The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 153 จัดไป คัดลอกทักษะประตูเงา!
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 153 จัดไป คัดลอกทักษะประตูเงา!
เริ่นเสี่ยวซู่ให้ความเคารพบุคคลในสายอาชีพครูอย่างสูงเพราะความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์ทั้งสองคนอย่างจางจิ่งหลินและเจียงอู๋
เขายืนขึ้นแล้วพูดอย่างซื่อตรง “ครูครับ ผมไม่รู้วิธีทำคำถามบนกระดานเพราะโรงเรียนที่เมืองไม่มีสอน ผมเพิ่งเริ่มเรียนตามหลักสูตรของม.4 เอง”
“ไม่เป็นไร” ครูคณิตศาสตร์พยักหน้า “เลิกส่งโน้ตกันไปมาในห้องได้แล้ว ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ก็เข้ามาถามครูที่ห้องพักครูได้ ห้องของครูอยู่ที่ชั้นสาม”
“ขอบคุณครับคุณครู” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างสุภาพ
“นั่งลงได้ครับ” ครูคณิตศาสตร์ยิ้ม
จริงๆ แล้ว คนส่วนใหญ่ในป้อมปราการจะหยุดเรียนหลังจากจบมัธยมหก เพราะมหาวิทยาลัยในป้อมปราการไม่ใหญ่นัก แถมจำนวนรับนักศึกษาก็มีจำกัด นักเรียนกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จึงไม่มีโอกาสจะศึกษาต่อ
หลังจากนักเรียนเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมปลาย ถ้าพวกเขาตัดสินใจไม่เริ่มทำงานเลยก็จะไปต่อโรงเรียนสายอาชีพเพื่อเรียนวิชาเครื่องกล การเกษตร การขุดค้น วิชาทำอาหาร หรืออื่นๆ
หลังจบการศึกษา พวกเขาก็จะกลายเป็นรากฐานของป้อมปราการต่อไป
ในป้อมปราการมีห้องทดลองระดับสูงอยู่ มหาวิทยาลัยเองก็ทำการวิจัยในหลายๆ ศาสตร์วิชา นักศึกษามหาวิทยาลัยในป้อมปราการในสมัยนี้นั้นเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากเพราะเป็นตัวแทนโครงสร้างความรู้แห่งป้อมปราการ
แต่สังคมที่สมบูรณ์ จะมีแต่โครงสร้างส่วนบนคงไม่ได้ ต้องมีโครงสร้างส่วนล่าง[1]ด้วย
พวกผู้อพยพต้องทำงานพื้นฐานอย่างทำไร่นา ขุดเหมือง และงานใช้แรงงานต่างๆ และคนในป้อมส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานพื้นฐานอย่างการทำความสะอาด ดูแลต้นไม้ และอื่นๆ
คาบที่สอง เจียงอู๋ก็เดินเข้ามา วิชาที่เธอสอนคือภาษาจีน แต่ปกติแล้ววิชาภาษาจีนจะเป็นคาบที่สามหรือสี่ ในยุคสมัยนี้ วิชาฟิสิกส์ เคมี และคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่สำคัญที่สุด
เจียงอู๋ยืนอยู่หน้าแท่นสอนแล้วพูด “ทุกคนเงียบก่อน พวกเธอก็รู้ใช่ไหมว่าชั้นเรียนพวกเราเพิ่งจัดตั้งขึ้น พวกเรายังขาดหัวหน้าห้อง คณะกรรมการนักเรียน[2] และตัวแทนที่รับผิดชอบดูแลในแต่ละรายวิชา งั้นพวกเรามาใช้คาบนี้ลงเสียงกันดีกว่า ”
นักเรียนที่ชื่อจูเผยหยวนหัวเราะแล้วว่า “ไม่ต้องลงเสียงกันหรอกครับ ให้เริ่นเสี่ยวซู่เป็นหัวหน้าห้องไปเลย”
หลังจากเพิ่งผ่านเหตุการณ์ครั้งล่าสุดมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนักเรียนกับเริ่นเสี่ยวซู่ก็สนิทสนมกันมาก และทุกคนต่างให้การยอมรับเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าจะเลือกใครสักคนมาเป็นหัวหน้าห้อง ย่อมต้องเลือกเริ่นเสี่ยวซู่อยู่แล้ว
ทันใดนั้นเองก็มีคนพูดหยอกเย้า “เริ่นเสี่ยวซู่ไหน”
“ฮ่าๆ ก็เลือกพวกเขาสองคนโลด ผู้ชายเป็นหัวหน้าห้อง ผู้หญิงเป็นคณะกรรมการนักเรียน แบบนี้จะได้แยกกันง่ายๆ หน่อย ต่อแต่นี้ไปก็เรียนพวกเขาว่าหัวหน้าห้องเริ่นเสี่ยวซู่กับกรรมการเริ่นเสี่ยวซู่แล้วกัน” นักเรียนร่วมห้องหญิงที่ชื่อเปียนหลิงเฉินพูดอย่างมีไหวพริบ
