The fake แต่งงานหลอกๆ แต่รักฉันของจริง - ตอนที่ 95 คุณนายผมทนไม่ไหวแล้ว
บทที่ 95 คุณนายผมทนไม่ไหวแล้ว
เขมินทร์รู้สึกปวดใจ ดูแล้วแม้แต่คำพูดของเธอเองพิมมี่ก็ยังไม่ฟัง
เธอก็หมดหนทางแล้ว ทำเพียงแค่ปลอบใจพิมมี่แล้วก็ออกจากโรงพยาบาล
เธออยากให้บุรินทร์ไปขอนารา บางทีนาราอาจฟังพ่อของเธอก็ได้ ดูว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงให้กับพวกเธอบางหรือเปล่า
พอบุรินทร์รับสายของเธอ เธอก็พูดสิ่งที่คิดเอาไว้ออกมาทันที บุรินทร์ที่รับสายของเธอก็ได้แต่หลับตาลง แล้วถอนหายใจอย่างหมดแรง
…..
“คุณทำอะไรเหรอ? ทำไมวันนี้ดูยิ้มแย้มทั้งวันแล้ว?” คณพศดูเอกสารไปพร้อมเรียกให้นาราเข้ามาในห้อง
แล้วให้เธอนั่งลงบนโซฟาอยู่กับเขาในห้องไปตลอดทั้งตอนบ่าย
แต่รู้สึกว่าชายรูปงามที่ดูเหมือนเทพเจ้าในสวรรค์นั่งบนโต๊ะไม่ไกลนักมองเธอด้วยรอยยิ้ม
นาราได้ยินอย่างนี้เลยรู้สึกแปลกใจ ทนมาครึ่งวันก็อดไม่ไหวแล้ว เธอแหงนหน้าขึ้นแล้วถามด้วยความประหลาดใจ
เพียงแค่เห็นท่าทีที่สงสัยของนาราร่างน้อย อยู่คณพศก็หัวเราะขึ้นเบาๆ
จากนั้นก็วางเอกสารในมือของตนเอง แล้วกวักมือเรียกเธอ :“นารา มานี้หน่อยสิ”
“หืม” นาราชินแล้วกับการที่เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้ เธอชินชาแล้ว
ดังนั้นดูเขาจะเป็นแบบนี้แล้ว ถึงนาราจะหน้าแดงแต่ก็ยังเข้าไปตามคำสั่ง เพียงนาราเข้าไปใกล้คณพศ คณพศก็ยื่นมือออกมาแล้วดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ไม่นะ….แผลยังไม่หายดีเลย ถ้ามันทำให้แผลฉีกขึ้นมาจะเป็นยังไง?” คณพศยังให้เธอนั่งลงข้างขาของเขา นาราที่เป็นกังวลเรื่องแผลของเขาก็ได้พูดออกมาเบาๆ พร้อมหน้าที่แดง
จริงแล้วเพราะกอดนี้คณพศก็ชอบกอดเธอแบบนี้ ไม่ได้ถูกเขากอดมานานขนาดนี้ นารารู้สึกคิดถึงอ้อมของเขาอยู่หน่อยๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ เธอต้องอดทนเอาไว้ก่อน
เพราะได้รับบาดเจ็บมานานแล้ว นาราก็ดูแลเขาด้วยความเป็นห่วงมาโดยตลอด
เกรงว่าเขาจะไม่ทันระวังแล้วไปกระทบกับแผล ดังนั้นช่วงเวลาอันยาวนานมานี้ นาราก็ไม่อยากจะเขาใกล้เขามากเท่าไหร่ และคณพศก็หักห้ามตัวเองมาตลอด
