The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 195 เคารพผู้ชราดูแลผู้เยาว์
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 195 เคารพผู้ชราดูแลผู้เยาว์
พอเหยียนลิ่วหยวนตะโกนเรียกเริ่นเสี่ยวซู่ คนที่ตอนแรกไม่ได้หันมองเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปมองเช่นกัน
กลุ่มเหล่าผู้หลบหนีไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกลุ่มของเหยียนลิ่วหยวนไม่ขี่จักรยานไปเลย กลับเข็นไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยี่หระอย่างนี้ ตอนนี้ทุกคนได้รู้แล้วว่าที่พวกเขาไม่รีบถีบจักรยานหนี เป็นเพราะกำลังรอคนผู้หนึ่งอยู่
แต่ชายหนุ่มที่กำลังเดินฝ่าแดนหิมะเย็นยะเยือกนั้นหายไปไหนมา เขาคงไม่ใช่เพิ่งออกมาจากป้อมปราการใช่ไหม อย่างไรตอนนี้ในป้อมปราการก็เต็มไปด้วยตัวทดลองแสนน่ากลัว เขาจะหนีออกมาจากที่นั่นได้อย่างไร พวกตนน่าจะเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่หนีออกมาได้แล้วสิ
ทันใดนั้นเด็กสาวคนหนึ่งก็รู้สึกคุ้นหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ขึ้นมา นั่นมันเจ้าเด็กเวรที่ทำให้คะแนนสอบเธอต่ำต้อยเรี่ยดินนี่! เด็กสาวคนนี้คือหลีโมที่นั่งหลังเริ่นเสี่ยวซู่ช่วงสอบปลายปลายภาค หลังจากสอบเสร็จ เธอก็กะไปจัดการเริ่นเสี่ยวซู่ที่ห้อง แต่ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่แล้ว แถมนักเรียนในห้องเจ็ดทำเอาเธอเดือดปุดๆ ที่พูดอยู่ได้ว่าการห้ามเธอไม่ให้ล้างแค้นเริ่นเสี่ยวซู่นั้นเป็นการปกป้องตัวเธอเอง!
ท่ามกลางหมู่ผู้หลบหนีแน่นขนัด เธอเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ย่างกรายมาจากแดนรกร้าง ไม่รู้ทำไม แต่เธอคิดว่าที่ห้ามไม่ให้เธอล้างแค้นนั้นเป็นการพูดอย่างสัตย์จริง ไม่ได้คิดจะกวนโมโหเธอแม้แต่น้อย
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เดินผ่านฝูงชนไป เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตามากมายจับจ้องมา แต่เขาก็ไม่สนใจอะไร เขาเดินฝ่าหิมะมาตั้งนานแถมเกือบหลงทางอีก ไม่ใช่ว่าทักษะการเอาตัวรอดในแดนรกร้างของเขาไม่ดี แต่ท่ามกลางพายุหิมะแบบนี้ เขาหาจุดสังเกตสายตาไม่เจอเลยต่างหาก ที่เจอเหยียนลิ่วหยวนกับพรรคพวกได้เป็นเพราะพึ่งสันชาตญาณด้านทิศทางอันแกร่งกล้าล้วนๆ!
เขาน่าจะสมองไวกว่านี้และขอติดรถพวกหยางเสียวจิ่นไป ชีวิตเขาจะได้ไม่ลำบากยากเย็นเช่นนี้
เริ่นเสี่ยวซู่มานั่งข้างกองไฟ เหยียนลิ่วหยวนรีบส่งน้ำร้อนกับโจ๊กให้ “พี่ ช่วยเจ้าแคว้นอิตถีไว้ได้เปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก “เจ้าแคว้นอิตถีนี่ใคร”
เหยียนลิ่วหยวนหัวเราะ “พี่เสียวจิ่นไง”
เริ่นเสี่ยวซู่ “???”