“งั้นตามนั้นเลยนะจ๊ะ?” เจียงอู๋ส่งยิ้มให้ทุกคน
“ครับ/ค่ะ ตามนั้นเลย!” นักเรียนทุกคนเห็นพ้อง
เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ท้ายห้องกำลังสงสัยอยู่ว่าหัวหน้าห้องจะได้เงินสนับสนุนเพิ่มไหม และทุกคนก็ตัดสินใจกันเองโดยไม่ถามความเห็นเขาเลย
หยางเสียวจิ่นกลับมาสวมหมวกตัวเองแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่หันไปหาเธอแล้วกระซิบ “หน้าที่ของหัวหน้าห้องกับกรรมการนักเรียนคืออะไรเหรอ”
“หน้าที่เคี่ยวเข็ญให้ทุกคนตั้งใจเรียนน่ะสิ” หยางเสียวจิ่นตอบสั้นๆ เธอรู้สึกว่าตอบไปก็เท่านั้น ในความเป็นจริงไม่ว่าจะหัวหน้าห้องหรือกรรมการนักเรียนก็ไม่ใช่หน้าที่สำคัญทั้งนั้นแหละ แต่เธอคร้านจะอธิบายให้เริ่นเสี่ยวซู่ฟัง ทว่าหยางเสียวจิ่นไม่รู้เลยว่าคำพูดของเธอนั้นได้นำหายนะตกใส่หัวเพื่อนร่วมห้องเสียแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เห็นว่าวันนี้หยางเสียวจิ่นจะสนใจเรียนสักวิชาเลย เขาละสงสัยนักว่าเด็กสาวคนนี้จะเข้าเรียนมาทำไม หรือว่าเป้าหมายของเธอซ่อนตัวอยู่ในโรงเรียนกัน แต่คงไม่ใช่แบบนั้น เพราะถ้าเธอคิดสังหารคนในโรงเรียนจริง ด้วยนิสัยตรงไปตรงมาของเธอ คงลงมือไปตรงๆ เลย ซึ่งไม่น่าเป็นเรื่องยากสำหรับเธอด้วย ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงได้แต่สงสัยอยู่เรื่อยไป
หลังเลิกเรียน หยางเสียวจิ่นลุกเป็นคนแรกและออกห้องไปก่อนใคร เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตามไปเงียบๆ
ทันใดนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดดีๆ เขากะจะดูเสียหน่อยว่าหยางเสียวจิ่นพักที่ไหน และที่ว่านั่นอยู่ใกล้เขาหรือเปล่า
อย่างไรเด็กสาวคนนี้ก็ซื้อวัตถุดิบทำระเบิดไปแล้ว ถ้าเกิดว่าเธอต้องปะทะกับบริษัทหัวจ่งขึ้นมา อย่างน้อยเขาจะได้รู้ว่าที่ไหนไม่ควรไป
แต่หยางเสียวจิ่นเดินไปที่ห่างไกลเรื่อยๆ ตอนที่เธอมาถึงตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นหยางเสียวจิ่นหันมาส่งยิ้มให้ พริบตาต่อมาก็มีประตูเปิดออกจากเงาในตรอกและมีมือหนึ่งยื่นออกมา
เป็นลั่วซินอวี่มารับหยางเสียวจิ่น!
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไป ถ้าใช้วิธีนี้แทนนั่งรถราง คงจะประหยัดเงินไปได้เยอะเลย!
ก่อนหน้าที่ลั่วซินอวี่พาหยางเสียวจิ่นไปจากบนดาดฟ้า ตอนนั้นเขาตั้งตัวไม่ทัน พอพลับมาถึงบ้านเขารู้สึกเสียดายหน่อยๆ ไม่สร่าง ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่ใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะใส่ลั่วซินอวี่นะ
รอบนี้เริ่นเสี่ยวซู่จะไม่พลาดโอกาสอีก
เขาพูดในใจ ใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานกับขั้นไร้ที่ติ!
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มีคัมภีร์แค่สองม้วน เขาใช้รวดเดียวเลยเผื่อคัดลอกพลังพิเศษไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้ทักษะระดับปรมาจารย์อื่น
เสียงจากพระราชวังดังขึ้น [ท่านสุ่มคัดลอกทักษะแคะจมูกระดับสูงจากเป้าหมาย ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]
เรียนกะผีสิ!
เริ่นเสี่ยวซู่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ขอมีทักษะธรรมดาๆ หน่อยได้ไหมเนี่ยสองคนนี้! ทำไมดาราชื่อดังแบบเธอถึงมีทักษะแปลกๆ แบบนี้ได้ฟะ! มีทักษะแคะจมูกระดับสูงแล้วทำให้จมูกสะอาดขึ้นงั้นสิ เป็นแบบนั้นสินะ!
