The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 270 ชิ่งเจิ่นหลอกฉัน!
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 270 ชิ่งเจิ่นหลอกฉัน!
เวลาศัตรูโจมตีมา พวกเขาต้องคิดจนหัวหมุนว่าทำอย่างไรถึงจะตีฐานของศัตรูแตก ต่อให้มีอาวุธหนัก ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจะเริ่มเข้าตีตรงไหน ต่อให้อยากโถมโจมตีแบบเต็มรูปแบบแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้อยู่ดี
ในสถานการณ์ทั่วไป ผู้บัญชาการที่โหดร้ายหน่อยก็จะส่งตัวรับกระสุนออกมาจนเข้าใจสภาพการณ์จริง ต้องเสียไปหลายพันชีวิตกว่าจะรู้ว่าศัตรูตั้งอาวุธหนักไว้ยังพื้นที่ตั้งรับไหน
แต่ดูเหมือนว่าสมาคมตระกูลชิ่งจะรู้เรื่องนั้นตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาถึงกับรู้ว่าเครื่องป้องกันทางอากาศระยะใกล้ตั้งอยู่ที่ไหนในที่มั่น 313 เครื่องป้องกันทางอากาศระยะใกล้นั้นราคาสูงมาก และต้องตั้งไว้ในจุดยุทธศาสตร์กันการโดนปืนใหญ่ศัตรูยิงถล่ม
ทว่าทันทีที่ชิ่งเจิ่นเริ่มโจมตี ก็สั่งให้ปืนครกยิงใส่จุดยุทธศาสตร์ราวกับไม่มีราคา เกิดการหนึ่งแลกหนึ่งด้วยเอาปืนครกถูกๆ มาแลกเครื่องป้องกันทางอากาศระยะใกล้แพงๆ
ถ้าพวกหมาข่ายรู้ว่าแผนที่จุดตั้งรับของตนหลุดออกไป พวกเขาคงใช้เครื่องป้องกันทางอากาศระยะใกล้แบบรั้งๆ กว่านี้ ประเด็นคือพวกเขาไม่รู้น่ะสิ!
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่เรียกว่าผู้บัญชาการกองพันวีรบุรุษจะเป็นสายลับคนสำคัญของสมาคมตระกูลชิ่งน่ะ เขาถึงกับเอาแผนที่จุดตั้งรับออกไปง่ายๆ เช่นนั้นเลย
แค่การถล่มยิงปืนครกรอบเดียว ก็แทบทำลายเครื่องป้องกันทางอากาศระยะใกล้ของที่มั่น 313 จนหมดสิ้น
การเคลื่อนไหวของชิ่งเจิ่นครั้งนี้ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม
แผนที่จุดตั้งรับมันสำคัญเกินไป ตอนแรกชิ่งเจิ่นตั้งใจจะตีแนวป้องกัน ณ ที่มั่น 319 ให้แตก แต่พอมีแผนที่จุดตั้งรับแล้ว ก็รีบเปลี่ยนกลยุทธ์ทันที
ถ้าชิ่งเจิ่นไม่มีแผนที่จุดตั้งรับ กระสุนปืนครกส่วนใหญ่คงต้องเสียเปล่าแล้ว แต่พอมี เขาก็สามารถโจมตีอย่างแม่นยำได้ง่ายขึ้น บีบให้เครื่องป้องกันทางอากาศระยะใกล้ต้องทำงานเต็มกำลัง
ถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ของสมาคมตระกูลหลี่จะพัฒนาอย่างดี บุคคลมากพรสวรรค์ก็มีไม่น้อย แต่พวกเขาไม่ได้ต่อสู้ในศึกใหญ่มาหลายปีแล้ว ต่อให้เป็นคนมากความสามารถที่เข้าใจการศึกสงครามเป็นอย่างดีอย่างหมาข่ายก็ไม่ต่างไปจากมือใหม่
ไม่ว่าคนผู้หนึ่งจะมีความรู้ทางทฤษฎีมากแค่ไหน จะเอาความรู้มาใช้จริงและได้เรียนรู้บทเรียนล้ำค่าก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ดี
โชคร้ายที่พวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับชิ่งเจิ่นที่ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาเติบโตได้
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่นำกองพันวีรบุรุษมาเข้าตำแหน่งหลังเนินเขา รอบๆ มีบังเกอร์กับป้อมป้องกัน เบื้องหน้าเป็นเนินลาดลงสี่สิบสามองศา
เริ่นเสี่ยวซู่นอนราบกับป้อมและก้มมองลงไป ทหารกองพันวีรบุรุษตัวสั่นจับปืน
ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังสนั่นมาแต่ไกล หลี่ชิงเจิ้นก็ถามเสียงสั่น “ผู้บัญชาการกองพัน สมาคมตระกูลชิ่งจะถล่มยิงปืนครกใส่เราหรือเปล่า พวกเราต้านไม่ไหวหรอกนะ!”
“จะกลัวอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “พวกเขายังไม่ยิงถล่มเราเสียหน่อย!”
ตอนนั้นก็เห็นทหารคืบใกล้มาถึงตีนเขาที่พวกเขาประจำการณ์อยู่ลางๆ เริ่นเสี่ยวซู่มองคร่าวๆ แล้วน่าจะมีเกินพันนาย เป็นทหารราบกรม[1]หนึ่ง!
“พวกเราจะสู้ไหม” หลี่ชิงเจิ้งถาม
“สู้สิ ชัยภูมิเราได้เปรียบจะไม่สู้ได้ยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “รอพวกเขาเข้ามาใกล้กว่านี้หน่อย!”
“ถ้าเข้ามาใกล้กว่านี้พวกเขาจะโยนระเบิดใส่เราได้นะ” หลี่ชิงเจิ้งพูดอย่างวิตก
“ไม่ต้องตื่นตระหนก ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของฉัน” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง
พอกรมทหารราบของสมาคมตระกูลชิ่งขึ้นมาได้ครึ่งเขา เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตะโกน “ยิง!”
ปืนกลหนักหลังบังเกอร์สาดกระสุนออก ปลอกกระสุนเด้งออกไปยังข้างเขา ทำเอาพื้นโคลนสาดกระเซ็น ทหารนายหนึ่งถูกกระสุนยิงใส่ ทำให้แขนหักไปในทันที
ถึงทหารของสมาคมตระกูลชิ่งอยากเร่งรีบรุดหน้าขึ้นมาขนาดไหนก็ไม่อาจทำได้ เขาพยายามยิงใส่จุดที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ แต่ข้อได้เปรียบของการมีป้อมป้องกันนั้นสูงเกินไป
วิธีการจะทำลายพื้นที่สูงแบบนี้ในสงครามยุคปัจจุบัน วิธีทั่วไปคือให้ทหารรุดหน้าขึ้นไปจนถึงระยะหนึ่ง แล้วก็ใช้เลเซอร์นำวิถีนำกระสุนปืนใหญ่ยิงใส่
กระสุนนำวิถีใช้ระบุพิกัดศัตรู เพื่อให้กองกำลังสนับสนุนในแนวหลังสามารถยิงขีปนาวุธออกมาอย่างแม่นยำ
พวกเขาทุ่มสุดตัวพุ่งขึ้นเขา ทหารนายหนึ่งถือเครื่องนำวิถีแน่น ทว่าแม้จะชี้ไปที่บังเกอร์อยู่นานก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้บัญชาการกรมสิ้นหวัง “ชิ่งเจิ่นขุดหลุมดักเราแล้ว!”
ที่จริงเขาก็รู้ดีว่าชิ่งเจิ่นพยายามกำจัดตนให้ไวที่สุด อย่างไรเขาก็เป็นคนในค่ายของชิ่งอวิ่น ทั้งไม่ได้ร่วมมือตามแผนการของชิ่งเจิ่นด้วย
แต่เขาไม่คิดเลยว่าชิ่งเจิ่นจะต่ำช้าขนาดนี้ กล้าเสี่ยงขุดหลุมพรางเขาโดยไม่กลัวจะมีผลกระทบต่อสงครามเลยเหรอ ถ้าพวกเขาไม่สามารถยึดที่มั่นตั้งรับนี้ได้ แล้วมันส่งผลกระต่อภาพรวมจะทำอย่างไร
แต่เขาไม่รู้หรอกว่าชิ่งเจิ่นไม่คิดจะยึดที่มั่นตั้งรับนี้เลย เขามีข้อตกลงกับเริ่นเสี่ยวซู่อยู่แล้ว!
“ผู้บัญชาการกรม เอายังไงต่อดีครับ” ทหารตะโกนท่ามกลางห่ากระสุนจากบนเขา
“ใช้เครื่องยิงจรวด” ผู้บัญชาการกรมคำราม
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ทหารที่เป็นผู้แบกเครื่องยิงจรวดถูกระเบิดกระจาย จรวดยังไม่ทันยิงออกก็ระเบิดคาที่!
