The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 10 ภารกิจรอง
ตอนนั้นเองที่มีเสียงแหบหยาบดังมาจากนอกกระท่อม เสียงนี้พุ่งตรงไปยังเพื่อนบ้านใหม่ของพวกเขา บ้านเสี่ยวอวี้ เสี่ยวอวี้ ฉันไปเยี่ยมเธอมา เลยเพิ่งรู้ว่าเธอย้ายมานี่ ฉันเอาบุหรี่มาให้
เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนมองหน้ากันแล้วขมวดคิ้ว พวกเขาได้ยินเสี่ยวอวี้ว่า ฉันไม่ให้บริการอะไรแบบนั้นแล้ว
ฮ่าฮ่า! เสียงแหบหยาบของชายผู้นั้นดังออกมาเหมือนเจอเรื่องน่าตลก ถ้าไม่ทำเรื่องพวกนั้นแล้ว เธอจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ยังไง ต่อไปใครจะหาบุหรี่ให้เธออีกล่ะ หืม?
ปล่อยฉันนะ! เสียงเสี่ยวอวี้ฟังดูโมโหมาก ทั้งสองเหมือนลงไม้ลงมือกันจนบางอย่างฉีกขาด ฟังแล้วเหมือนเพิ่งมีเสื้อผ้าของคนโดนฉีกออก
เริ่นเสี่ยวซู่ยืนขึ้น ปลดมีดกระดูกที่น่องมาถือไว้ และเดินออกไปจากกระท่อม
ตอนนั้นเอง เครื่องพิมพ์ดีดทองเหลืองของพระราชวังในจิตใจเขาก็เริ่มพิมพ์ลงบนแผ่นหนัง เสียงจากพระราชวังอันโอ่อ่าดังขึ้นมาพร้อมกับการพิมพ์ดีดนั้น
[ภารกิจ: ช่วยเหลือ…]
เขาเยาะเย้ย คิดขัดเสียงจากพระราชวัง ต่อให้ไม่มีภารกิจมา ฉันก็ยังจะช่วยเธออยู่ดี!
เริ่นเสี่ยวซู่ชักมีดเดินออกมาจากกระท่อม ใช้เวลาอีกสองวินาทีแล้วพุ่งไปยังชายคนนั้น!
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ใช้คำขู่อย่าง ‘ปล่อยเธอนะ’ หรือ ‘ถ้ากล้าก็แตะต้องเธออีกสิ’ เพราะรู้ดีว่าการกระทำอันไร้ประโยชน์ ย่อมเป็นหนทางสู่ความล้มเหลว
ตอนนี้ต้องใช้วิธีเรียบง่ายที่สุด เพื่อจะแก้ปัญหาอย่างเรียบง่ายที่สุด
ยามร่างผอมบางแต่แข็งแกร่งของเริ่นเสี่ยวซู่วิ่งเข้ามาราวพยัคฆ์ร้าย ชายผู้นั้นก็ชักมีดที่เอวขึ้นมาวาดฟันใส่เริ่นเสี่ยวซู่ ทุกคนในเมืองต่างพกพาอาวุธไว้ปกป้องตัวเองกันอยู่แล้ว
ชายคนนั้นหัวเราะเยาะเย้ยในใจ เขาสูงกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ตั้งศีรษะหนึ่ง แถมอาวุธของเขาเป็นมีดเหล็ก ไม่ได้เป็นมีดที่ทำจากกระดูกอะไรเทือกนั้น
ทว่าวินาทีถัดมา เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเขาพลันต้องสะอึกเงียบไป
เป็นความรู้ทั่วไปอยู่แล้วว่าอาวุธเหล็กสามารถเฉือนมีดกระดูกทิ้งได้ แม้ว่ากระดูกของสัตว์ร้ายนั่นจะแข็งราวกับเหล็กกล้าก็ตาม
และการที่แข็ง ‘ราวกับ’ เหล็กกล้า ไม่ได้แปลว่ามันคือเหล็กกล้า
อาวุธระยะประชิดไม่ได้เป็นข้อหวงห้ามในเมือง แต่การจะหาอาวุธดีๆ นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ต่อให้หลายวงการอุตสาหกรรมจะค่อยๆ กลับไปตามทันมาตรฐานยุคก่อนภัยพิบัติ ทว่าวัตถุดิบมากมายยังคงขาดแคลนอยู่
เริ่นเสี่ยวซู่ปรากฏตัวตรงหน้าอีกฝ่ายทันใด ขาซ้ายกระแทกเข้ากับพื้น กล้ามเนื้อขาขวาเครียดเขม็งรักษาสมดุลร่าง สองเท้าตั้งมั่น เพ่งสมาธิส่งกำลังออกสุดแรง ฉับพลันร่างราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านจากเอวไปท่อนแขน
เริ่นเสี่ยวซู่วาดมีดข้ามผ่านปฐพี ตวัดเฉียงขึ้นผ่าม่านรัตติกาล!
