The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 305 ทางภูเขายาวยี่สิบเอ็ดกิโลเมตร
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 305 ทางภูเขายาวยี่สิบเอ็ดกิโลเมตร
เดิมทีกองกำลังที่ชิ่งเจิ่นกับหลัวหลานบัญชาการอยู่ก็มีสองกองพลน้อย แต่ตอนนี้กองกำลังของหลัวหลานหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนไม่อาจทราบได้ สมาคมตระกูลชิ่งเองก็ไม่อาจเกณฑ์พวกเขาเข้ามาในกองกำลังตัวเอง
เพราะอย่างนั้นตลอดทั้งกองทัพในแนวหน้าจึงมีทหารที่สนับสนุนชิ่งเจิ่นจริงๆ ไม่มากอย่างที่คิด มีทหารส่วนหนึ่งสนับสนุนชิ่งเจิ่น ส่วนหนึ่งสนับสนุนชิ่งอวิ่น
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ชิ่งเจิ่นอยากกำจัดผู้สนับสนุนชิ่งอวิ่นในสมาคม เพราะถ้าไม่ไล่คนที่คอยฉุดรั้งแข้งขาออก ก็จะมีคนกระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งเขาในที่ลับ
แต่แม้ชิ่งเจิ่นจะ ‘ทำความสะอาด’ ตัวแปรพวกนั้นแล้วเรียบร้อย เขาก็ยังไม่อาจขัดขืนคำสั่งจากสภาบริหารของสมาคมตระกูลชิ่งได้อยู่ดี อย่างไรพวกเขาก็เป็นแกนหลักที่แท้จริงของสมาคม
ถ้าให้เวลาชิ่งเจิ่นมากกว่านี้ เขาอาจจะสามารถเปลี่ยนกองทัพแนวหน้าให้กลายเป็นคนของตัวเองได้ แต่ว่าสมาคมตระกูลชิ่งย่อมไม่ให้เวลานั้นแก่เขา
พูดตามตรงแล้วจังหวะเวลาของสภาบริหารนั้นดีมาก ถ้าเปลี่ยนผู้นำของแนวหน้าในตอนนี้ก็จะไม่มีผลกระทบมากนัก และชิ่งเจิ่นก็ทำงานสุดท้ายให้พวกเขาให้เรียบร้อยแล้วด้วย
และก็ยังเป็นเลขาโจวที่มาพาตัวชิ่งเจิ่นไป เลขาโจวยืนอยู่หน้าค่าย ชิ่งเจิ่นหันไปมองภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะรอบกาย
ทหารบางนายคิดจะก่อการเพื่อช่วยชิ่งเจิ่น แต่ชิ่งเจิ่นยิ้มเป็นการหยุดพวกเขา “ไม่ต้องรีบร้อน ครอบครัวพวกนายยังอยู่ในป้อมปราการ”
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทางสภาบริหารยังสามารถควบคุมกองทัพได้อยู่ ถ้าทหารทั้งค่ายทำอะไรมุทะลุตอนนี้ล่ะก็ คืนนี้ครอบครัวพวกเขาในป้อมปราการก็อาจจะจบชีวิตลงอย่างโหดร้าย ดังนั้นต่อให้ชิ่งเจิ่นจะฆ่าชิ่งอวิ่นไปแล้ว ทางสภาบริหารก็ยังไม่หวาดกลัวต่อเขาอยู่ดี ชิ่งเจิ่นไม่ได้มีคุณสมบัติมากพอให้พวกทหารละทิ้งครอบครัวและบุตรหลานได้ แต่ถึงแม้พวกเขาคิดจะทำจริง ชิ่งเจิ่นก็ไม่อนุญาตอยู่ดี
ดูเหมือนว่าชิ่งเจิ่นอยู่ในกำมือของสภาบริหารจะดีแล้ว
“ท่านครับ” นายทหารว่า “ให้พวกเรากลับไปกลับท่านเถอะ”
ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “อย่าโง่น่ะ ช่วยชิ่งอี้สู้รบให้ดี ฉันยังคงพูดคำเดิม อย่าทำให้ฉันขายหน้า”
ทหารแนวหน้าถูกโอนมาอยู่ใต้คำสั่งของผู้บัญชาการชื่อว่าชิ่งอี้ ชิ่งอี้ผู้นี้ก็เป็นสมาชิกแกนหลักของสมาคมเช่นกัน แต่ว่าเขากำลังถูกบ่มเพาะสำหรับหน้าที่ผู้นำทหาร ทางสมาคมยังไม่อนุญาตให้เขาออกไปอยู่บนสนามรบจริงๆ จังๆ
