The fake แต่งงานหลอกๆ แต่รักฉันของจริง - ตอนที่106 เขารังเกียจจนต้องอุดจมูก
บทที่106 เขารังเกียจจนต้องอุดจมูก
แต่เพราะตอนนั้นเขาอยากปกป้องพิมมี่ เขาไม่ได้พะว้าพะวังที่จะพูดจริงๆ วิ่งมาเป็นห่วงนารา
เขาเข้าใจผิดว่านาราที่ใจซื่อบริสุทธิ์ จะไม่ถือสา แต่ที่ไหนได้เรื่องนี้ เธอกลับฝังใจ
แค่ได้ยินบุรินทร์พูดแบบนี้ ดวงใจของนาราที่มีต่อตระกูลวรชัยลภัสนี้ ก็สูญสิ้น
มองไปที่บุรินทร์ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หนูไม่ต้องการให้พ่อมาชดใช้ พ่อคะ วันที่หนูแต่งงานที่เกาะฟ้าแทนพิมมี่วันนั้น หนูเคยบอกไปแล้วว่าบุญคุณของหนูนั้นหมดสิ้น ที่ยังเรียกพ่อว่าพ่ออยู่ตอนนี้ เป็นเพียงเพราะพ่อเคยให้ที่อยู่อาศัยกับหนู หนูหวังแค่ว่าครอบครัวคุณสามคน จะไม่มายุ่งกับชีวิตของหนูอีก ”
พูดจบ นาราก็ไม่มีประโยคไหนที่อยากพูดกับบุรินทร์อีก หันหลังแล้วเตรียมที่จะเดินจากไป
แค่เห็นเรื่องราวยังไม่ทันได้พูดให้ชัดเจน นาราก็จะไปซะแล้ว บุรินทร์ก็ยิ่งรีบ
เด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ฟังคำพูดเขาอย่างเดิมอีกต่อไป เขาส่ายหน้ายิ้มเจื่อน
บุรินทร์ยังกลัวว่าพิมมี่จะถูกคณพศทำร้ายเข้าอีกครั้งจริงๆ รีบเงยหน้าเรียกนารา “นารา ต่อให้พ่อขอร้องลูกก็ไม่ได้เลยเหรอ?ลูกช่วยพี่ลูกครั้งเดียว หลังจากนี้พ่อจะไม่มาขอร้องลูกอีกเลย ”
ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ยอมให้พิมมี่ เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้จริงๆ พิมมี่ เป็นลูกสาวแท้ๆของเขา เขาทนดูเธอตายไปได้จริงๆ
“แล้วไง?เพื่อช่วยพิมมี่ นี่ขนาดฟางเส้นสุดท้ายของความรักพ่อกับลูก พ่อก็งัดออกมาใช้แล้วเหรอ?”หันหลังใส่บุรินทร์ นาราที่น้ำตาเอ่อมาอยู่ที่เบ้าตา กัดฟันแล้วพูดประโยคนี้ออกมา รู้อยู่แล้วว่าเขายังไม่พูดถึงเรื่องที่พิมมี่ให้คนมาลักพาตัวเธอไปในครั้งนั้น เธอผิดหวัง!
เธอไม่ยอม เพราะเรื่องแบบนี้ ใจเธอแตกสลายกับพ่อที่เธอรักมากที่สุด
แต่ในเรื่องราวเดียวกัน คิดว่าเขาที่ทำกับพิมมี่ ช่างแตกต่างกับที่ทำกับตัวเองมากนัก
นารารู้สึกว่าหัวใจตัวเอง เหมือนถูกมีดคมๆคว้านอยู่อย่างโหดร้าย เจ็บจนหายใจไม่ออก
ทำไมผู้หญิงเหมืองกัน พิมมี่ ไม่ได้มีแค่เขมินท์แม่คนนี้ที่เป็นห่วง ยังมีพ่อเขาคนนี้ ปกป้องอย่างหวงแหน
แล้วนาราอย่างเธอล่ะ?เป็นลูกสาวของบุรินทร์เหมือนกัน ทำไมเขาถึงไม่ถามไถ่ถึงแม้แต่คำเดียว
แต่บุรินทร์กับเธอที่สายเลือดเข้มราวกับน้ำ ลำเอียงขนาดนี้ เพราะอะไรอีกกัน?