เสียงมีดกระทบกันดังเคร้ง เป็นมีดกระดูกกับมีดเหล็กกระทบกัน คนที่คอยลอบเฝ้ามองอยู่ต่างตกตะลึงไป มีดทั้งสองหักครึ่งในเวลาเดียวกัน เดิมทีพวกเขาคิดแค่ว่าคงมีแต่มีดกระดูกที่แตกหักไปเสียอีก!
พริบตานั้น ขณะที่ชายคนนั้นกำลังตกตะลึง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่รีรอโยนมีดกระดูกในมือทิ้ง การโยนมีดทิ้งทำให้เคลื่อนไหวไร้รอยต่อ ราวกับเริ่นเสี่ยวซู่คาดไว้อยู่แล้วว่ามีดตนเองต้องหักครึ่ง ดูแล้วเขาคงวางแผนทุกอย่างไว้แต่แรก!
เขาคว้าข้อมือชายผู้นั้น แล้วใช้มือขวาของตนต่อยไปที่จุดประสาทรักแร้[1]
ชายผู้นั้นพยายามจะรั้งมือกลับ แต่กลับพบว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าตนมากนัก!
เป็นไปได้อย่างไร! คู่ต่อสู้เด็กแค่นี้เอง เจ้าเด็กหนุ่มนี่สูงถึงแค่คอเขาเองนะ!
ทว่าพอเขาสังเกตเห็นกล้ามเนื้อตรงคอที่แน่นราวเหล็กกล้าของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ก็ทราบทันทีว่านี่เป็นพละกำลังอันจริงแท้!
เส้นประสาทรักแร้อยู่ราวสามเซนติเมตรของแขนท่อนบนและใต้รักแร้ ทว่าหมัดนี้ดูส่งผลไม่มากเท่าไรนัก เพราะขนาดหมัดไม่ใหญ่พอ ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้
นี่เป็นหนึ่งในจุดอ่อนของร่างกายมนุษย์ หากจุดเส้นประสาทรักแร้ได้รับการบาดเจ็บอย่างแรง จะส่งผลให้เกิดอาการเส้นประสาทบาดเจ็บได้ ให้คิดเสียว่าเส้นประสาทคือสายไฟ อาการบาดเจ็บจะส่งผลกระทบต่อการสื่อประสาทที่เคลื่อนไหวอยู่ตามปกติ ซึ่งรวมถึงเส้นประสาทจะผลิตสัญญาณไฟฟ้าที่อยู่นอกการควบคุมออกมาด้วย
พอสมองได้รับสัญญาณเช่นนี้เป็นจำนวนมากเกินไป ก็จะส่งสัญญาณความเจ็บปวดออกมา และสัญญาณที่มากเกินไป จะทำให้อวัยวะรับสัญญาณบางอย่างสับสน
เมื่อร่างกายเกิดปฏิกิริยา ผลิตแคลเซียมและโพแทสเซียมเป็นจำนวนมาก และสัญญาณไฟฟ้าที่ไหลบ่าไปทั่วนี้ก็จะส่งผลให้ทั้งร่างเกิดอาการอัมพาตในชั่วพริบตา!
ชายผู้นั้นกรีดร้องเสียงหลง ล้มลงกับพื้น แขนขาบิดเกร็ง พอนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็ไม่มีกำลังพอจะไปสู้รบกับเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่ยืนนิ่งอยู่ข้างเขา เหลือบมองลงมาราวพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่ ชายผู้นั้นสูดลมหายใจถี่ ร้องอ้อนวอนขอความเมตตา ฉันไม่จะถือโทษโกรธเคืองอะไร ปล่อยฉันไปเถอะ แล้วฉันจะไม่ลืมเรื่องวันนี้เลย!