“แล้วทำยังไงกับท่านหลัวหลานดีครับ เขายังอยู่ในสมาคมตระกูลหยางอยู่เลย” นายทหารว่า “เมื่อคืน…”
ชิ่งเจิ่นโบกมือ “ฉันเตรียมการเรื่องนั้นแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
พูดจบชิ่งเจิ่นก็ตามเลขาโจวขึ้นรถไป เขาสั่งให้คนใส่กุญแจมือชิ่งเจิ่น เขายิ้มแล้วว่า “กลัวฉันขนาดนั้นเลย ฉันไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษเสียหน่อย ไม่ทำอะไรนายหรอก”
เลขาโจวแค่นเสียงอย่างรังเกียจเดียดฉันท์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร คราวนี้เขาพาทหารชุดใหญ่มาคุมตัวชิ่งเจิ่นไป
ถ้าไม่ใช่ว่าสภาบริหารสั่งให้เลขาโจวเป็นคนมา พูดตามตรงแล้วเขาคงไม่กล้าเผชิญหน้าชิ่งเจิ่นอีก รอบล่าสุดที่ชิ่งเจิ่นจู่ๆ ก็ฆ่าคนอย่างที่ผู้อื่นไม่ทันตั้งตัวในกองบัญชาการนั้นทิ้งรอยแผลไว้ในใจเขา
เลขาโจวเข้าไปนั่งในรถแล้วพูดเสียงนิ่ง “ชิ่งเจิ่น ผมควรชมว่าคุณฉลาดมากหรือพูดว่าคุณโง่มากดีนะ”
ชิ่งเจิ่นยิ้ม “หมายความว่ายังไง”
พลขับรถไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา มองตรงไปที่ถนนอย่างเดียว
เลขาโจวพูด “หึ คุณฉลาดจริงๆ ผมไม่เถียงเรื่องนั้นหรอก สงครามที่ชิ่งอวิ่นไม่มีทางชนะพลิกกลับทันทีที่คุณร่วมมือกับสมาคมตระกูลหยางเพื่อทำลายสมาคมตระกูลหลี่ในแนวหน้า ขนาดผมเองก็อดทึ่งไม่ได้ สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะ”
ชิ่งเจิ่นยิ่ม “ชมเกินไปแล้วๆ”
“แต่ที่บอกว่าคุณโง่ก็ไม่ผิดเหมือนกัน ถ้าไม่โจมตีสมาคมตระกูลหลี่ สภาบริหารก็คงไม่กล้าลงมือกับคุณเร็วขนาดนี้ เรียกว่าเก่งแต่การทหาร ไม่รู้วิธีรับมือด้านการเมืองเลย”
ชิ่งเจิ่งหัวเราะแล้วว่า “เลขาโจวต้องการพูดว่าฉันควรจะปล่อยให้ทหารสมาคมตระกูลหลี่อยู่รอดต่อไปและให้พวกเขากลายเป็นหทารรับจ้างของฉันในแนวหน้าสินะ”
เลขาโจวหันไปมองพลขับ “ไม่ได้พูดแบบนั้น”
“ดูสิว่าตัวเองขี้ขลาดขนาดไหน กล้าพูดแต่ไม่กล้ารับ” ชิ่งเจิ่งว่า “ต่อให้ฉันไม่โจมตีสมาคมตระกูลหลี่ พวกเขาก็จะมาโจมตีเราอยู่ดี พอเป็นแบบนั้นฉันต้องแสดงละครและยอมเสียกำลังทหารตัวเองด้วยเหรอ เรื่องแบบนั้นฉัน ชิ่งเจิ่น ทำไม่ได้หรอก
แสดงละครบนสนามรบ ต้องมีผู้เสียสละชีวิต
และที่ชิ่งเจิ่นต้องการคือทำให้มีบาดเจ็บล้มตายให้น้อยที่สุด ชนะให้ได้อย่างสวยงาม และให้ทหารรอดชีวิตกลับไปบ้านได้
เลขาโจวอึกอักถาม “ไม่คิดถึงตัวเองบ้างเหรอ”
“คิดอะไรล่ะ” ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “ก็แค่กลับไปโดนคุมขังในบ้านเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ”
“คิดว่าหลังจากฆ่าชิ่งอวิ่นแล้วจะได้กลับไปถูกคุมขังในบ้านงั้นเหรอ รอบนี้น่ะ…ไม่เรียบง่ายอย่างนั้นหรอก” เลขาโจวแค่นเสียง