เดี๋ยวก่อน หยางเสียวจิ่นไปเป็นเจ้าแคว้นอิตถีตอนไหน! เริ่นเสี่ยวซู่หันขวับไปมองเฉินอู๋ตี๋ “นายเป็นคนเรียกฉายาเธอแบบนั้นสินะ เลิกพูดมั่วซั่วสักที”
เฉินอู๋ตี๋หัวเราะคิกคัก “ชื่อจริงอาจเรียกผิดได้ แต่ฉายาจะเรียกผิดได้หรือ”
เหยียนลิ่วหยวนตีหน้าตาย เล่าเรื่อง ‘จื่อเสีย’ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้เริ่นเสี่ยวซู่ฟัง เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “อู๋ตี๋ ต่อไปนายยังจะตามหาจื่อเสียอยู่หรือเปล่า”
เฉินอู๋ตี๋หน้าแข็งค้างไป “จื่อเสีย? ใครกันน่ะนั่น”
“อ้อ นายลืมเรื่องเธอไปหมดแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ที่นายเปลี่ยนฉบับเรื่องเล่าของตัวเองได้นี่ก็น่าสนุกดีเหมือนกันนะเนี่ย นี่ ก่อนหน้านี้นายยังจะยืนกรานตามหาจื่อเสียอยู่เลยไม่ใช่เหรอไง”
เฉินอู๋ตี๋พูดเสียงเข้ม “อาจารย์ ข้าปัญญาอ่อน ไม่ได้โง่”
เริ่นเสี่ยวซู่พิจารณาสองคำนั้นอยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายก็แยกไม่ออกว่าแตกต่างกันอย่างไร
ตอนนั้นเอง ก็มีหญิงชราเดินจูงมือเด็กคนหนึ่งเข้ามา เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง เขาคิดว่าพวกเธอเข้ามาขออิงไฟให้ความอบอุ่น แบบนั้นเขาแบ่งพื้นที่ให้ได้ ข้างนอกนี่หนาวมาก อย่างไรพวกเธอก็เป็นแค่เด็กกับคนชรา
แต่หญิงชราเข้ามาถึง เธอก็กล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “พวกเธอสมควรแบ่งอาหารให้เด็กกับคนแก่ด้วย ฉันสังเกตมาพักใหญ่แล้ว ในฐานะที่เป็นคนหนุ่มสาว ก็ควรจะมีคุณธรรมเคารพผู้ชราดูแลผู้เยาว์หน่อยสิ พ่อแม่สอนมายังไงกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก บอกตามตรง เขาไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องหักมุมแบบนี้ ตอนอยู่เมืองน้อยของผู้อพยพ ไม่เห็นจะมีใครพูดถึงเรื่องเคารพผู้ชราดูแลผู้เยาว์อะไรนั่นเลย อย่างกับผู้อพยพจะมาถกกันเรื่องคุณธรรมอะไรเถือกนั้นได้อย่างนั้นแหละ! ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าจะมีคนทำตนเป็นผู้มีคุณธรรมมาขอแบ่งอาหารให้คนชรากับเด็กแบบนี้
ยิ่งตอนนี้ตกดึกด้วยแล้ว อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว จะให้คนแก่คอยพาเด็กๆ หนีนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าหญิงชราผู้นี้มาขอแบ่งอาหารดีๆ เริ่นเสี่ยวซู่คงให้ไปแล้ว แต่พออีกฝ่ายพูดมาแบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็อดเกิดความรู้สึกขยักขย้อนไม่ได้ พูดตามตรง เขาไม่เข้าใจเลยว่าคนแบบเธอหนีรอดจากในป้อมปราการมาได้อย่างไร
เด็กที่มากับเธอชี้ไปที่มงคลทองที่อยู่บนหัวของเฉินอู๋ตี๋ “คุณย่า อยากได้อันนั้น”
เหยียนลิ่วหยวนพูดล้อ “ของมันถอดไม่ได้หรอก”
“ไม่สน อยากได้ อยากได้!” เด็กคนนั้นร้องเอาแต่ใจ
