The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 271 กองพันวีรบุรุษผู้กู้ชีพ!
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 271 กองพันวีรบุรุษผู้กู้ชีพ!
กระสุนของพวกเริ่นเสี่ยวซู่หมดลงอย่างรวดเร็วเพราะประสบการณ์การสู้รบน้อยนิด พวกเขาเคยสู้กับหน่วยรบพิเศษของสมาคมตระกูลชิ่งเพียงครั้งเดียว แถมตอนนั้นยังวุ่นวายมากด้วย
พวกเขายังไม่รู้เลยว่าชนะทหารของสมาคมตระกูลชิ่งได้ยังไง ผลหลังสงครามสรุปออกมาได้เพียงว่าผู้บัญชาการกองพันมากปัญญาทั้งเก่งกาจ สามารถหลอกให้ศัตรูวางอาวุธได้
ตอนนี้พวกเขาได้สู้ศึกอีกครั้ง ต้องสู้กับกรมทหารราบจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยนาย ส่วนพวกตนมีแค่ห้าร้อยนายเท่านั้น
มีแค่เริ่นเสี่ยวซู่ที่รู้ว่าชิ่งเจิ่นส่งทหารราบกรมนี้มาตาย ดังนั้นยามต้องเผชิญหน้ากันใจจึงเกิดความหวาดหวั่นอยู่บ้าง
พอกลัว มือก็สั่น แล้วก็รัวกระสุนอย่างกับไม่มีค่า นิ้วกดไกไม่ยอมปล่อย
ทหารจากที่มั่นตั้งรับอีกด้านได้ยินเสียงปืนลั่นดังไม่หยุดกับเสียงระเบิด ทว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
กรมทหารราบเบื้องล่างค่อยๆ หมดขวัญกำลังใจ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าปากกระปืนกลหนักร้อนฉ่าก็สบถด่า “สมองไม่มีเหรอไง ฉี่รดให้ปากกระบอกปืนเย็นสิ!”
พอทหารที่ทำหน้าที่ป้อนกระสุนใส่ปืนกลหนักได้ยินเช่นกันก็ถอดกางแล้วปัสสาวะใส่ปากประบอกปืนทันที แต่ว่าพลปืนกลหนักกลับก่นด่าว่า “ไอ้*** ฉี่รดเต็มหน้ากูแล้วเนี่ย!”
ด้วยความช่วยเหลือจากสมาคมตระกูลชิ่ง กลุ่มทหารมือใหม่ผู้ตื่นตระหนกก็ป้องกันพื้นที่สูงของสมาคมตระกูลหลี่ได้สำเร็จ
คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ค่อยอะไรกับปืนกลหนักนักเพราะคิดว่าอย่างไรมันก็เป็นแค่ปืนกล พลังไม่อาจเทียบกับปืนใหญ่ได้หรอก
แต่สงครามไม่เคยเป็นเรื่องอันใดอันหนึ่ง บทบาทของปืนกลในสงครามฝ่ายตั้งรับนั้นสำคัญกว่าที่คนคิดมาก ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เคยมีผู้ที่สามารถสังหารสามพันสองคนด้วยปืนกลหนักกระบอกเดียวมาแล้ว!
พอเห็นกรมทหารราบบาดเจ็บหนัก เริ่นเสี่ยวซู่ควักกล้องส่องทางไกลไปสำรวจที่มั่นตั้งรับอื่นๆ
แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้แปลกใจ ทหารบางนายของสมาคมตระกูลชิ่งเจาะทะลวงเข้าพื้นที่สูงด้วยการช่วยเหลือจากปืนใหญ่สนับสนุนได้แล้ว พื้นที่ของที่มั่น 313 ส่วนใหญ่ทุกยิงถล่มจนเละเทะ พื้นที่ชัยภูมิสูงที่วางปืนใหญ่ก็โดนสมาคมตระกูลชิ่งตีแตกแล้วเช่นกัน ไม่มีคิดเลยว่าการรบจะออกมาในรูปแบบนี้
พื้นดินหลังค่ายก็ไม่ราบเรียบเหมือนก่อนหน้า คงถูกยิงถล่มอย่างหนักเช่นกัน
แต่ว่าสมาคมตระกูลชิ่งดูไม่คิดจะยึดที่มั่น 313 ชิ่งเจิ่งเก่งกาจด้านยุทธวิธีทางทหาร รู้ดีว่าถ้ายึดที่มั่น 313 ไปต้องเผชิญการโจมตีกลับอย่างบ้าคลั่งจากสมาคมตระกูลหลี่แน่
ในช่วงสงครามพื้นที่เนินเขามักมีการเปลี่ยนมือกันหลายร้อยครั้ง พอสงครามจบ เนินของเขาก็ชโลมด้วยสีแดงฉาน ถ้าเหยียบลงกับพื้น อาจจะลื่นโลหิตที่ซึมลงไปกับพื้นดินด้วยซ้ำ