คนที่มีปัญญาก็ควรรู้ว่าตอนนี้ชีวิตตนอยู่ในเงื้อมมือของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ดังนั้นไม่ควรวางท่าเป็นอันธพาลอีก เอาไปไว้ใช้ทีหลังดีกว่า
เริ่นเสี่ยวซู่มองเสี่ยวอวี้ เขาคือใคร
เป็นหัวหน้าคนงานในเหมืองถ่านหิน และก็เป็นคนที่นำพวกมาแทงคนตายในเมืองเมื่อคืนด้วย เจ้านี่ได้ยินนิสัยชอบเก็บเงินของชายคนนั้น ด้วยตัวเองเป็นคนขี้พนัน เลยเกิดความคิดไม่ดีขึ้นมา เสี่ยวอวี้เล่าเรื่องที่ชายผู้นี้โม้ให้เธอฟังเมื่อคืน
เริ่นเสี่ยวซู่เดินข้ามถนนไปหยิบอาวุธเหล็กของเขามา จากนั้นก็เดินกลับมาที่เขา ขณะเหลือบมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเหยียดหยาม ก็คาดการณ์ว่าอย่างมากต้องใช้สี่ถึงห้าวินาทีกว่าชายคนนี้จะขยับได้อีกครา
ทันใดนั้นเสียงจากพระราชวังที่เงียบไปพักหนึ่งก็ดังขึ้น [ภารกิจ: ปล่อยศัตรูไป]
แต่พอสิ้นเสียงจากพระราชวัง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ย่อตัวลงเสียบอาวุธเหล็กใส่ท้องฝ่ายตรงข้ามทันที เสียงแหลมบาดหูของอาวุธเหล็กตัดผ่านผิวหนังเลือดเนื้อนั่นทำเอาผู้ที่แอบมองหรือแอบฟังอยู่รอบนอกขนหัวลุกซู่ ฝ่ายตรงข้ามเลือดทะลักออกมาไม่หยุด
นายมีเวลาราวสามนาที ถ้าไปเย็บแผลที่คลินิกในเมืองทันก็อาจรอด เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเรียบนิ่ง
พอฝ่ายตรงข้ามได้ยินเช่นนั้น ก็หยุดร้องโอดโอย รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงไปยังคลินิกโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
[ภารกิจสำเร็จ รางวัล: คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐาน]
[ภารกิจสำเร็จ รางวัล: คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐาน]
[เพราะต้องเสียอาวุธคู่มือไป เปิดใช้งานภารกิจรองด้วยเงื่อนไขพิเศษ…]
ก่อนจะฟังจบเริ่นเสี่ยวซู่ก็นิ่งงันไปแล้ว ของรางวัลภารกิจแรกก็เป็นเพราะเขาช่วยเหลือเสี่ยวอวี้ ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าทำไมถึงสำเร็จด้วยดี แต่เขาไม่คิดเลยว่าภารกิจที่สองนั้นก็เรียกว่าสำเร็จได้เหมือนกัน
ไอ้เจ้าพระราชวังมันตัดสินคำนวณยังไงกันแน่
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ข้างๆ เขาถาม พี่จะปล่อยเขาไปแบบนี้น่ะเหรอ ถ้าหลังจากเย็บแผลที่คลินิก อาการหายดีแล้วเขากลับมาล้างแค้นพี่ล่ะ มองยังไงเขาก็ไม่ใช่ตัวดีอะไรเลย
เริ่นเสี่ยวซู่จ้องไปยังความมืดมิด คลินิกห่วยๆ ในเมืองจะมารู้วิธีเย็บแผลคนได้ไง
เห็นพี่ยังคงใจอำมหิตแบบนี้ได้ ผมก็วางใจแล้ว
เพราะอย่างนี้ เริ่นเสี่ยวซู่จึงโล่งใจนักที่แม้เขาจะตั้งใจปล่อยให้คู่ต่อสู้ตาย แต่ภารกิจก็ถือว่าสำเร็จได้ แถมต่อให้อีกฝ่ายไม่ตาย ไอ้มีดเหล็กขึ้นสนิมนั่นก็ทำให้เกิดบาดทะยักได้อยู่ดี แม้รอดจากอาการบาดเจ็บไป ก็เหมือนตายไปแล้วนั่นแหละ
ถึงชายผู้นั้นจะมีอาวุธทำจากเหล็ก แต่ก็ซื้อมาได้แค่ของราคาต่ำสุด ไม่อย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่คงทำให้มีดเขาหักไม่ได้หรอก
คนอย่างเริ่นเสี่ยวซู่มีหลักการของตัวเองที่มั่นคงยิ่ง ต่อให้ตอนนี้มีพลังพิเศษแล้ว ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนวิถีการกระทำของตนได้
ถ้าเขาอยากเปลี่ยน ก็ต้องเปลี่ยนด้วยเจตจำนงเสรีของตัวเอง ไม่มีใครสามารถบงการได้
ว่าแล้วดูเหมือนการดำเนินภารกิจก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรขนาดนั้น ที่พระราชวังสนใจคือแค่…เริ่นเสี่ยวซู่จะแสดงท่าทีออกมาอย่างไรละมั้ง
ทันใดนั้นเอง เหล่าผู้คนในกระท่อมตามถนนเริ่มกระซิบกระซาบกัน ตลอดหลายปีมานี้ พวกเขาทราบดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่อำมหิตขนาดไหน แต่ถึงกระนั้น เรื่องวันนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงอยู่ดี
นี่เป็นเพราะว่าร่างกายของทั้งสองต่างกันเกินไป แถมพละกำลังที่เริ่นเสี่ยวซู่แสดงออกมาก็ไม่ด้อยไปกว่าของหัวหน้าคนงานเลย หรือจะให้พูดตามตรงคือแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
มันน่าเหลือเชื่อมาก!