“อ้อ” ชิ่งเจิ่นถอนหายใจ
…
ขณะที่รถคุมตัวชิ่งเจิ่นกำลังเร่งเครื่องขึ้นเหนือนั้น ก็มีรถออฟโรดมากมายหลายคันขับตามคุ้มกันด้วย ดูแล้วก็เห็นว่าสภาบริหารของสมาคมตระกูลชิ่งนั้นมองชิ่งเจิ่นไว้สูงมาก พวกเขากลัวมากว่าจะเกิดเรื่องระหว่างพาตัวชิ่งเจิ่นกลับไป
พอขบวนรถมาถึงป้อมปราการ 111 ในอีกสองวันให้หลัง ชิ่งเจิ่นก็ใช้มือที่ยังมีกุญแจล็อคอยู่ลดกระจก “กลิ่นอันคุ้นเคย ฉันถึงบ้านแล้ว”
เลขาโจวดูอ่อนล้าเล็กน้อย เขาเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือน นั่งในรถสองวันติดโดยแทบไม่ได้งีบเลย ทนต่อไม่ไหวแล้ว
อีกด้านหนึ่งชิ่งเจิ่นนั้นดูสดชื่นมาก อย่างกับไม่ใช่นักโทษกลับมาขึ้นศาล
เลขาโจวหาวแล้วว่า “ยังมีอารมณ์มาชื่นชมพวกนี้อีกเหรอ”
“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมโรงละครปิดหมดเลยล่ะ” ชิ่งเจิ่นพลันถาม
ตอนที่ขบวนรถขับผ่านโรงละคนบางแห่ง ชิ่งเจิ่นก็แปลกใจที่เห็นว่ามันปิดหมดเลย
เลขาโจวมองออกนอกหน้าต่าง “พวกนั้นเป็นโรงละครที่คุณชอบไป เพราะไม่รู้ว่าชอบนักร้องคนไหนกันแน่ พวกเขาเลยจับพวกเธอไปหมดทุกคน
ก่อนหน้านี้ยามชิ่งเจิ่นไปโรงละคร เขาไม่ได้ไปที่ไหนเป็นพิเศษ และไม่เคยเปิดเผยว่าชอบนักร้องคนไหน เป็นเพราะเขากลัวว่าจะสร้างปัญหาให้อีกฝ่าย
ทว่าชิ่งเจิ่นไม่คิดเลยว่าสมาคมตระกูลชิ่งจะอำมหิตถึงเพียงนี้
ชิ่งเจิ่นมองออกนอกต่างและตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
เลขาโจวถาม “ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”
ชิ่งเจิ่นโพล่ง “ดอกไม้ที่ฉันปลูกที่บ้านคงเหี่ยวไปหมดแล้วล่ะสิ เคยมีคนเข้ามาดูแลพวกพืชที่ฉันปลูกไว้หลังบ้านไหม”
เลขาโจวหัวเราะแกมโมโห “ยังมีอารมณ์มาพูดเรื่องพวกนั้นอีกนะ”
“งั้นฉันควรพูดเรื่องอะไรแทนล่ะ” ชิ่งเจิ่นพูดเสียงนิ่ง “ถ้านี่เป็นยุคสมัยแห่งความสงบสุขรุ่งเรือง ฉันคงกลายเป็นคนปลูกดอกไม้ไปแล้ว การทหารการเมืองอะไรนั่นไม่น่าสนใจเท่าการปลูกดอกไม้หรอก”
“น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่ยุคสมัยที่สงบสุข” เลขาโจวพูดเสียงนิ่ง
ทันใดนั้นรถก็หยุดกึก
ศูนย์บัญชาการของสมาคมตระกูลชิ่งอยู่กลางทางขึ้นเขา และรถมาหยุดจอด ณ ทางขึ้นเขาอันคดเคี้ยว
เลขาโจวลงจากรถแล้วว่า “ทางสภาบริหารสั่งให้คุณเดินขึ้นเขา”
ชิ่งเจิ่นเหลือบมองเขา “ทางภูเขายาวยี่สิบเอ็ดกิโลเมตร”
“ใช่แล้ว” เลขาโจวดันแว่นแล้วว่า “สภาบริหารอยากให้คุณคิดให้ดีระหว่างเดินขึ้นไปว่าทุกอย่างที่มีทุกวันนี้ใครเป็นคนให้ ถอดรองเท้าและเดินทางได้แล้ว”
พอทหารที่เฝ้าอยู่สองข้างทางภูเขาได้ยินเช่นนี้ก็ไม่อาจทนมองชิ่งเจิ่นได้อีก
ไม่เคยคิดเลยว่าพยัคฆ์หมอบแห่งสมาคมตระกูลชิ่งจะมาลงเอยอยู่ในสภาพเช่นนี้