The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 140 ภายใต้ความชอบธรรม
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 140 ภายใต้ความชอบธรรม
ของที่เริ่นเสี่ยวซู่ให้หวังฟู่กุ้ยไปเตรียมนั้นไม่ได้เป็นของหายากอะไรนัก ถึงส่วนใหญ่จะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ต้องระวังไม่ให้ซื้อทีเดียวพร้อมกัน ถ้าเกิดซื้อพร้อมกันหมด ไม่รู้จะดึงดูดความสนใจใครเข้าหรือเปล่า ที่ว่าของพวกนี้สามารถใช้ทำระเบิดได้นั้นไม่ได้เป็นความลับอะไร
เข้าวันต่อมา หวังฟู่กุ้ยก็ออกไปข้างนอก เขาไม่ถามเริ่นเสี่ยวซู่ว่าเอาของพวกนี้ไปทำไม ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่อยากได้ เขาก็พร้อมออกไปหาให้
ตอนนี้หวังฟู่กุ้ยมองตัวเองเป็นผู้จัดการคนหนึ่ง ที่ต้องทำก็คือทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ
เริ่นเสี่ยวซู่กลัวมากว่าหวังฟู่กุ้ยจะทำภารกิจพลาด แต่สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าหวังฟู่กุ้ยนั้นระแวดระวังกว่าที่เขาคาดไว้มาก
หวังฟู่กุ้ยใช้เวลาทั้งวันนั่งรถรางไปเขตเหนือใต้ออกตก แต่ละที่ซื้อของคนละอย่าง แล้วรวบรวมของทั้งหมดมาให้เริ่นเสี่ยวซู่
ตอนที่เขามาถึงบ้านคืนนั้น เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเขาเดินเข้ามาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
เสี่ยวอวี้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ แล้ว ขณะเดียวกันกระบวนการรับนักเรียนของเหยียนลิ่วหยวน เริ่นเสี่ยวซู่ และหวังต้าหลงก็เสร็จเรียบร้อยเช่นกัน แถมเสี่ยวอวี้ยังไปหามาด้วยว่าโรงเรียนในป้อมปราการจะมีช่วงหยุดสองช่วงในแต่ละปี ตอนนี้หน้าหนาว แสดงว่าเทอมแรกของโรงเรียนใกล้จบลงแล้ว พวกเริ่นเสี่ยวซู่คงเข้าเรียนได้ไม่นานนักก่อนจะเจอช่วงปิดเทอม
แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องการพอดี การเรียนช่วงแรกน่าจะเป็นช่วงปรับตัว มีพักสักหน่อยน่าจะช่วยคลายความกดดันไปได้บ้าง
แต่สุดท้ายเขาก็ยังต้องกลับไปโรงเรียนอยู่ดี เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งตาคอยจะได้ไปโรงเรียน เขาสงสัยนักว่าเรื่องที่โรงเรียนสอนจะเหมือนกับที่คุณจางสอนหรือเปล่า
หลังมื้อเย็น หวังฟู่กุ้ยก็เข้ามาคุยกับเริ่นเสี่ยวซู่เสียงเบา “วันนี้ตอนออกไปหาซื้อของ มีเถ้าแก่ร้านคนหนึ่งพูดเรื่องที่ทำให้ฉันผวาไม่หายจนถึงตอนนี้เลย”
“ซึ่งก็คือ?” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“เถ้าแก่แกพลั้งปากออกมาว่าทำไมทุกคนถึงซื้อของเหมือนๆ กันหมด” หวังฟู่กุ้ยพูด “ฉันถามเถ้าแก่ว่าใครซื้อไป เขาก็บอกว่าเมื่อวานมีเด็กสาวคนหนึ่งมาซื้อของเหมือนฉันเลย และเขาก็โชคดีที่วันนี้สั่งของมาเติมพอดี ไม่อย่างนั้นคงไม่เหลือของให้ฉันซื้อแล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น ไม่ต้องคิดไปไหนไกล เด็กสาวคนนั้นอาจจะเป็นหยางเสียวจิ่นนั่นแหละ!