“ผู้บัญชาการกรม พวกเราเอายังไงดีครับ!”
“โถมขึ้นไป!” ผู้บังคับกองพันกัดฟันกรอดแล้วว่า “พุ่งขึ้นไปได้แล้วก็ขว้างระเบิดใส่ให้ที่มั่นนี้กระจุย! มีแค่ทางนี้พวกเราถึงจะรอด พวกเขาไม่น่ามีทหารคุ้มกันที่มั่นมากนัก พวกเรายังพอมีหวังอยู่!”
วิธีการโง่งมสำหรับการทำลายพื้นที่สูงคือการขว้างระเบิดมือเข้าไป หลังจากทหารที่จู่โจ่มเข้าไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็จะขว้างระเบิดทำลายที่มั่นตั้งรับให้กระจุย ถ้าทำสำเร็จ ทหารในที่มั่นตั้งรับก็จะไม่เหลือซาก
ในอดีตพลระเบิดมือมีบทบาทสำคัญมากในกองทัพ ใครที่ขว้างปาระเบิดมือได้แม่นยำมากกว่า ผู้นั้นก็จะมีชีวิตรอดไปเสวยสุข
แน่นอนว่าวิธีการนี้ค่อยๆ เลือนรางหายไปพร้อมกับอาวุธปืนที่พัฒนาขึ้น นอกจากจะเป็นสถานการณ์ปิดตายแล้ว ไม่มีใครใช้วิธีนี้อีก
พวกเขาได้รับเครื่องยิงจรวดใช้การไม่ได้มาแล้วหนึ่ง ขึ้นเขามาครึ่งทางก็ตระหนักว่าไม่มีการยิงสนับสนุน
นี่ทำให้ผู้บัญชาการกรมสิ้นหวังนัก ชิ่งเจิ่นบีบบังคับจนเขาต้องใช้วิธีโบราณนี้
หลังจากพลระเบิดมือผู้กล้าหาญในกองทหารขึ้นหน้าไปได้ พอถึงระยะก็จัดการขว้างปาระเบิดมือไป!
ทุกคนที่อยู่กลางภูเขาตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย ดูเหมือนว่าทหารซึ่งคุ้มกันที่มั่นนี้จะไม่ค่อยมีประสบการณ์นัก ถึงปล่อยให้พวกเขาสามารถเข้าใกล้จนขว้างระเบิดได้!
ทว่ารอไปพักหนึ่ง ระเบิดมือที่ขว้างไปก็ระเบิดออก ทว่าเสียงระเบิดดูเบามาก
ผู้บัญชาการกรมเป็นคนฉลาด พอได้ยินเสียงระเบิดนั้นก็เดือดจัด “ชิ่งเจิ่น ไอ้คนต่ำช้า มากเกินไปแล้วนะ เอาระเบิดมือฝึกฝนมาให้เราได้ยังไง!”
ถึงระเบิดมือฝึกฝนจะไม่ใช่ระเบิดมือของเล่น แต่พลังทำลายล้างนั้นแทบไม่มี มีแต่เสียงระเบิดเท่านั้น ฆ่าใครไม่ได้หรอก
แถมยังดูเหมือนระเบิดมือของจริงเป๊ะอีก...
ผู้บัญชาการกรมแทบน้ำตาไหลพรากแล้ว นอกจากจะได้รู้ว่าชิ่งเจิ่นไร้ยางอายแล้ว เขายังไม่ปล่อยทางรอดไว้ให้พวกตนด้วย!
เริ่นเสี่ยวซู่ยิงลงมาจากบนเนินเขา เขาคิดใช้โอกาสนี้เป็นการฝึกฝนทักษะการยิงปืนขึ้นสูงของตัวเอง เขาใช้ปืนไรเฟิลอัตโนมัติในมือต่างปืนสไนเปอร์ หนึ่งนัดหนึ่งชีวิต แม่นยำถึงเพียงนั้น!
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับหลี่ชิงเจิ้น “เห็นไหม ยังไงพวกเราก็เป็นกองพันวีรบุรุษ ทหารศัตรูจากสมาคมตระกูลชิ่งไม่เท่าไรเลย”
หลี่ชิงเจิ้งเชื่อทันที เพราะเขารับมือศัตรูอย่างสบายใจจริงๆ
ฉับพลันทันใด ทหารคนอื่นๆ ของกองพันวีรบุรุษก็พบว่าสงครามไม่ได้น่ากลัวอะไรนัก
[1] กรม ใหญ่กว่ากองพันแต่เล็กกว่ากองพล