The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 141 ปิดปากพยาน
ในป้อมปราการ 109 มีทั้งหยางเสียวจิ่น มีทั้งสมาคมตระกูลชิ่ง ไหนจะบริษัทหัวจ่งที่ตามล่าหาเลือดของผู้มีพลังพิเศษอีก เริ่นเสี่ยวซู่เกือบลืมไปแล้วว่าป้อมปราการนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของสมาคมตระกูลหลี่ เริ่นเสี่ยวซู่ละสงสัยนักว่า อะไรกันที่ดึงดูดคนพวกนั้นมาที่นี่ และอะไรที่ว่าคงกำลังเปิดเผยในอีกไม่ช้านี้แล้ว
จนถึงตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เคยเจอแค่ผู้ปกครองป้อมปราการที่ชื่อลู่หย่วนเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นคนจากสมาคมตระกูลหลี่เลย มีหรือที่สมาคมตระกูลหลี่จะไม่รู้ว่าในป้อมปราการกำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่มีทางหรอก!
แต่ทำไมสมาคมตระกูลหลี่ถึงไม่ปรากฏตัวมาในสถานการณ์เช่นนี้กัน มีคนจากต่างฝ่ายอำนาจรวมตัวกันที่นี่อย่างกับช่วงฤดูหาคู่ สมาคมตระกูลหลี่เป็นเจ้าบ้านก็ควรโผล่หน้ามาหน่อยไหม
ตอนนั้นเองนักเรียนบนรถรางก็พูด “อีกแค่ครึ่งปีก็จะสอบแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเราจะเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า”
“ฮาๆ ฉันยอมแพ้แล้วละ” นักเรียนที่ใส่ชุดสบายๆ กว่าคนอื่นๆ พูด ชายเสื้อหลุดนอกกางเกง ผมเผ้ายาวไม่น้อย ตอนที่พูดก็ปัดหน้าม้าไปด้านข้าง “หลังเรียนจบพ่อฉันอยากให้ฉันเข้าทำงานและค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไปที่โรงงาน”
“โรงงานครอบครัวนายทำอะไรนะ” มีคนถาม
นักเรียนผู้นั้นหัวเราะแล้วพูด “พวกเราทำเสื้อผ้าน่ะ ผ้าที่เข้าป้อมมาสิบเปอร์เซ็นต์เป็นวัตถุดิบของโรงงานครอบครัวฉัน พวกเราผลิตเสื้อผ้าเยอะเลย แถมยังส่งออกไปป้อมปราการอื่นด้วย”
“โคตรเจ๋ง!” นักเรียนอีกคนอุทาน “แต่ว่าเดี๋ยวนี้นอกป้อมไม่ค่อยปลอดภัยไม่ใช่เหรอ เสื้อผ้าที่ครอบครัวนายผลิตยังถูกส่งออกอยู่หรือเปล่า”
“ที่ว่านอกป้อมอันตรายเป็นเรื่องจริง เห็นพ่อฉันบอกว่าช่วงนี้พวกเราจะไม่ส่งออกสินค้าแหละ”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองพวกเขา จางจิ่งหลินเคยพูดว่า พวกอุตสาหกรรมปล่องควัน[1]ล้วนอยู่นอกป้อมปราการหมด ส่วนอุตสาหกรรมที่ไม่ผลิตมลพิษมากนักจะอยู่ในป้อมปราการ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้อยเปอร์เซ็นต์
บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ป้อมปราการอยู่รอดก็เพราะความทนทุกข์ทรมานของผู้อพยพข้างนอก ชีวิตนอกป้อมปราการไม่ต่างจากหุบเหวแห่งความทนทุกข์ ส่วนทุกอย่างในป้อมปราการคือความสงบสุขรุ่งเรือง
ผู้อพยพข้างนอกได้รับเพียงแต่ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบขั้นพื้นฐานที่สุด กระบวนการแปรรูปที่สูงกว่านั้นล้วนแต่ทำในป้อมปราการ ซึ่งหมายความว่า หากผู้อพยพต้องการของอะไร พวกเขาก็ต้องใช้เงินซื้อจากป้อมปราการนั่นเอง
สุดท้ายเงินที่ผู้อพยพหามาอย่างยากลำบากก็เวียนกลับเข้าสู่ป้อมปราการ สู่มือของเหล่าคนใหญ่คนโตแห่งองค์กร เป็นเกมง่ายๆ เพียงนั้น
จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่าคนส่วนใหญ่ในป้อมปราการมีคุณค่าอะไรนัก ทำไมองค์กรจำเป็นต้องสนับสนุนคนมากมายขนาดนี้กัน
