The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 121 โง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ย
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 121 โง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ย
หลัวหลานไม่รู้ว่าชิ่งเจิ่นสั่งให้คนออกตามหาตนแล้ว และก็ไม่รู้ด้วยว่าชิ่งเจิ่นกำลังโดนสภาบริหารของสมาคมสะกดเขาไว้ ตอนนี้รู้เพียงแต่ว่ามันหวานกลิ่นหอมมาก
เขาหันไปหามือขวาของตนแล้วว่า “คือ…ถังโจว นายไปดูหน่อยได้ไหมว่ายังมีมันหวานเหลืออยู่ในทุ่งหรือเปล่า”
มือขวานามถังโจวเอ่ย “ทำไมท่านไม่ชิงมาจากพวกเขาเสียล่ะ”
“นายจะไปรู้อะไร” หลัวหลานด่าอย่างโมโห “เห็นฉันเป็นคนยังไง ถ้าสมาคมสั่งให้ฉันไปฆ่าพวกบริษัทหัวจ่ง ฉันพร้อมทำตามแบบตาไม่กะพริบเลย แต่ถ้าพวกเขารู้ว่าฉันไปชิงของกินจากพวกผู้หลบหนี พวกเขาจะมองฉันเป็นคนยังไงล่ะ”
“แต่ทุ่งมันหวานโดนพวกเขาถอนจนเหี้ยนแล้วน่ะสิครับ” ถังโจวว่าอย่างกระอักกระอ่วน
ผู้หลบหนีมีจำนวนมากกว่าสามพันคน ทุ่งมันหวานไม่ใช่ไร่ระดับกสิกรรมขนาดใหญ่ เป็นเพียงมันหวานป่าที่ไม่รู้ว่าโตมาตั้งแต่เมื่อไร
ผู้หลบหนีที่ทนหิวโซมาหลายวัน ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะได้กินอาหาร ดังนั้นย่อมขุดทุกตารางนิ้วในสายตา ต่อให้ตอนนี้กินหวานไม่หมด ก็ยังแบกไประหว่างทางได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนหิวไปอีกสองสามวัน
มีแต่คนที่เคยหิวโซมาก่อนเท่านั้นถึงจะเข้าใจความรู้สึกของการไม่มีอะไรกิน พวกเขาเพิ่งหลบหนีมาไม่กี่วันเท่านั้น แต่ผู้หลบหนีทุกคนล้วนหน้าซูบตอบไปไม่น้อยกันหมด
มีแต่เริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกที่รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
หลัวหลานคิดอยู่พักใหญ่ “ใครพกเงินมา ก็ไปซื้อมันหวานจากพวกเขามาหน่อยแล้วกัน”
หลัวหลานรีบร้อนจะหนี เลยไม่ได้พกอะไรติดตัวมาแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างนั้นคงมีกางเกงใส่ไปแล้ว ซึ่งทหารกองพลน้อยนายอื่นๆ ก็ไม่ต่างกันหรอก แผ่นดินไหวเกิดแบบฉุกละหุกเกิน คนที่คิดจะไปคว้าเงินตัวเองล้วนถูกฝังใต้ซากบ้านเกือบหมดทุกคนแล้ว
พวกทหารมองหน้ากันเองแล้วควักเงินออกมารวมกัน สุดท้ายได้ทั้งสิ้นสี่พันหยวน เป็นเศษเงินที่ปกติพวกเขาจะใส่ติดกระเป๋ากางเกงไว้
หลัวหลานมองเงินด้วยสายตาทอประกายวิบวับ “ถังโจว พาคนไปซื้ออาหารหน่อย ระวังโดนพวกเขาทำร้ายล่ะ”