แต่เขายังมีอีกโอกาสหนึ่ง ผลจากคัมภีร์คัดสอกทักษะขั้นไร้ที่ติยังไม่ออกมา!
ทันใดนั้น ก่อนที่เงาร่างของหยางเสียวจิ่นจะหายไปอย่างสิ้นเชิง…
[กำลังดำเนินคัดลอกทักษะระดับปรมาจารย์จากเป้าหมาย หลังจากคัดลอกทักษะระดับปรมาจารย์มาแล้ว แต่ท่านไม่มีทักษะระดับสูงของทักษะนั้น ท่านจะไม่สามารถเรียนรู้ได้]
[เป้าหมายมีทักษะระดับปรมาจารย์และสูงกว่าเป็นจำนวนมาก สุ่มคัดลอกพลังพิเศษจากเป้าหมาย ‘ประตูเงา’ ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]
หยางเสียวจิ่นหายตัวไปแล้ว จึงไม่ทันเห็นท่าทางดีใจของเริ่นเสี่ยวซู่ ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ปลื้มปริ่มสุดๆ ไปเลย!
พูดตามตรง ลั่วซินอวี่น่าจะมีทักษะระดับปรมาจารย์ไม่น้อย แม้กระทั่งทักษะระดับไร้ที่ติก็คงมี ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสน้อยมากที่จะสามารถคัดลอกพลังพิเศษเธอมาได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้พลังพิเศษที่สองมาจริงๆ!
พลังร่างแยกเงานั้นเรื่องพลังไม่ต้องพูดถึง แต่พลังที่ได้รับมาใหม่นี้มีแต่จะสำคัญกว่า
เริ่นเสี่ยวซู่ลองใช้พลังใหม่ในทันที ทันใดนั้นก็มีประตูเงาสองบานปรากฏเบื้องหน้า หนึ่งเป็นทางเข้า อีกหนึ่งเป็นทางออก
จุดบกพร่องเดียวคือเริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าจะเปิดประตูทางออกไปยังสถานที่ที่แน่นอนอย่างไร ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งได้รับพลังมาก็เป็นได้
จุดทางออกตรงหน้าเขานั้นไม่เหมือนกับที่เขาจินตนาการไว้ เขาอยากให้มันเปิดทางซ้าย แต่ของจริงกลับโผล่ทางขวา
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ!
เริ่นเสี่ยวซู่มีความสุขมากกับภาพตรงหน้า มีเจ้านี่ เขาก็สามารถพาพวกเหยียนลิ่วหยวนเข้าๆ ออกๆ ป้อมปราการได้ตามใจแล้ว!
เขาลองเดินเข้าประตูไป แต่กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น…
เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าตัวเอาแขนตัวเองทะลุผ่านไปได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น!
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่แล้ว!” เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไป แวบเดียวก็ลองไปนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะลองอีกกี่ครั้ง เขาก็เอาเข้าประตูไปได้แค่ครึ่งแขน!
หรือเป็นเพราะตอนเขาใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะตอนลั่วซินอวี่โผล่มาแค่ครึ่งแขน?
พระราชวังไม่น่าจะย่ำแย่ขนาดนั้นมั้ง ทำไมคนอื่นเข้าๆ ออกๆ ได้ตามใจ แต่ฉันเอาเข้าได้แค่ครึ่งแขนล่ะเฟ้ย ถ้าเกิดเจออันตรายให้ทำไง ให้แขนฉันหนีไปก่อนงั้นสิ?!
[1] ข้อวิจารณ์สำคัญของมาร์กซตั้งอยู่บนฐานความคิดเรื่องโครงสร้างส่วนบน (superstructure) และโครสร้างส่วนล่างหรือฐาน (base) โครงสร้างส่วนบนคือสิ่งที่เป็นอุดมคติ – มิติของวัฒนธรรม เช่น กฎหมาย ศาสนา วรรณกรรม ความคิดและความเชื่อ ซึ่งล้วนเป็นผลผลิตที่สัมพันธ์กับชีวิตหรือระบบเศรษฐกิจพื้นฐาน (base) (putnark, 2018)
[2] คณะกรรมการนักเรียน (学习委员) ในที่นี่เป็นคนละบริบทกับไทยเรา ไม่ได้มีหน้าทีบทบาทในการบริหารกิจการนักเรียน แต่หมายถึงตัวแทนที่รับผิดชอบเรื่องการเรียน (commissary in charge of studies) ปกติในชั้นเรียนจีน จะมีคณะกรรมการนักเรียนประมาณ 3-6 คนในแต่ละห้อง จะดูแลเรื่องเรียนของเพื่อนนักเรียนในห้องตัวเอง เช่นรวบรวมข้อคิดเห็นเกี่ยวกับวิชา แจกจ่ายชีทเรียน และอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วนักเรียนที่ได้รับหน้าที่นี้จะเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งเป็นระดับท็อปของห้อง