ทว่ามันไม่ใช่อย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่คิด ผู้ที่อาศัยอยู่ในป้อมปราการนั้นอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เริ่มต้น แต่องค์กรหนึ่งใช่ว่าต้องเป็นองค์กรหนึ่งมาตั้งแต่แรกเริ่ม
กว่าองค์กรจะเติบโตเถลิงอำนาจ ประชากรส่วนใหญ่ในป้อมปราการก็เกิดวิถีการดำเนินชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว ต่อให้องค์กรอยากเปลี่ยนแปลง ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ง่ายๆ
ความแตกต่างระหว่างประชากรส่วนใหญ่ในป้อมปราการและผู้อพยพในเมือง ไม่ใช่อะไรเสียนอกไปจากที่ว่าผู้ที่เกิดในป้อมปราการนั้นชนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งด้วยซ้ำ
พวกนักเรียนที่อยู่ข้างหน้า น่าจะเป็นทายาทเศรษฐีของป้อมปราการ หวังต้าหลงเองก็นับว่าเป็นทายาทเศรษฐีของเมืองเหมือนกัน แต่ดูแล้วหวังต้าหลงน่าจะย่ำแย่กว่านักเรียนพวกนี้มากทีเดียว
ตอนนี้เด็กสาวสัมผัสได้ถึงการจ้องเขม็งสำรวจของหวังต้าหลง เธอเลยจ้องตาเขากลับ แต่กระนั้นหวังต้าหลงก็ไม่หลบตาแม้แต่น้อย เขาเพ่งสมาธิมองเธอสุดๆ
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินพวกนักเรียนเปลี่ยนเรื่องคุยกัน “ได้ยินหรือเปล่า เห็นว่ามีนักเรียนใหม่ย้ายมาม.6/2 แน่ะ”
“เด็กสาวคนนั้นใช่ไหม” เด็กผู้ชายอีกคนสนใจขึ้นมาทันที “สองวันที่แล้วฉันเห็นเธออยู่ไกลๆ ด้วยแหละ เห็นว่าเธอย้ายมาจากโรงเรียนอื่น”
“แต่เธอสวมหมวกตลอดเลย ฉันเลยไม่เห็นหน้าเธอ”
เด็กสาวที่ทำให้ให้พวกผู้ชายสนใจคุยได้ต้องสวยระดับหนึ่งแน่
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ได้ได้ยินบทสนทนากำลังเกิดลางสังหรณ์…
ตอนนั้นเอง คนขับรถรางก็ตะโกนมาจากหน้ารถ “ถึงโรงเรียนมัธยมที่สิบสามแล้ว!”
เริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลงลงรถราง โรงเรียนห่างจากร้านแค่สี่ป้ายสถานีเท่านั้น เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดอยู่ว่าต่อไปเดินมาโรงเรียนแทนดีกว่าไหม
จากนั้นเหยียนลิ่วหยวนก็เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ชะงักเท้า เขาหันกลับไปมองแล้วก็ประหลาดใจที่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังจ้องตากับเด็กสาวสวมหมวกผู้หนึ่ง
เริ่นเสี่ยวซู่พอเดาได้อยู่แล้วตั้งแต่อยู่บนรถราง แต่ไม่คิดว่าตัวเขาจะมาเจอหยางเสียวจิ่นทันทีเลย! แทนที่จะเจอหน้าแล้วถามสารทุกข์สุกดิบกัน เริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นกลับเอื้อมมือไปที่เอวเตรียมชักปืนออก แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็พลันนึกได้ว่ามาที่นี่เพื่อเข้าเรียน
จริงๆ แล้วตรงที่เอวของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ห้อยซองปืนไว้ แต่เก็บมันไว้ในช่องเก็บของของพระราชวังห้วงจิตต่างหาก
เหยียนลิ่วหยวนงุนงง เด็กสาวสวมหมวกคนนี้คือคนเดียวกับที่อยู่กับดาราชื่อลั่วซินอวี่เมื่อตอนนู้นนี่ ทำไมถึงโผล่มาอยู่ที่นี่ได้ แถมยังทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ตระหนกได้ถึงขนาดนี้อีก
เริ่นเสี่ยวซู่พลันความคิดวาบ เหมือนเขาจะสัมผัสได้ว่าหยางเสียวจิ่นเองก็ประหลาดใจ มิหนำซ้ำคิดจะปิดปากเขาด้วย!