“รับทราบ” ถังโจวนำกำลังทหารไปด้วยหน่วยหนึ่ง กำลังทหารที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ได้จัดหมวดหมู่กองกำลังใหม่ ถึงผู้บาดเจ็บจะร่วมรบไม่ได้ แต่กำลังกว่าสองในสามยังสามารถต่อสู้ได้อยู่
หลัวหลานไม่ลืมที่จะพูด “ซื้อมาราคาแพงสักห้าสิบเท่าจากราคาตลาด อย่าให้พวกเขาดูหมิ่นสมาคมตระกูลชิ่งเราได้ พวกเราไม่เอาเปรียบผู้อื่น”
ตอนนี้อาหารมีค่ากว่าเงินตรา แต่ให้เงินมากกว่าห้าสิบเท่าของราคาปกติก็อยู่ที่คนขายจะมองแล้ว
พวกเขาย่อมกลับไปสู่อารยธรรมมนุษย์ในสักวันหนึ่ง หรือถ้าเดินให้เร็วกว่าเดิมก็อาจจะถึงป้อมปราการ 109 ภายในสามวัน พอถึงตอนนั้นพวกเขาก็ต้องการเงินทองไว้ซื้อของ ถึงแม้ความสัมพันธ์ของสมาคมตระกูลชิ่งและตระกูลหลี่จะไม่ดีไม่ร้าย แต่ในป้อมปราการ 109 ก็ยังมีสินทรัพย์ของสมาคมตระกูลชิ่งอยู่ ดังนั้นเงินสกุลของตระกูลชิ่งย่อมมีอำนาจซื้ออยู่บ้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละองค์กรนั้นซับซ้อนมาก ไม่ใช่ว่าป้อมปราการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสมาคมตระกูลหลี่จะไม่มีอิทธิพลขององค์กรอื่นเลย ส่วนใหญ่แล้วอำนาจอิทธิพลของสมาคมองค์กรต่างๆ นั้นจะคาบเกี่ยวกันอย่างสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน
ป้อมปราการตั้งอยู่ตามสถานที่ต่างๆ หมายความว่าครอบครองทรัพยากรธรรมชาติต่างกัน ดังนั้นองค์กรต่างๆ ย่อมมีการพึ่งพาอาศัยกันอยู่เนืองๆ
อย่างเช่นว่าพื้นที่สมาคมตระกูลชิ่งควบคุมอยู่นั้นส่วนใหญ่เต็มไปด้วยแร่วาเนเดียมไทเทเนียม แร่เฮไลท์ แร่มิราบิไลต์ แร่วานาเดียมนำสังกะสี แร่เหล็ก กำมะถัน แร่ใยหิน แร่ไมกา ทอง ฟอสฟอรัส หินปูน ถ่านหิน และน้ำมันธรรมชาติ ส่วนสมาคมตระกูลหลี่ที่ควบคุมทางใต้นั้นจะมีพวกโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก เหมืองถ่านหิน และอุตสาหกรรมกสิกรรมที่ผลิตยาสูบ
ที่สำคัญที่สุดคือสมาคมสกุลชิ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สภาพอากาศไม่แปรปรวน พวกเขาควบคุมการปลูกพืชอาหารอย่างข้าว สาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง และพืชการค้าอย่างใบชา สมาคมตระกูลหลี่ต้องซื้อสินค้าโภคภัณฑ์พวกนี้จากสมาคมตระกูลชิ่งอยู่บ่อยๆ ถึงพวกเขาจะปลูกพืชเช่นกัน แต่ผลผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภค
ทุกองค์กรให้ความสำคัญกับการกสิกรรมมาก แต่เพียงเพราะแค่ให้ความสำคัญกับมันเป็นหลัก ก็ใช่ว่าพื้นที่ที่ควบคุมอยู่จะเหมาะกับการปลูกพืชไปเสียเลย ธรรมชาติไม่โน้มตามความต้องการของมนุษย์หรอก