วันนี้ก็ได้เห็นนาราอีกวัน ใบหน้านี้ดูเหมือนดอกพีชใกล้มือ
คณพศก็รู้สึกกระวนกระวายเลยไม่สนว่าแผลจะเป็นยังไงก็เลยดึงร่างน้อยๆ ของเธอมาสวมกอด แล้วเอาคางมาทาบหน้าผากของเธอ
แล้วก็พูดขึ้นเบาๆ : “แผลผมไม่เป็นไรแล้ว แต่มีอยู่ที่หนึ่งมาทนไม่ไหวแล้ว”
“ทนไม่ไหว?” พอได้ยินคณพศพูดแบบนี้ นาราก็คิดว่าคณพศจะเจ็บแผลอะไรจริงๆ
เลยรีบหาแล้วถามเขา : “คุณเจ็บตรงไหนเหรอ รีบบอกฉัน ไม่งั้นฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล…”
จริงแล้วคณพศทำไปเพื่อปกป้องเธอก็เลยมีแผลแบบนี้
ตอนนี้คณพศยังไม่สบายอีก แน่นอนว่าเธอจะต้องใส่ใจ
แค่นาราพูดขึ้นอย่างร้อนรนไม่ทันเสร็จ คณพศก็ได้ยื่นนิ้วมือยาวมาแตะริมฝีปากแดงเธอเอาไว้
เธอนิ่งไม่พูดอะไร แล้วจึงเอื้อมมือไปดึงมือเธอ แล้วจึงลากเธอขึ้นเข้าแตะตรงที่เขาเจ็บจบทนไม่ไหว
แต่ตอนที่นาราไปจับตรงนั้น ก็คิดอะไรไปไกลแล้ว
เธอกระโดดจากขาเขาด้วยความตกใจ แล้วหน้าก็แดงขึ้น แล้วพูดติดๆ ขัดๆ : “คุณ…คุณ….ไม่ซื่อสัตย์หนิ!”
เขาคนนี้ทำไมชอบทำแบบนี้กันนะ?
ทั้งทั้งที่ร่างกายของตัวเองยังเจ็บอยู่ เขายังจะทำแบบนี้อีก ในหัวของเขาคิดแต่เรื่องแบบนี้ทั้งวันหรือไง
“นารา ผมไม่สบายตรงนั้นแหละ” แค่นารายิ่งรู้สึกเขินอาย คณพศก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จำขำออกมา
หลังจากนั้นก็มองหน้าเธอ แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจังเป็นพิเศษ : “คุณเป็นเมียผม ผมคิดไม่ซื่อกับคุณก็เป็นเรื่องปกติ หรือความคุณอยากให้ผมคิดแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่น?
คณพศเขาเป็นผู้ชายที่ชอบแสดงความบริสุทธิ์
ส่วนผู้หญิงที่คอยเกาะแกะเขาเหรอ เขาไม่เคยจะชอบพวกเธอเลยซักนิด
มีเพียงภรรยาตัวน้อยที่น่ารักต่อหน้าเขาเท่านั้นที่ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้
“คุณ….” พอได้ยินที่คณพศพูด ตอนแรกนาราอยากจะพูดคัดเค้า แต่ทันใดนั้นก็เหมือนใบ้จนพูดไม่ได้
หลังจากทำให้งงงวยมานานเธอก็เขินและกล่าวคำอย่างจริงจังว่า “คุณไม่ต้องคิดแล้ว ตอนที่ร่างกายไม่ดีเท่าเมื่อก่อนก็จะไม่ยอมคุณง่ายๆ!”
