The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 100 ภาพลักษณ์พังยับ
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 100 ภาพลักษณ์พังยับ
“ลิ่วหยวน ดูซิฉันเอาอะไรมาให้” เสียงของหวังฟู่กุ้ยดังมาก่อนจะโผล่เข้ามาในโรงเรียนเสียอีก
เหยียนลิ่วหยวนลืมตาใต้ผ้าห่ม ไม่ยอมลุกออกจากเตียง
เสี่ยวอวี้ที่พับผ้าอยู่กล่าว “ได้เวลาตื่นแล้วลิ่วหยวน”
“ไม่เอา! ขอนอนต่ออีกหน่อยนะ!” เหยียนลิ่วหยวนบ่นออด
เสี่ยวอวี้หัวเราะ แล้วว่า “ถ้าเธอตื่นก่อนเวลาสิบห้านาทีทุกวัน เธอก็จะมีเวลาเพิ่มเก้าสิบชั่วโมงต่อหนึ่งปี ทีตอนนั้นอยากทำอะไรก็ทำ คิดดูสิ เธอชอบทำอะไรมากสุด”
เหยียนลิ่วหยวนคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพูดอย่างไม่แน่ใจ “ผมชอบนอนสุดแล้ว…”
“ลุกได้แล้ว!” เสี่ยวอวี้ขมวดคิ้ว “เธอนี่มันกวนโอ๊ยยิ่งกว่าพี่เธออีกนะ!” เสี่ยวอวี้กระชากผ้าห่มเหยียนลิ่วหยวนออก อากาศอันอบอุ่นภายในนั้นหายวับ แต่เหยียนลิ่วหยวนก็ยังไม่ยอมลุกออกจากเตียงอยู่ดี
นี่เข้าหน้าหนาวแล้ว และหน้าหนาวในยุคสมัยนี้นั้นเย็นสุดชั้ว เท่าที่เหยียนลิ่วหยวนจำได้ ฤดูหนาวของทุกปีต้องมีคนหนาวตายบนถนนหรือในกระท่อมตัวเองเสมอ
กระท่อมทำจากแค่พวกโครงเหล็กและกิ่งไม้ กำแพงสี่ด้านก็แค่นำเศษผ้ามาคลุม เป็นที่อยู่ที่กันลมไม่ได้เลย
หลายปีมานี้ เขากับเริ่นเสี่ยวซู่ต้องทนหนาวสั่นอยู่ในกระท่อมตลอด เริ่นเสี่ยวซู่จะใช้ชุดฤดูร้อนและฤดูหนาวทั้งหมดมาคลุมตัวเหยียนลิ่วหยวนไว้ แต่กระนั้นก็ยังหนาวมากอยู่ดี
แต่คิดถึงเวลานั้นทีไร เหยียนลิ่วหยวนก็รู้สึกมีความสุขตลอด
เขายังจำคำที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดตอนนั้นได้ ‘การมีความสุขของมนุษย์เรามิได้ก่อตัวจากความเพลิดเพลินใจ แต่เกิดจากความทุกข์ที่เคยผ่านพ้น เมื่อได้รับความขมขื่นยากทานทน และได้มาลิ้มรสความหวานหอม นายก็จะอยากมีชีวิตต่อไปเพื่อความหอมหวานนั้น รสชาติอันหอมหวานนี้สำหรับผู้อื่นอาจจะไม่เท่าไร แต่ก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นแล้ว’
บางครั้งเหยียนลิ่วหยวนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ได้ไปเกิดในป้อมปราการ เขาอาจจะได้กลายเป็นนักปรัชญาที่คุณจางเคยอธิบายให้ฟังในชั้นเรียน
หวังฟู่กุ้ยเดินเข้ามาพร้อมมันหวานในมือสองหัว เขากล่าวทักทาย “เสี่ยวอวี้ ฉันเอามันมาให้พวกเธอคนละหัว กินตอนที่ยังร้อนๆ อยู่สิ”
“ลุงฟู่กุ้ย” เหยียนลิ่วหยวนรับมันหวานจากเขามาแล้วถาม “ทำไมลุงชอบมันหวานขนาดนี้ล่ะ เห็นเผาอยู่ได้ทุกวี่วัน”
หวังฟู่กุ้ยยิ้มกว้าง “สมัยเด็กฉันอยู่ในเมืองนอกป้อมปราการ 107 แล้วตอนนั้นมันเกิดทุพภิกขภัยขึ้นน่ะ ฉันกับพ่อเลยหนีมาขอความช่วยเหลือจากญาติที่นี่ สมัยนู้นโลกข้างนอกไม่ได้อันตรายมากนัก มีครั้งหนึ่งตอนที่อยู่ในแดนรกร้าง พวกเราขุดมันหวานขึ้นมาได้สองหัว พ่อฉันเลยเผามันให้กิน ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันหวานเป็นอะไรที่อร่อยที่สุดในโลกแล้ว”