ไม่นานนัก พวกถังโจวก็กลับมาพร้อมกับหัวมันมากมายในอ้อมแขน ไม่มีใครกล้าตอบปฏิเสธทหารจากสมาคมตระกูลชิ่งที่เข้ามาขอซื้อมันหวานพร้อมปืนครบมือได้หรอก แถมสมาคมตระกูลชิ่งยังถือไพ่เหนือกว่าด้วย
หลัวหลานสั่งให้ทหารโยนมันหวานลงในกองไฟอย่างตื่นเต้น จากนั้นทั้งคณะก็ตั้งหน้าตั้งตารอมันหวานสุก
หลัวหลานนับคนกับนับหัวมันที่มี จากนั้นก็ถอนหายใจ “พวกเรากินกันได้แค่คนละครึ่งหัวเอง ไม่เกินไปกว่านั้น ส่วนคนที่บาดเจ็บได้กินทั้งหัว”
พอมันหวานสุกได้ที่แล้ว ถังโจวก็ใช้ไม้เขี่ยมันหวานออกมาหัวหนึ่งให้หลัวหลาน “เจ้านายครับ เชิญ”
หลัวหลานหยิบมาแล้วหักครึ่ง จากนั้นก็ยื่นอีกครึ่งหนึ่งนั้นให้ถังโจว “พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง”
“เจ้านาย ท่านไม่ต้องแบ่งก็ได้” ถังโจวไม่เต็มใจอยู่บ้าง “ท่านก็จะกินแค่ครึ่งเดียวเหมือนกันหรอกเหรอ”
“เลิกพูดมาแล้วรับไปได้แล้วน่า มันร้อนนะเฟ้ย!” หลัวหลานหันไปมองคนอื่นแล้วพูด “ฉันไม่มีเวลามาพล่ามเยอะหรอกนะ เดี๋ยวพอพวกเราถึงป้อมปราการ 109 แล้วฉันจะพาไปเสวยสุขสักรอบ ฮี่ฮี่ หลังเจอหายนะใหญ่ต้องได้ลาภสักหน่อยสิ”
ทหารกองพลน้อยรับประทานมันหวานโดยไม่เอ่ยอะไร
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังเฝ้ามองการกระทำของสมาคมตระกูลชิ่ง แต่ก็มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นมาในกลุ่มผู้หลบหนี จากนั้นก็มีเสียงเพี๊ยะดังสนั่น
พวกเขาหันไปมอง แล้วก็เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังฉุกกระชากลากถูหญิงผู้หนึ่ง เขาว่า “กินมันหวานฉันไปแล้วยังทำท่าสูงศักดิ์อะไรอยู่เหรอ ผัวแกตายที่ป้อมปราการไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะฉันแกจะรอดมาจนถึงตอนนี้ไหม!”
“ฉันบอกแล้วไงว่าพอไปถึงป้อมปราการ 109 แล้วจะจ่ายค่ามันหวานให้!” เสียงผู้หญิงดังเล็ดรอดไรฟัน
“แกจะใช้อะไรจ่ายล่ะหา พอพวกเราถึงป้อมปราการ 109 ก็เป็นยาจกเหมือนกันหมดนั่นแหละ!”
เริ่นเสี่ยวซู่หน้านิ่วคิ้วขมวด เจ้าสองคนนี้รู้จักกันอยู่แล้วอย่างนั้นสิ ผู้ชายน่าจะโดนผู้หญิงตบเพราะคิดฉวยโอกาสเธอ เพราะโกรธแกมอับอาย เขาเลยจะลากผู้หญิงเข้าที่เปล่าเปลี่ยวในแดนรกร้าง ผู้หญิงกรีดร้องแต่ไม่อาจสู้แรงได้ ทว่าทุกคนกลับมองไปอย่างหน้าตาเฉย
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคำรามดังอยู่ข้างหูเริ่นเสี่ยวซู่ “หยุดมือ! เป็นเจ้า ราชาปีศาจเสือดาว[1]นี่เองที่ก่อการอยู่!”
