำให้ตระกูลปัญญาพนต์ไม่พอใจ ตระกูลวรชัยลภัสของเขาต้องจบสิ้นเป็นแน่
แต่ 1 เดือนผ่านไป เขาไม่เห็นนาราถูกส่งตัวกลับมา แถมยังได้มาร่วมงานวันเกิดของกษาปณ์อีกด้วย
เมื่อคืนวานนี้เขาไม่สามารถปฏิเสธความออดอ้อนของพิมมี่ได้ จึงรับปากที่จะช่วยวิษณุพูดกับกษาปณ์เรื่องประธานคนใหม่ เขาคิดว่ายังไงพิมมี่ก็ต้องแต่งงานกับคุณชายรองของตระกูลปัญญาพนต์ ทำแบบนี้คงไม่ทำให้กษาปณ์โกรธได้
เพราะเดือนนี้นาราไม่ได้ถูกส่งตัวกลับมา อาจเป็นเพราะเข้ากับคุณชายสามได้ซึ่งก็ไม่เลว เขาจึงได้ใจพูดเรื่องประธานคนใหม่ คิดไม่ถึงว่ากษาปณ์จะปฏิเสธเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขามองชายที่นั่งอยู่บนรถวีลแชร์ สายตาที่สงบนิ่งลุ่มลึกเหมือนทะเลสาบที่มองไม่เห็นความลึกของหาดทราย ท่าทางไม่สนใจใยดี ใบหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ สายตาเย็นชาจนทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว
แม้ว่าเขาจะนั่งบนรถวีลแชร์ แต่พลังในตัวเขาเปล่งประกายความเป็นใหญ่ดุจพระจักรพรรดิ ส่วนนาราก็ยังคงยืนอยู่ด้านหลังเขา
เธอผอมไป!
“บุรินทร์ นับตั้งแต่ให้ลูกสาวสุดที่รักแต่งงานกับคณพศ คุณก็ไม่เคยมาเยี่ยมพิมมี่เลย วันนี้พวกเธอควรจะได้พูดคุยกันตามประสาพ่อลูก” กษาปณ์มองไปที่บุรินทร์ด้วยสายตาอันแหลมคม
“คือ….ขอบคุณคุณกษาปณ์” บุรินทร์รีบเดินไปหานารา
ตอนเขาเดินไปถึงคณพศแล้วมองนารา เขารู้สึกว่านารามองเขาด้วยสายตาของคนแปลกหน้า
เขาเดินมาเงียบๆ กระซิบที่ข้างหูนารา “นารา พวกเราออกไปคุยกันด้านนอกเถอะ”
นาราพยักหน้าตอบรับ
สายตาของผู้คนในงานมองตามร่างทั้งสองที่เดินออกไป
“คุณกษาปณ์ คุณหนูใหญ่ตระกูลวรชัยลภัสกับคุณชายสามดูเหมาะสมกันดี สมเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ” สาริกข์รีบเดินเข้าไปประจบกษาปณ์
“ใช่ๆ สาวตระกูลวรชัยลภัสไม่ธรรมดา นาราเป็นคนใจกว้าง สมควรได้รับการยกย่อง”
“แต่งงานกับคุณชายสามถือเป็นคู่สร้างคู่สมกัน”
กษาปณ์ได้ยินคำประจบประแจงพวกนั้น อยากจะเดินออกมาแต่ก็ทำได้แค่ยิ้มๆ
“ขอบคุณทุกคนครับ ผมอยากบอกกับคุณปู่และทุกคนในที่นี้ว่า มิถุนายนปีนี้ผมจะไปทำงานกับพี่รองในบริษัทปัญญาพนต์”
เขาเข็นรถวีลแชร์มาที่ข้างๆ กษาปณ์ ภายใต้สายตาที่ตกตะลึง ค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“ทุกคนต่างรู้ดีว่า ขอของผมไม่ค่อยดี แต่สมองของผมยังใช้การได้ดีอยู่ ผมเองอยากแบ่งเบาภาระของคุณปู่ ยังไงซะผมเองก็เป็นผู้ถือหุ้นารายใหญ่ ผมไม่อยากให้ใครว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่ได้ทำงานแต่มีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือย”
เขากวาดสายตามองทุกคน
“คุณชายสาม คุณควรรักษาตัวให้หายดีก่อน ส่วนเรื่องงานในบริษัทปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณวิษณุจะดีกว่า”
“ใช่ๆ คุณควรดูแลตัวเองก่อน พวกเราเชื่อมั่นในท่านประธานว่าจะจัดการดูแลบริษัทได้”
คณพศฟังคำพูดของทุกคน สายตาของเขาแสดงออกถึงความเยาะเย้ย “ขอบคุณในความห่วงใยของทุกคน ผมพักมาพอแล้ว เดือนหน้าผมจะเข้าไปทำงานในบริษัทอย่างเป็นทางการ”
คำพูดที่เพิ่งพูดจบไป ทำให้ทุกคนต้องสูดลมหายใจเข้า มีเพียงวิษณุที่ประหลาดใจ เขาจ้องมองไปที่คณพศ อยากหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก เขารู้สึกสั่นไปทั้งตัว
เขาจะกลับไปที่บริษัทปัญญาพนต์
เขาจะกลับมาแย่งตำแหน่งประธานบริษัท
คณพศไม่ได้ใส่ใจในความรู้สึกของวิษณุที่เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาเข็นรถวีลแชร์ไปที่ข้างๆ กษาปณ์ มองและส่งยิ้มให้ “คุณปู่ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมตัดสินใจยอมไปทำงานที่บริษัท ยังไงเสียบริษัทก็คือชีวิตจิตใจของคุณปู่ ผมเป็นหลานชายคุณปู่ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะปฏิเสธได้”
กษาปณ์มองสายตาที่แน่วแน่ของคณพศซึ่งไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย เขาค่อยๆ วางมือไว้บนบ่าของคณพศ สีหน้าแสดงความประหลาดใจ “ที่พูดมาจริงรึ? เธอจะกลับไปทำงานแน่นะ?”
“ครับ ผมจะกลับไป คุณปู่ครับ หลายปีมานี้ผมทำให้คุณปู่ต้องลำบากใจ แต่ไม่ว่ายังไง ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อบริษัท” คณพศยื่นมือมากุมมือของกษาปณ์ กษาปณ์กุมมือชายหนุ่มด้วยความรู้สึกตื้นตัน “ดี ดี หลานยอมกลับไปทำงานก็ดี อย่างนี้ปู่เองก็สบายใจ”
วิษณุก้าวเท้าถึงด้านข้างรถวีลแชร์ “น้องสาม นายควรกลับไปบนเกาะรักษาตัวก่อนดีกว่า ทางนี้พี่รองดูแลเอง คุณปู่วางใจเถอะครับ ผมจะบริหารบริษัทให้เจริญรุ่งเรือง ไม่ให้คุณปู่ผิดหวัง”
ดูเหมือนกษาปณ์จะไม่ใส่ใจคำพูดของวิษณุ ยังคงกุมมือของคณพศต่อไป และไม่ได้สนใจเรื่องตำแหน่งประธานที่คุยกันในงานเลี้ยง เขาเข็นรถวีลแชร์ของคณพศ “ไปกันเถอะหลาน ในเมื่อหลานจะกลับไปทำงาน ปู่จะให้เสกข์เป็นผู้ช่วยหลาน เรื่องในบริษัทปู่จะให้เขาอธิบายให้ฟัง”