มีคนหนึ่งกระซิบเสียงค่อยมาจากในกระท่อมหลังหนึ่ง บอกแล้ว อย่าไปยั่วเขา
เริ่นเสี่ยวซู่หยิบมีดกระดูกที่อยู่กับเขามาหลายปีขึ้นมา ในที่สุดก็ถึงวันสิ้นอายุขัยของมันแล้ว
เขาหันกลับมามองเสี่ยวอวี้ ยามค่ำคืน เสี่ยวอวี้ดูอ้อนแอ้นอยู่บ้าง เสี่ยวอวี้จริงๆ แล้วอายุมากว่าเริ่นเสี่ยวซู่ถึงแปดปี แต่ตอนนี้เธอกลับดูเด็กกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ถึงแปดปีไปเสียอย่างนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่ถามหน้าตาย เลิกสูบบุหรี่แล้วเหรอ
เสี่ยวอวี้พยักหน้าอย่างแรง
ของนั่นไม่ได้เสพติดขนาดนั้น น่าจะใส่ฝิ่นแค่นิดเดียว เหล่าหวังบอกว่าสารปรุงแต่งนั่นสัดส่วนน้อยมาก ถ้าอยากจะเลิกก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เริ่นเสี่ยวซู่พูดขึ้น ก่อนจะเดินไปที่ประตูกระท่อมของเสี่ยวอวี้ จากนั้นก็ย่อตัวลงและแทงมีดกระดูกของตนลงไปในดินโคลนอย่างดุดัน เผยให้เห็นส่วนเล็กๆ ของมีดพ้นออกมาจากพื้นเท่านั้น
บรรดาคนรอบนอกที่เกิดความคิดไม่ดีกับเสี่ยวอวี้พลันทิ้งความคิดของตนไปทันที
ในเมือง มีดกระดูกหักครึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของปณิธานคนผู้หนึ่ง ไม่มีใครกล้าลงมือทำอะไรอย่างไร้สติจนเป็นเหมือนการหาเรื่องเริ่นเสี่ยวซู่ผู้โหดร้าย
เริ่นเสี่ยวซู่หันมามองเสี่ยวอวี้ มีบางเรื่องที่ฉันต้องบอกให้ชัดเจน ถึงฉันจะหล่อมาก แต่คือ…เรื่องระหว่างเราเป็นจริงไม่ได้หรอก…
เสี่ยวอวี้นิ่งไป ฉันเห็นเธอเป็นแค่น้องชาย
เป็นตาเริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปบ้าง ฮ่าๆ กระอักกระอ่วนแฮะ
เริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนกลับกระท่อมพวกตน ขณะเดินไปก็มองเหยียนลิ่วหยวนตาขวาง เป็นความผิดนายนั่นแหละ เอาแต่พูดไร้สาระกับฉันอยู่ได้!
เหยียนลิ่วหยวนแอบหันกลับไปกะพริบตาให้เสี่ยวอวี้ พอเสี่ยวอวี้เห็นหน้าเหยียนลิ่วหยวนทำแบบนั้น ก็หัวเราะลั่นออกมา ความไม่สบายใจหายวับไปกับอากาศธาตุ
เธอย่อตัวลงกับพื้น เหม่อมองมีดกระดูกหักครึ่งนั่นพักใหญ่ แล้วกลับไปนอนพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ขณะเดียวกันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่กำลังหลับตา มองสำรวจของต่างๆ ในพระราชวัง แล้วก็ไปตรวจดูด้วยว่าเครื่องพิมพ์ดีดนั้นพิมพ์อะไรลงบนแผ่นหนังบ้าง
ภารกิจรอง? น่าสนุกดีนี่!