ดังนั้นแค่ยึดพื้นที่สูงได้ ใช่ว่าการสู้รบจบลง ถ้าสมาคมตระกูลชิ่งยึดได้เนินเขาหนึ่ง สมาคมตระกูลหลี่ย่อมใช้ปืนใหญ่ยิงปูพรมกลับ ถึงตอนนั้นทหารของสมาคมตระกูลชิ่งจำนวนมากต้องตายลงในชั่วพริบตา
สงครามโหดร้ายนัก ไม่สนใจหรอกว่าที่บ้านกำลังมีบิดามารดาหรือบุตรธิดารออยู่
ทุกอย่างในสงครามล้วนเพื่อการเป็นผู้ชนะในวินาทีสุดท้าย
เริ่นเสี่ยวซู่ยกกล้องส่องไกลขึ้นส่องไปด้านหลังค่าย เขาพุ่งความสนใจไปที่เต็นท์ลึกลับทั้งสามหลังนั่น หรือพูดให้ตรงกว่านั้นคือเขาสนใจการเคลื่อนไหวของทหารนาโนแมชชีนมากกว่า
แผนที่จุดตั้งรับที่ให้ไปก่อนหน้าไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมาก เพราะอย่างไรเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่สามารถเดินไปทั่วที่มั่น 313 ได้ จึงได้แต่วาดเฉพาะสิ่งที่เห็นผ่านตา
แต่เขาได้ทำเครื่องหมายตรงเต็นท์ทหารนาโนแมชชีนเป็นพิเศษ ทั้งยังเตือนถังโจวด้วยว่าให้ใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มที่นี่
ปกติแล้วถ้าไม่มีอาวุธนำวิถีหรือแผนที่รายละเอียดสูง จะโจมตีด้านหลังค่ายอย่างแม่นยำนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะตกลงกันไว้แล้ว ชิ่งเจิ่นถึงกับยอมทุ่มเงินถล่มทั่วทั้งบริเวณรอบเต็นท์ทั้งสามไปด้วยเลย
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าเต็นท์พังยับไปแล้ว หลงเหลือแต่กองซากศพเลือดเนื้ออยู่บนพื้น ก็ทำเอาเขาตื่นเต้นขึ้นมา
ทันใดนั้นเสียงจากพระราชวังก็ดังขึ้นในห้วงจิต [ภารกิจ ช่วยคนหนึ่งร้อยชีวิต รางวัลคือแต้มสถานที่จัดสรรเองได้]
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไปครู่หนึ่ง กำลังคิดอยู่เลยว่าจะใช้อะไรอ้างกลับไปแนวหลังดี แต่พระราชวังก็ให้เหตุผลมาพอดีเลย
เขามองทหารที่เหลือไม่กี่นายในกรมทหารราบด้านล่าง เริ่นเสี่ยวซู่ตะโกนไปหาเฉินอู๋ตี๋ “อู๋ตี๋ ตามฉันมาไปช่วยคนอื่นๆ ในค่าย ที่นั่นต้องมีทหารบาดเจ็บอยู่มากแน่นอน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ชี้ไปที่หน่วยรบซึ่งรวมไปถึงนักเรียนของเจียงอู๋ด้วยว่าให้มากับเขา
เฉินอู๋ตี๋ตาทอประกาย “ขอรับท่านอาจารย์!”
พวกเขาสองคนหันกลับและพุ่งไปยังแนวหลัง หลี่ชิงเจิ้งกลัวเกือบสติแตก “ผู้บัญชาการกองพันอย่าไปนะ ถ้าไปแล้วพวกเราจะรับมือต่อยังไง!”
“ไม่ต้องห่วง เฝ้าระวังที่มั่นเราเป็นพอ ทหารที่เหลือของกรมทหารราบสร้างปัญหาอะไรให้พวกเราไม่ได้แล้วด้วย!” เริ่นเสี่ยวซู่ตะโกนใส่หลี่ชิงเจิ้งโดยไม่หันกลับไปมองเขา
หลี่ชิงเจิ้งตัวแข็งค้างอยู่กับที่ เขานึกว่าพวกตนจะสู้กันแบบดุเดือดเลือดพล่านเสียอีก ที่ไหนได้ ยังมีเวลาไปช่วยผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ อีกแน่ะ…
ก่อนหน้าที่ทุกคนในที่มั่น 313 คิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกจบสิ้นแล้ว
ทว่าตั้งแต่สู้มา ทหารบางกองล้มตายไปหมดสิ้น แต่กองพันวีรบุรุษเสียหายไปแค่ราวร้อยนายเท่านั้น
ถึงจำนวนนี้จะนับว่าเป็นหนึ่งในห้าของกำลังทั้งหมด ทว่าสนามรบมีกระสุนปืนน้อยใหญ่ปลิวว่อน ตายน้อยแค่นี้นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว!