หญิงชราจ้องเฉินอู๋ตี๋ “ให้หลานฉันเล่นที่คาดผมนายสักแปปจะเป็นอะไร แล้วชายฉกรรจ์ที่ไหนเขาใส่ที่คาดผมกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะเสียงดัง จากนั้นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ พวกเธอก็ว่า “คนพวกนี้เป็นอะไรกัน ให้เด็กเล่นนิดเล่นหน่อยไม่ได้” พูดแล้วเธอก็ดึงกิ๊บติดผมออกมาให้เด็ก “อะ เอากิ๊บของป้าไปเล่นก่อนนะ”
แต่เด็กก็โยนกิ๊บติดผมลงกับพื้น กรีดร้องลั่น “ไม่อยากได้ของป้า อยากได้ของเขา”
เริ่นเสี่ยวซู่โยนฝืนอีกสองท่อนเข้าไปในกองไฟ ก่อนจะยิ้มพูดว่า “ไสหัวไปตอนที่ฉันกำลังอารมณ์ดีดีกว่า โลกเป็นแบบนี้ ยังกล้ามาสั่งสอนคนอื่นอีกเหรอ ฉันว่าพวกเธอไม่น่ารอดไปถึงป้อมหน้า”
หญิงชราพูดด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง “ฉันเป็นคนสายตระกูลรองของตระกูลหลี่ ต่อให้เราจะเสียไปป้อมหนึ่ง ยังไงอีกไม่นานสมาคมตระกูลหลี่ต้องส่งคนมารับเราแน่ อย่าคิดจะทำอะไรตามใจไร้ขื่อแป”
“ไสหัวไป” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเรียบ
พอเด็กชายเห็นสีหน้าเรียบสนิทของเริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดกลัวขึ้นมา รีบไปหลบหลังหญิงชราแล้วว่า “คุณย่าไปกันเถอะ ผมกลัว”
พูดจบเขาก็ลากหญิงชรากลับเข้าไปในฝูงคน ราวกับเขาอยากถอยห่างจากเริ่นเสี่ยวซู่ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ส่วนหญิงชราที่โดนหลานลากจูงไปนั้นยังอ้าปากสบถพวกเขาไม่หยุด
เฉินอู๋ตี๋สงสัย “อาจารย์ ทำไมโลกนี้ถึงมีคนเช่นนางด้วย”
มองอย่างไรหญิงชราก็เป็นฝ่ายผิด แต่กลับทำว่าตัวเองมีคุณธรรมสูงส่งแถมใช้ความอาวุโสพูด ‘เคารพผู้ชราดูแลผู้เยาว์’ อีก
เริ่นเสี่ยวสู่ถอนหายใจ “อู๋ตี๋ ฉันรู้ว่านายอยากเป็นวีรบุรุษผู้ผดุงความยุติธรรม แต่ถ้านายคิดว่าทุกคนบนโลกมีจิตใจที่ดีล่ะก็ แสดงว่านายยังไม่เคยเจอทุกคนยังไงล่ะ”
“พี่ พวกเราจะไปที่ไหนต่อเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนพูด “ถ้าขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ก็เข้าเขตสมาคมตระกูลชิ่งนะ ชาวป้อมปราการยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าอยู่ไหนกันแน่ ต่อให้ทางสมาคมส่งคนมาช่วยจริงๆ ก็คงหาไม่เจอหรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่คิด และตอบว่า “ไปป้อม 88 กัน”
“ป้อม 88” เหยียนลิ่วหยวนนิ่งไป “เป็นเขตของใครน่ะ แล้วทำไมเราถึงควรไปที่นั่น”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วว่า “อืม ฉันรู้จักเพื่อนอยู่ที่นั่น ถ้าเราไปป้อม 88 พวกเราคงได้สถานะพลเมืองของป้อมปราการไม่ยาก แถมยังส่งนายไปโรงเรียนได้ด้วย”
หลังจากคุยกับชิ่งเจิ่น หยางเสียวจิ่น และหลัวหลานแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่อยากศึกษาเกี่ยวกับโลกเพิ่มเติ่มมาก เห็นหยางเสียวจิ่นพูดว่าในป้อมปราการ 88 มีห้องสมุดขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง เขาอาจจะไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนอีก
“อืม แล้วแต่พี่เลย” เหยียนลิ่วหยวนถามต่อ “แล้วป้อม 88 ไปทางไหนอะพี่”
ดั่งสายฟ้าฟาดกลางหัวเริ่นเสี่ยวซู่ นั่นสิ ป้อมปราการ 88 ไปทางไหน!