ทักษะการทำระเบิดของพวกเขาสองคนนั้นเหมือนกันเปี๊ยบ ดังนั้นถ้าคิดจะทำระเบิด อย่างไรก็ต้องการของเหมือนกัน
หยางเสียวจิ่นก็คงไม่คิดเหมือนกันว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังทำอย่างเดียวกันกับตัวเธอ
หยางเสียวจิ่นคิดกำลังจะทำอะไรกันแน่ เด็กสาวคนนี้คงไม่คิดจะระเบิดป้อมปราการทิ้งหรอกใช่ไหมน่ะ
แน่นอน ระเบิดจำนวนแค่นี้ไม่น่าระเบิดป้อมปราการได้ เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหยางเสียวจิ่นน่าจะเล็งบริษัทสาขาของบริษัทหัวจ่งในป้อมปราการ 109 ต่างหาก เขาพอรู้ว่าหยางเสียวจิ่นน่าจะเคยมีข้อหมางใจกับบริษัทหัวจ่งมาก่อน
เช้าวันต่อมา พวกเริ่นเสี่ยวซู่รีบร้อนขึ้นรถรางไปยังโรงเรียนมัธยมที่สิบสาม ตอนที่พวกเขาอยู่บนรถรางนั้น ก็สังเกตเห็นนักเรียนคนอื่นๆ เช่นกัน พวกเขาสังเกตได้ง่ายมาก เพราะนักเรียนทุกคนจะใส่เครื่องแบบสีฟ้าขาวเหมือนกันหมด
ตอนที่ถังโจวนำเอกสารสำหรับสมัครเรียนมาให้พวกเขา เขาก็บอกว่าเครื่องแบบของนักเรียนนั้นจะถูกส่งมอบให้พวกเขาตามขนาดตัวเมื่อถึงโรงเรียนแล้ว นักเรียนของเจียงอู๋นั้นมีชุดของตัวเองเรียบร้อย ขาดแต่เริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน และหวังต้าหลงเท่านั้นยังไม่ได้สวมเครื่องแบบโรงเรียน
ตอนนี้เจียงอู๋พักอยู่ในหอพักของคณะพร้อมกับนักเรียนของเธอ นับแต่ตอนนี้ไป พวกนักเรียนต้องขยันหมั่นเพียรและได้แต่พึ่งพาตนเอง เพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่อยู่ด้วยแล้ว
แต่ที่เริ่นเสี่ยวซู่คาดไม่ถึงเลยคือพวกนักเรียนเป็นน้ำหนึ่งน้ำใจเดียวกันมาก มีประสบการณ์เฉียดตายด้วยกัน ครอบครัวก็ไม่เหลือแล้ว สัญชาตญาณของพวกเขาจึงสั่งให้ปฏิบัติต่อเพื่อนฝูงเช่นครอบครัวตน
ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินนักเรียนหน้ารถรางคุยกัน “พวกนายได้ยินเปล่า เห็นว่ามีคนผู้อพยพเพิ่งเข้าป้อมปราการเรามาด้วยแหละ เห็นว่ามีคนขึ้นรถรางขบวนเดียวกันกับพวกเขา พอกลับบ้านไปก็ป่วยเลย แม่ฉันบอกว่าพวกผู้อพยพนำเชื้อโรคจากนอกป้อมเข้ามาแหละ”
นักเรียนคนอื่นว่า “พ่อฉันก็บอกเหมือนกันว่าให้พยายามหลบพวกผู้อพยพ”
“แต่ฉันว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย” นักเรียนหญิงคนหนึ่งว่าเสียงค่อย
“ใครจะไปรู้เล่า แม่ฉันบอกว่าเชื้อโรคที่ผู้อพยพเอาเข้าป้อมปราการมาเมื่อหลายปีก่อนทำคนป่วยไปไม่น้อย แถมคนตายอีกหลายสิบ ลองคิดดูสิว่าทำไมทุกคนถึงไม่อยากให้ผู้อพยพเข้ามานัก”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินก็ขมวดคิ้ววูบ แค่คืนเดียวทำไมข่าวแพร่ไปไวขนาดนี้ ว่าตามตรง ก่อนจะเข้าป้อมปราการมาเริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่าผู้อพยพจะไม่เป็นที่ต้อนรับขนาดนี้ และถึงจะไม่ต้อนรับจริง ก็คงเป็นเพราะผู้อพยพนั้นยากจนมากกว่า
ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่อง ‘เชื้อโรค’ เสียได้