ตั้งแต่หวังฟู่กุ้ยวิ่งมาที่โรงเรียนทั้งที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดีตอนเที่ยงคืน แล้วพยายามติดสินบนหวังฉงหยางที่มาเรื่องการยิงปืน เหยียนลิ่วหยวนก็มองหวังฟู่กุ้ยต่างไปจากเดิม
หวังฟู่กุ้ยก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ในใจจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เขาชอบสองพี่น้องจริงๆ เทียบกับหวังต้าหลงลูกชายโง่ๆ ของตัวเองแล้ว สองพี่น้องนี้ดีกว่ามาก ได้เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ปกป้องเหยียนลิ่วหยวนดิ้นรนเอาชีวิตให้รอดมาหลายปี ใจเขาทราบดีว่าชีวิตสองพี่น้องนี้ไม่ง่ายเลย
หวังฟู่กุ้ยมองดูหลีเสี่ยวอวี้และเหยียนลิ่วหยวนกินมันหวาน ทันใดนั้นเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ และถอนหายใจ “คุณจางไม่อยู่แล้ว แบบนี้ในเมืองก็ไม่มีอาจารย์สอนแล้วสิ”
เหยียนลิ่วหยวนว่าอย่างไม่ยี่หระ “แย่ตรงไหนกันล่ะลุง เดี๋ยวพอพี่ผมกลับมา เขาก็ขึ้นมาเป็นอาจารย์แทนแล้วไง”
จางจิ่งหลินถูกหลัวหลานส่งออกไปราวเป็นเผือกร้อน วันที่เขาถูกส่งออกไปนั้น เป็นวันที่เมืองคึกคักครึกโครมที่สุดที่เหล่าผู้อพยพในเมืองเคยเจอเลย
มีรถบรรทุกทหารและรถออฟโรดไม่น้อยขับมาจอดนอกประตูโรงเรียน จากนั้นคนใหญ่คนโตแห่งป้อมปราการนามหลัวหลานลงมาโค้งตัวนอบน้อมใส่จางจิ่งหลิน
ผู้อพยพในเมืองคิดไม่ถึงเลยว่าคุณจางในเมืองพวกเขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถ้ารู้นะ พวกเขาคงไม่เสียดายเงินค่าเรียน และส่งลูกหลานให้ไปเรียนโรงเรียนแล้ว
ถ้าเกิดสร้างสายสัมพันธ์ได้หน่อยจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้
คิดได้แบบนี้ ผู้อพยพหลายคนก็คิดจะส่งลูกไปที่โรงเรียน ความคิดพวกเขาเรียบง่ายมาก ที่ให้ลูกหลานไปเรียน ไม่ใช่เพื่อหาความรู้แต่หาสายสัมพันธ์
แต่ก่อนที่จะได้เพ้อฝันไปมากกว่านั้น หลัวหลานก็ส่งจางจิ่งออกไปวันนั้นเลย
เหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้ที่ยังอยู่ในโรงเรียนต่อ ถูกทุกคนเมินไปเสียฉิบ หลังจากจางจิ่งหลินจากไปแล้ว หวังฉงหยางก็ไม่ได้มาระรานสร้างปัญหาอะไรให้พวกเขาต่อ
ถึงอย่างนั้นก็มีคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเริ่มโผล่มาอยู่หน้าโรงเรียนอยู่เรื่อยๆ ต่างคนต่างเร่ขายผักขายผลไม้ หวังฟู่กุ้ยคุ้นหน้าบางคน และจำได้ว่าปกติพวกนั้นจะทำงานอยู่ที่โรงงาน ทว่าพวกเขาทำเป็นไม่รู้จักกัน
หวังฟู่กุ้ยได้ตระหนักว่าอำนาจควบคุมที่ป้อมปราการมีต่อในเมืองนั้นไม่ธรรมดาอย่างที่เขาเคยคิดไว้เลย มีผู้อพยพไม่น้อยถูกซื้อตัวให้กลายเห็นคนหูเป็นตาแทนพวกคนในป้อมปราการไปแล้ว
ในเวลาปกติ คนพวกนี้ก็เป็นเพียงผู้อพยพธรรมดา แต่ถ้าเกิดว่ามีผู้อพยพบางคนคิดจะก่อกบฏหรือคิดจะเริ่มประท้วงละก็ พวกเขาก็คงจะรีบวิ่งแจ้นไปแจ้งคนในป้อมปราการให้มาจับพวกที่คิดสร้างปัญหาทันที
ถึงว่าทำไมการประท้วงสองรอบก่อนหน้านี้ถึงถูกกองกำลังส่วนตัวจากป้อมปราการปราบได้ไวนัก เพราะมีคนเป็นหูเป็นตาอยู่ที่นี่นั่นเอง