เริ่นเสี่ยวซู่พอเดาออกว่าทำไมหยางเสียวจิ่นถึงมีปฏิกิริยาตอบรับแบบนี้ ดูแล้วหยางเสียวจิ่นก็คือนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาที่พวกนักเรียนพูดถึงนั่นแหละ
หลังจากออกมาจากเขาจิ้งซาน เด็กสาวผู้นี้ก็พุ่งตรงมาป้อมปราการ 109 เลย ทั้งยังเข้ามาแบบตรงๆ เลยด้วย
จะเข้าป้อมปราการมาได้ ก็พอดูรู้ว่าเป็นผลจากพลังพิเศษของลั่วซินอวี่ แต่พลังนั้นไม่น่าช่วยให้หยางเสียวจิ่นเข้าโรงเรียนมาได้หรอก! ใครจะไปมีพลังพิเศษที่เจ๋งขนาดนั้น
อย่างนั้นแสดงว่าองค์กรของเธอนั้นแทรกซึมเข้ามาในป้อมปราการได้แล้ว ถ้าสืบจากเอกสารเข้าเรียนของหยางเสียวจิ่น ก็น่าจะเสาะหาได้ว่าใครลอบสนับสนุนเธออยู่ในป้อมปราการ 109
ถึงพวกเขาจะเคยเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกัน ทั้งยังเคยจับมือเป็นพันธมิตรชั่วคราวด้วย กระนั้นความสัมพันธ์พวกเขาก็ใช่ว่าจะดี ว่าตามตรง เป็นเรื่องธรรมดามากที่หยางเสียวจิ่นจะมีปฏิกิริยาแบบนั้น เพื่อปกป้องตัวเธอเองและเพื่อนร่วมองค์กร
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกท้อแท้ใจอยู่หน่อยๆ เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอเด็กสาวสวมหมวกแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ทราบว่าเขารู้ว่าโน้ตนั่นเป็นฝีมือของใคร
พวกเขาชะงักงันกันอยู่หน้าประตูโรงเรียน นักเรียนไม่น้อยเดินผ่านไปด้วยสายตางุนงง ในเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าทำแบบนี้ไปก็ไม่ถึงไหน เขาจึงคิดจะถอยให้ก่อน
เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นจากเอวเพื่อแสดงว่าไม่ได้ถือปืนไว้อยู่ หยางเสียวจิ่นมองเขาอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ยังไม่คลายมือออก เริ่นเสี่ยวซู่มองคนเดินข้างถนน ก่อนจะลองคุยเพื่อคลายสถานการณ์ “คืนมีดฉันมา”
หยางเสียวจิ่นเลิกคิ้ว ว่าตามตรง เธอไม่คิดเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ตอนนั้นเองก็มีนักเรียนกลุ่มใหญ่เดินมา พอพวกเขาเห็นหยางเสียวจิ่นก็เอ่ยทักทาย “ไง ยืนทำอะไรตรงนี้น่ะ”
หยางเสียวจิ่นค่อยๆ ชี้ไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ “เขาคิดจะปล้นฉัน”
เริ่นเสี่ยวซู่โพล่ง “ฮะ!?”
[1] อุตสาหกรรมปล่องควัน (smokestack) คืออุตสาหกรรมการผลิตหนักแบบดั้งเดิมที่ผลิตสินค้าขนาดใหญ่หรือปัจจัยการผลิตในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตัวอย่าง ได้แก่ รถยนต์ การต่อเรือ เหล็กกล้าและโลหะอื่นๆ เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรกลหนัก อุตสาหกรรมประเภทนี้มีแนวโน้มว่าจะก่อให้เกิดมลพิษอย่างมาก จึงมีนิยามว่า smokestack