ในเมืองน้อยก็ใช่ว่าจะเป็นแหล่งกักกันโรคเสียหน่อย เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ชอบใจมากที่ผู้อพยพถูกเรียกว่าเป็นพาหะนำโรค เขาเจอคนจากป้อมปราการมาตั้งเยอะ หลัวหลาน ถังโจว หยางเสียวจิ่น ลั่วซินอวี่ หลิวปู้ และพวกทหารกองกำลังส่วนตัวที่เดินทางไปด้วยกันอีก
แต่ก็ไม่มีใครป่วยตายเสียหน่อยนี่
ใครหนอตั้งใจแพร่ข่าวว่าผู้อพยพกำลังแพร่เชื้อโรคเข้าป้อมปราการ นี่ทำให้พวกเริ่นเสี่ยวซู่กลายเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงไปเสียแล้ว
หวังต้าหลงมองเด็กสาวบนรถรางไม่วางตา เหมือนกับที่คนอื่นๆ พูดนั้นไม่ใช่เรื่องของเขาอย่างไรอย่างนั้น
แต่เหยียนลิ่วหยวนอ่อนไหวกว่ามาก เขาขมวดคิ้วและกระซิบ “พี่ พวกเรามีเชื้อโรคจริงๆ งั้นเหรอ”
“ไม่มีหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่หน้า
“แล้วทำไมพวกเขาถึงพูดแบบนั้นล่ะ พวกเราควรไปตอบปฏิเสธหน่อยไหม” อารมณ์ดีๆ ที่ได้เข้าป้อมปราการมาแต่เดิมของเหยียนลิ่วหยวนนั้นถูกสิ่งรอบข้างกวนให้ขุ่นไปหมดแล้ว
“ปฏิเสธไปก็เท่านั้น” เริ่นเสี่ยวซ่า
“ทำไมล่ะพี่ พวกเขาใส่ร้ายเราอยู่นะ” เหยียนลิ่วหยวนไม่เข้าใจ
“ลิ่วหยวน คนสิบคนบอกว่าเราผิด แบบนั้นยังเรียกเป็นการใส่ร้ายอยู่หรือเปล่า”
“เป็นสิ ทำไมเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนตอบ
“งั้นถ้าคนร้อยคนบอกว่าเราผิด แบบนั้นยังเรียกว่าใส่ร้ายอยู่หรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถามต่อ
“…คิดว่าครับ” เหยียนลิ่วหยวนคิดตามพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ
“งั้นถ้าคนหมื่นคนพูดเรื่องแย่ๆ ของพวกเราล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “นั่นไม่ใช่การใส่ร้ายแต่คือความชอบธรรม”
“พี่” เหยียนลิ่วหยวนว่าเสียงค่อย “ถึงผมจะไม่ได้เป็นนักปรัชญาแบบพี่ก็เถอะนะ แต่ถ้าคนเป็นหมื่นใส่ร้ายเราจริง เพียงผมคิดว่าผมไม่ผิด ก็ถือว่าเป็นความชอบธรรมไม่ได้หรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “นายพูดถูกแล้ว”
นักเรียนที่อยู่บนรถรางพวกนี้จากได้รับอิทธิพลจากพ่อแม่มา พวกเขาถูกสอนว่าอย่ากล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องอย่างโง่งม และให้ ‘ฉลาด’ หน่อยตอนอยู่นอกบ้าน ทั้งยังสั่งไม่ให้ไปเกลือกกลั้วกับคนบางประเภทด้วย
ในความเป็นจริง มโนทัศน์ของนักเรียนพวกนี้ ก็เป็นเพียงส่วนขยายของจิตใจบิดามารดา ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงเข้าใจว่าชาวป้อมปราการส่วนใหญ่นั้นไม่ต้อนรับพวกเขาเลย แต่เขาก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าสถานการณ์จะกลายเป็นร้ายแรงกว่านี้หรือไม่
แต่ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องนั้นหรอก หลังจากได้รู้ว่าหยางเสียวจิ่นซื้อวัตถุดิบทำระเบิดชุดใหญ่ไป เขาก็สงสัยมากกว่าเธอคิดจะทำอะไรต่อ
แถมเริ่นเสี่ยวซู่มีความรู้สึกด้วยว่า ถ้ามีโอกาส อย่างไรก็ต้องพยายามหาจุดที่หยางเสียวจิ่นจะวางระเบิดให้ได้ เขาจะได้ไม่เผลอไปโดนระเบิดลูกหลงตาย…