ตายแค่ร้อยกว่านาย แถมยังล้างบางกรมทหารราบที่มีจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยนายได้อีก ถ้าข่าวนี้ไปถึงหูเหล่านายพลขอสมาคมตระกูลหลี่ที่อยู่แนวหลังล่ะก็ พวกเขาคงได้ตะลึงตาค้างแน่!
คำว่าล้างบางออกจะโม้เกินจริงไปบ้าง แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็จะโม้แบบนี้ล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่ เฉินอู๋ตี๋ และพรรคพวกรีบพุ่งตรงไปยังแนวหลังของที่มั่น 313 ตอนนี้ที่ค่ายวุ่นวายอลหม่าน เต็นท์ที่เป็นศูนย์บัญชาการพังยับไปแล้ว ไม่รู้ว่าหมาข่ายหายไปไหน
ทหารแพทย์วิ่งว่อนไปทั่วช่วยผู้บาดเจ็บ แต่ว่ามีผู้บาดเจ็บมากเกินไป พวกเขาจะช่วยหมดทุกคนได้อย่างไร
แต่เริ่นเสี่ยวซู่มีเป้าหมายชัดเจน พวกเขารีบกลับไปที่ค่าย พาพวกเฉินอู๋ตี๋ไปยังจุดที่ทหารนาโนแมชชีนเคยอยู่ เริ่นเสี่ยวซู่ตะโกน “อู๋ตี๋ พาคนของเราไปแบกผู้บาดเจ็บมารับการรักษา!”
เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมกำลังหาทหารนาโนแมชชีนที่ตายไปแล้ว ควันไฟลอยอยู่เหนือสนามรบ เขามองไม่ค่อยเห็นว่าศพทหารนาโนแมชชีนอยู่ตรงไหนบ้าง
แต่การรับรู้ทิศทางของเริ่นเสี่ยวซู่ยอดเยี่ยม เขาหาตำแหน่งที่ตั้งของทั้งสามเต็นท์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่เจอทหารนาโนแมชชีน ก็จะให้พระราชวังปลดล็อคและรีเซ็ตนาโนแมชชีนทันที หลังจากจัดการครบกระบวนการ ก็จะรีบเก็บนาโนแมชชีนเข้าช่องเก็บของ
มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถเก็บนาโนแมชชีนได้จำกัด แถมตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เก็บเกี่ยวนาโนแมชชีนมาได้มากจนเก็บในร่างไม่ได้แล้ว เลยได้แต่เอาไปเก็บในช่องเก็บของ
มีผู้บาดเจ็บกรีดร้องอยู่บนพื้น มีคนพยายามดึงตัวเริ่นเสี่ยวซู่ ทว่าเขาไม่เหลือบแล
ทหารที่บาดเจ็บมึนงง นายมาช่วยคนที่บาดเจ็บไม่ใช่เหรอไง
เดี๋ยวนะ ทหารที่บาดเจ็บจำเริ่นเสี่ยวซู่ได้จึงร้องเรียก “เริ่นเสี่ยวซู่ นายคือเริ่นเสี่ยวซู่นี่ มาช่วยฉันเร็ว!”
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังตั้งหน้าตั้งตาหาเก็บนาโนแมชชีน ทว่าผลที่ได้กลับยังไม่น่าพึงพอใจ ตอนที่เขาหันไปตามเสียงเรียกขอความช่วยเหลือก็ต้องตะลึง อ้าว หลินฉีนี่หว่าที่อยู่บนพื้น!
เขาหัวเราะฮาๆ “โทษทีๆ ไม่ทันเห็นน่ะ อาการเป็นยังไงบ้าง”
หลินชีพูดอย่างยากลำบาก “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาย้อนความหลัง นาย…”
ยังพูดไม่ทันจบ เริ่นเสี่ยวซู่ก็หยิบเศษกระสุนจากพื้นกระซวกใส่คอหลินชี
หลินชีมองเริ่นเสี่ยวซู่ ทว่าเห็นเพียงความเย็นเยียบในดวงตาเขา
เริ่นเสี่ยวซู่หยัน “คิดย้อนไปแล้ว น่าเสียดายจริงๆ ที่หมาป่าฆ่านายไม่ได้”
หลินชีตาเบิกโพลง แต่ไม่อาจเปร่งเสียงอะไรได้ หมาป่าเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับเริ่นเสี่ยวซู่สินะ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดมาก
นี่เป็นสำนึกสุดท้ายก่อนที่เขาจะดำดิ่งลงไปในความมืดอนธการ