เสียงคำรามนี้ก้องอึงอลอยู่ในหูเริ่นเสี่ยวซู่ เขาหันไปมองเฉินอู๋ตี๋ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ทว่าเห็นเพียงเฉินอู๋ตี๋กระโจนไปหาสองคนนั้นพร้อมกระบองทองสารพัดนึกแล้ว
ชายวัยกลางคนรับมือไม่ทัน โดนกระบองของเฉินอู๋ตี๋ฟาดใส่จนล้มไปนอนกองกับพื้น ปากแทบกระอักเลือดออกมา
เฉินอู๋ตี๋ยั้งมืออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นชายผู้นี้คงตายคาที่แล้ว
แต่ก่อนที่เฉินอู๋ตี๋จะได้อิ่มเอิบกับความสำเร็จในการกำราบมารร้ายได้นั้น หญิงนางที่ถูกชายผู้นี้ลากออกมาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เธอจ้องเฉินอู๋ตี๋ตาขวางแล้วว่า “นายทำร้ายเขาทำไม ไสหัวไปนะ!”
เฉินอู๋ตี๋ปวดใจไม่น้อย ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนี้ เขาได้แต่เดินคอตกกลับมาหาเริ่นเสี่ยวซู่
ทุกคนเห็นแบบนี้ก็ประหลาดใจไป มีแต่เริ่นเสี่ยวซู่ที่เคยอ่านต้นฉบับของไซอิ๋วมาก่อนเท่านั้นที่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ราชาปีศาจเสือดาวน่าจะเป็นราชาปีศาจแห่งภูเขาหมอกลี้ลับ ยอดเขาคด และถ้ำเชื่อมโยง ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ ราชาปีศาจขโมยภรรยาของชาวนามาเป็นเมียตน
แต่กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกมีเรื่องบางอย่างแปลกๆ อยู่ เพราะนึกได้ว่าเมื่อไรที่เฉินอู๋ตี๋จะตีคน ต้องตีตราเป้าหมายด้วยชื่อของปีศาจก่อน อย่างเสี่ยวจ้วนเฟิง ราชาปีศาจเสือดาว และอื่นๆ แต่ถ้าไม่คิดจะต่อสู้ อีกฝ่ายก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา
ดูเหมือนว่าตรรกะของผู้ป่วยจิตเวชเวลาจะยืนกรานเรื่องอะไรต้องมี ‘เหตุผล’ และ ‘จุดยืน’ ของตัวเองเสียก่อน เขาเป็นฉีเทียนต้าเซิ่ง ดังนั้นต้องสู้รบกับเหล่ามาร
หลังเฉินอู๋ตี๋กลับมาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า เริ่นเสี่ยวซู่นึกอยู่สักพัก แล้วก็กล่าวล้อ ”ศิษย์ข้า ถ้าเจอศัตรูต่อไปเรื่อยๆ แล้วหมดชื่อปีศาจจะขานออกแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรหรือ”
อย่างไรเสียปีศาจในไซอิ๋วก็ไม่มีจำนวนเป็นอนันต์ พอสู้รบตบมือหมดแล้ว ก็คงไม่เหลือให้สู้ต่อ
เฉินอู๋ตี๋ตกอยู่ในภวังค์ความคิด เรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างแท้จริง
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เฉินอู๋ตี๋ก็ตัดสินใจบิดงอหลักการตนเองแล้วว่า “ไม่เป็นไร ข้าค่อยเอาชื่อปีศาจที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ก็ได้”
เริ่นเสี่ยวซู่ “???”
นี่เอ็งโง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ย! ไหนบอกว่าจะไม่เรียกชื่อมั่วๆ ไปเรื่อยไง
…………..
[1] หนานซานต้าหวัง/น่ำซัวไต้อ๋อง (南山大王) หรือราชาปีศาจเสือดาว (金钱豹王) มีสากเหล็กเป็นอาวุธ พำนัก ณ ถ้ำจี๊ขี้เลียนฮ่วนต๋อง ภูเขาอิ๊มบู้ซัว ตัวละครปีศาจตัวหนึ่งที่เข้ามาขัดขวางไม่ให้พระถังซัมจั๋งอัญเชิญพระไตรปิฎกได้สำเร็จ