“ลูก……”นึกไม่ถึงเลยว่าที่ลูกสาวที่เคยว่านอนสอนง่ายคนนี้ วันนี้จะพูดประโยคแบบนี้ออกมา
บุรินทร์มองดูแผ่นหลังเล็กๆของเธอ เขาเอง็น้ำตาเอ่อเหมือนกัน แดงอย่างกลั้นไม่อยู่
หลังจากชั่งน้ำหนัก เขายังคงมองที่นารา นานสักพัก แล้วพูดอีกครั้ง “ถ้าลูกยังคงยึดมั่นแบบนี้ งั้นพ่อก็หมดหนทาง ”
เขาเลี้ยงนารามาสิบกว่าปี ไม่เคยติดที่จะหวังอะไรตอบแทน
ตอนนี้เห็นว่านาราถูกครอบครัวของเขา เจอกับสถานการณ์ระดับนี้ในตอนนี้ เขาก็ไม่กล้าต้องการอะไรตอบแทนแล้ว
ท้ายที่สุดเขาก็เลือกแล้ว ระหว่างลูกสาวสองคน คนที่เขาเลือกคือพิมมี่
ได้ยินบุรินทร์แบบนี้ น้ำตาของนารา ก็กลั้นให้มันไหลลงมาไม่อยู่
หลังจากนั้นก็กลั้นเสียง พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเอง แล้วพูด“พ่อไปเถอะค่ะ หนูจะบอกคณพศไม่ให้ทำอะไรพิมมี่ ส่วนเขาจะฟังหรือไม่ฟังหนู หนูไม่รู้นะคะ ”
พูดจบ นาราก็ไม่ยืนอยู่ตรงที่บุรินทร์อีกแม้แต่เสี่ยววินาที
แต่กลับรีบวิ่งขึ้นไปด้านบน
หลังกลับถึงห้องตัวเอง นาราก็โทรหาคณพศ ได้ยินคณพศพูดเองกับหู ว่าพิมมี่ได้ออกจากบริษัทตระกูลปัญญาพนต์ไปแล้วโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
เธอถึงได้วางสายลง แล้วฟุบลงบนเตียง ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
ที่แท้ความสงสารและรู้สึกผิดของบุรินทร์ ล้วนเป็นเรื่องโกหก เขาเหมือนเขมินท์ไม่มีผิด รักพิมมี่ที่สุด
ในสายตาตระกูลวรชัยลภัสของพวกเขาทั้งหมด นาราอย่างเธอเป็นเพียงหมาก เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
คณพศที่อยู่บริษัท รับสายของนารา ฟังออกถึงเสียงที่ผิดปกติ จึงไม่มีกะจิตกะใจที่ทำงานทันที
มอบหมายงานให้เสกข์ไปสองสามเรื่อง หลังจากนั้นก็เตรียมตัวออกจากบริษัทตระกูลปัญญาพนต์ กลับไปที่เจหงส์
เพียงแค่คณพศถูกผู้ช่วยของเขาเข็นวีลแชร์ เพิ่งออกจากลิฟท์ ยังไม่ทันได้ไปถึงห้องโถงใหญ่
เพิ่งจะจัดการพิมมี่ไป วิษณุส์ที่อารมณ์ดีจัด ก็เดินเข้ามา
เดินตรงมาขวางทางหน้าคณพศ หลังจากนั้นก็ยิ้มเย็นชาแล้วพูด “หึหึหึ……น้องสาม ทำไมถึงได้ดูหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยดีเหรอ?”
คณพศคนพิการคนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ดวงแข็งขนาดนี้
เขาคิดหาหลายวิธี แต่ก็ทำให้เจ้าพิการนี่ตายไม่ได้สักทาง วิษณุส์กลุ้มใจจริง
แต่อนาคตยังอีกไกล เขาไม่อยากจะเชื่อ ว่าคณพศจะหลบได้แค่ครั้งสองครั้ง เขารอดมาได้หลายครั้งหลายครา
ยังไงซะท่านกษาปณ์ก็แก่แล้ว เขาปกป้องเจ้าพิการนี่ได้ไม่นานหรอก
ต้องมีสักวันที่ตำแหน่งประธานบริษัทตระกูลปัญญาพนต์กรุ๊ป จะเป็นของวิษณุส์อย่างเขา
รวมถึงคณพศหน้าโง่คนนี้ด้วย บริษัทที่ก่อตั้งอยู่ต่างประเทศ ก็เป็นของวิษณุส์เหมือนกัน
สักวันเขาจะทำให้เจ้าพิการคนนี้ สิ้นลายหมดเนื้อหมดตัว ไสหัวไปกินข้าวข้างถนน!
“หึหึ!”แค่มองไปที่ท่าทางยั่วยุของวิษณุส์ คณพศทำเพียงแค่ยิ้มอย่างเย็นชา
แล้วพูด “แย่งจากความสุขของพี่สอง คณพศคนนี้มีความสุขดี ”
พูดถึงแค่ตรงนี้ คณพศก็หันหน้ากลับอีกครั้ง พูดกับเสกข์ “ใช่แล้ว มีคุยเรื่องเช็คที่ตะวันออกกลางไม่ใช่เหรอ ดูแล้วผู้จัดการน่าจะว่างมากนะ จัดงานเรื่องนี้ให้เขาหน่อยนะ ”
ช่วงนี้ที่ตะวันออกกลางวุ่นวายมาก เกิดเหตุยิงกันบ่อย คนควบคุมทุกคนในบริษัท ต่างก็ไม่มีใครอยากไปที่ตะวันออกกลางนั่น
ตอนนี้กลับจักเรื่องให้วิษณุส์เป็นคนไป เจตนาชัดเจน
เพียงได้ยินคำพูดของคณพศ วิษณุส์ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากใดๆ เสกข์ยืนอยู่ที่ข้างคณพศ ก็พยักหน้าด้วยความเคารพ แล้วพูด “ครับประธาน เรื่องนี้ผมจะรีบจัดการ ”
ตอนนี้ทุกตำแหน่งบนล่างที่บริษัทตระกูลปัญญาพนต์กรุ๊ป ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับคณพศเป็นสิทธิ์ขาด
ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ล้วนแต่เป็นคำขาด
“งั้นก็ดี ครั้งนี้ครั้งเดียวจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย หลีกเลี่ยงการส่งคนไปรอบหน้า ให้คนงานเสี่ยงอันตราย ไม่ดี ”
คณพศยื่นงานให้อย่างเย็นชา
มอบหมายงานเสร็จ เขาก็ไม่พูดอะไรอีกมากมาย เพียงแต่พูดว่า “ไปเถอะ ตรงนี้มีของกลิ่นไม่พึงประสงค์ ฉันหายใจแทบไม่ออกแล้ว ”เขาเหม็นจนต้องอุดจมูก
วิษณุส์ไม่คิดมาก่อนคณพศจะกล้าวางมาดประธานต่อหน้าเขาชัดเจนขนาดนี้ แถมยังเห็นเขาเป็นของสกปรก!
ดังนั้นเขาที่ได้ยินประโยคนี้จากอกฝั่ง ก็โกรธเป็นไฟ กำกำปั้นแน่น
ยืนตะโกนเสียงดังใส่คณพศ “คณพศไอ้คนพิการถือดียังไง?ถ้าแกไม่มีคุณปู่ที่เห็นแล้วสงสารคนพิการแบบแก แกจะมีวันนี้ไหม?