พูดเสร็จแล้ว นาราก็ยังกลัวๆ ว่าคณพศจะคิดไม่ซื่อกับเธอจริง แล้วทำอะไรกันเธอ
ดังนั้นเธอก็เลยหยิบหนังสือแพทย์จีน แล้วรีบออกจากห้องหนังสือของคณพศเป็นเวลาสามสิบวิโดยไม่หยุดเดิน
เพราะนาราหอบจากการที่รีบออกจากห้องหนังสือของคณพศ
ดังนั้นทางคณพศเองจึงอดไม่ได้ที่จะทำงานอย่างจริงจังประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
เหตุผลหลักคือการประหยัดเวลาเพื่อจะได้แอบดูนาราอ่านหนังสืออย่างลับๆ ดังนั้นประสิทธิภาพในการทำงานจึงดีขึ้นตามธรรมชาติ
ถึงตอนที่คณพศเสร็จงานเอกสารทุกอย่าง ตอนกำลังลงจากตึกก็เห็นว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว
คนใช้ก็ได้จัดเตรียมสำรับอาหารมื้อเย็นไว้บนโต๊ะอาหารได้อย่างครบถ้วน แต่นาราที่อยู่ด้านนั้นก็นั่งรอเขาอย่างเชื่อฟัง
พอคิดถึงในห้องสมุดเมื่อตอนบ่ายหูหน้านาราก็ขึ้นอย่างน่ารักน่าเอ็นทันที
คณพศอดไม่ได้ที่แอบยิ้มออกมา แล้วก็นั่งบนโต๊ะอาหารทานข้าวพร้อมกับนารา
แต่นาราเห็นว่าคณพศยิ้มๆ ก็เลยไม่กล้าสนทนาด้วย กลัวว่าเขาจะเข้าเรื่องเมื่อตอนนั้นอีก ก็เลยทำเป็นก้มหน้าเคี้ยวข้าวอย่างเงียบๆ
เห็นชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า เธอสงสัยว่าชายหนุ่มปลอบ เพราะเมื่อก่อนชายคนนี้ช่างเย็นชาราวกับน้ำแข็ง จากที่ไม่เคยสนใจเธอเลยซักนิด จนวันนี้กลับทำเหมือนมีความสุข
เธอแหงนหน้าไป แล้วยังเห็นว่าเขายิ้มอยู่
ไอ้คนนี้ยิ้มอะไรของเขา? มีอะไรน่าขำมาหรือไง?
เธอไม่อยากจะสนใจเขา และก็ไม่อยากพูดกับเขาด้วย ในที่สุดนาราก็ทานข้าวเสร็จ
แล้วก็ได้วางช้อนส้อมลงพร้อมลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะกลับห้อง
แต่ว่าหลังจากที่เธอลุกขึ้นแล้วยังไม่ทันได้ก้าวถึงสองก้าว มือของเธอก็ถูกจับเอาไว้จนแน่นจนเดินไม่ได้
“คุณจะไปไหนเหรอ?” เห็นนาราร่างน้อยกำลังจะหนีแบบนี้ ชายที่นั่งรถเข็นอย่างคณพศก็ได้วางตะเกียบบนมือแล้วแหงนหน้ามองเธอ
ยัยคนนี้ทำมาแอบเขาทั้งบ่ายแล้ว แล้วตอนนี้ยังจะคิดหนีอีกเหรอ? มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ
นาราที่ไม่คิดว่าคณพศจะจับมือเธอเอาไว้ เพราะเธอยังไม่กล้าที่จะมองเขาใบรูปแบบนี้
ก็เลยตอบไปเบาๆ :“ก็แน่นอนว่ากลับห้องไง ฉัน…ฉันยังจะต้องอ่านหนังสือต่อ”
“คุณอ่านหนังสือมาทั้งตอนบ่ายแล้วน่า ไม่ให้อ่านแล้ว” พอได้ยินนาราพูด คณพศก็รีบพูดขัดเธอไปทันที
แล้วก็พูดต่อ :“ไปที่ห้องแล้วอาบน้ำเสร็จรอผม”
นี้ก็นานแล้วเขายังไม่ได้แตะต้องเธอเลย เขาคงจะอดใจไม่ไหวแล้ว
คำพูดคณพศมันโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว ทำให้นาราอายจนแทบจะมุดรูหนี
พอไปมองคนใช้ที่อยู่รอบๆ ที่ได้ยินที่คณพศ ต่างก็แอบยิ้มๆกัน เธอหน้าแดงแล้วพูดขึ้นอย่างหัวแข็ง : “ฉันไม่….”
พูดเสร็จแล้วนารายังจะกล้าสะบัดมือเธอออกจากคณพศ และก็เดินหนีไป
พอมาถึงประตูลิฟต์เธอก็ได้หันหลังไปมองคณพศแล้วพูดขึ้น :“วันนี้จะให้ลุงบีมดูแลคุณ ฉันจะนอนห้องพักแขก