หวังฟู่กุ้ยจำหน้าพวกเขาไว้ และจำใส่ใจว่าต้องไม่ไปหาเรื่องหรือพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปให้พวกเขาฟังเด็ดขาด
นอกจากจะมีผู้อพยพคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูแล้ว ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ดูเข้มแข็งดุร้ายกว่าทหารกองกำลังส่วนตัวแห่งป้อมปราการเสียอีก หวังฟู่กุ้ยเดาได้ทันทีว่าพวกเขามาจากสมาคมตระกูลชิ่งแน่นอน
พูดถึงเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว หวังฟู่กุ้ยก็ขมวดคิ้วมุ่น “มีคนที่ทำงานแถวโรงงานใกล้เขาจิ้งซานเพิ่งกลับมา เขาบอกว่าที่นั่นมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และภูเขาไฟก็ระเบิดออกมาด้วย ตอนนี้ท้องฟ้าเหนือเขาจิ้งซานถูกปกคลุมด้วยเมฆดำ”
แต่เหยียนลิ่วหยวนยังสบายอกสบายใจอยู่มาก “พี่ผมไม่เป็นอะไรหรอก”
เป็นเพราะเขาอธิษฐานด้วยชีวิตตัวเองไปแล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่ต้องกลับมาแบบปลอดภัย
ในเมื่อเขายังไม่ตาย แสดงว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่ตายเช่นกัน
ถ้าเขาบอกหวังฟู่กุ้ยกับเสี่ยวอวี้เรื่องนี้ พวกเขาก็คงไม่เชื่อตนอยู่ดี ดังนั้นเหยียนลิ่วหยวนยิ่งไม่เผยความลับออกไป
หวังฟู่กุ้ยคิดพักหนึ่ง ก่อนจะพูด “ก็จริง เจ้าเด็กเริ่นเสี่ยวซู่คงอยู่สร้างความฉิบหายให้คนได้เป็นพันปีแหง”
ตอนนั้นเองหลังคอของหวังฟู่กุ้ยก็ขนลุกซู่ หวังฟู่กุ้ยพยายามระงับสติอารมณ์และปัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างอย่างเร็ว จากนั้นก็กระซิบใส่เหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้ว่า “พวกเธอสองคนต้องระมัดระวังให้มากนะ ถ้าอยากจะออกจากเมืองก็มาบอกฉัน ฉันจะช่วยหาวิธี ฉันคิดว่าพวกคนข้างนอกนั่นไม่น่ามาเพื่อดูพวกเธอหรอก พวกเขาน่าจะเล็งเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ต่างหาก”
หวังฟู่กุ้ยเป็นคนฉลาด เขาคิดเรื่องนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนอนุมานได้ใจความว่าพวกคนที่อยู่หน้าประตูโรงเรียนนั่นคิดเป็นดั่งตาข่ายที่รอมีคนเข้ามาติด
จางจิ่งหลินก็ไปแล้ว คนผู้นั้นจะเป็นใครอื่นไปได้อีกนอกจากเริ่นเสี่ยวซู่
“พวกเขาคิดจะจับเริ่นเสี่ยวซู่เหรอ ทำไมล่ะ” เสี่ยวอวี้เกือบจะร้องออกมา
หวังฟู่กุ้ยคิดพักใหญ่ก่อนจะตอบ “อาจจะเป็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่สร้างปัญหาให้พวกคนของป้อมปราการตอนอยู่เขาจิ้งซานหรือเปล่า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ!”
ทว่าความเป็นจริงนั้นเหนือกว่าที่หวังฟู่กุ้ยคิดไว้มาก ไม่เพียงแต่เริ่นเสี่ยวซู่สร้างปัญหาให้คนในคณะดนตรี แม้แต่สมาคมตระกูลชิ่งก็สร้างปัญหาทิ้งไว้ด้วย…
ตอนนี้ชิ่งเจิ่นกำลังยืนอยู่เหนือไหล่เขาแห่งหนึ่งด้วยใบหน้าจนปัญญา “พวกเราแม่*ต้องเดินอีกไกลแค่ไหนถึงจะถึงป้อมปราการ 112 เนี่ย!”
สู่หมานถอนหายใจแล้วว่า “เจ้านาย ท่านเริ่มสบถแล้วนะครับ…”
ชิ่งเจิ่นมุ่ยหน้าพูด “ภาพลักษณ์ที่ฉันสร้างมาพังยับหมดแล้ว!”