The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 199 เจียงอู๋! ปลุกพลัง!
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 199 เจียงอู๋! ปลุกพลัง!
ผู้หลบหนีที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาสองวันราวกับตกอยู่ในมนต์สะกด พอได้ยินคำว่า ‘อาหาร’ ต่างก็เฮโลไปหาพวกเจียงอู๋
พวกเขาสังเกตกลุ่มพวกเธอมานานแล้ว ถึงกลุ่มของเจียงอู๋ดูจะมีสายสัมพันธ์อันดีกับพวกเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ว่าสองกลุ่มนี้ก็ดูแยกจากกัน ตอนกินอาหารสองกลุ่มก็นั่งแยกกันไม่ใช่หรือ
พวกเขาไม่รู้เลยว่าที่เจียงอู๋พยายามพึ่งพาตัวเอง เพราะจะได้ไม่เป็นภาระกับกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่
พอฝูงชนเร่งไปหาเจียวอู๋กับพวกนักเรียน เฉินอู๋ตี๋ก็ก้าวออกไปจะขัดขวาง ท่านอาจารย์สั่งเขาปกป้องแคมป์ ต่อให้ต้องเผชิญทัพนับล้านเขาก็พร้อมต้าน!
สำหรับเฉินอู๋ตี๋ คนตรงหน้าไม่ใช่ผู้หลบหนีแต่เป็นฝูงมารร้าย ในสายตาของเขา ใบหน้าของคนพวกนี้แปรเปลี่ยนเป็นเงาดำ องคาพยพไม่ชัดเจน มือเท้ากลายเป็นดั่งกรงเล็บสัตว์
ทว่า…ก่อนที่เฉินอู๋ตี๋จะทันได้ไปขวางตรงหน้าเจียงอู๋ เขาก็เห็นเธอเจอยกปืนพกยิงเข้าไปในกลุ่มคนอย่างเด็ดเดี่ยว
สีหน้าของคนที่กำลังพุ่งไปหาเธอแข็งค้างไป มีคนโดนยิงอย่างไม่ทันคาดคิดจนล้มลงกับพื้น ใบหน้าที่ล้มลงยังเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ หลังจากเหยื่อถูกยิงทะลุหัวใจ เลือดก็พุ่งออกจากรอยแผล เปลี่ยนแก้มเรียบเนียนของเจียงอู๋เป็นสีแดงฉาน
กระนั้นพวกนักเรียนก็ไม่รู้สึกว่าภาพนี้น่ากลัวอะไร สำหรับพวกเขา คราบโลหิตนี้ไม่ต่างจากดอกเหมยบานสะพรั่งกลางหิมะ
ฝูงคนได้ยินเสียงยิงปืนจนตระหนกตกใจและล่าถอย เจียงอู๋ยังไม่ลดปืนพกลง ลมหายใจหอบถี่ จิตใจตกในภวังค์
เริ่นเสี่ยวซู่ยืนมองสถานการณ์คลี่คลายอยู่ด้านข้าง โลกใบนี้บีบบังคับให้คนจิตใจดีอย่างเจียงอู๋ต้องยิงปืนสังหารคน
เสี่ยวอวี้เดินไป จากนั้นก็ค่อยๆ ปลดปืนลงมาจากมือของเจียงอู๋ ยามนั้นเจียงอู๋ถึงได้สติ เสี่ยวอวี้พูดปลอบ “ทุกอย่างไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องกลัว”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเจียงอู๋แล้วถาม “กลัวไหม”
ในแดนหิมะเย็นเยียบ แสงจากกองไฟสีแดงส้มกระพริบวูบวาบคลอเคลียใบหน้าของเจียงอู๋ เจียงอู๋หันมากล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่พร้อมน้ำตาเอ่อนอง “ถ้าฉันไม่ลงนรก แล้วใครจะลง”
เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจที่เห็นว่าคราบโลหิตบนร่างของเจียงอู๋ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปรวมที่มือของเธอ สุดท้ายเกิดเป็นดอกเหมยกิ่งหนึ่ง
บนกิ่งกอปรด้วยดอกเหมย กลีบดอกคมกริบดุจมีด
จากนั้นกลีบดอกก็หลุดออกจากกิ่ง มาลอยเวียนบนอยู่รอบกายเจียงอู๋ดั่งโล่
ลมอ่อนโชยผ่านร่างเจียงอู๋ ผมสลวยพลิ้วไหว
เริ่นเสี่ยวซู่เกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงโยนฟืนแห้งใส่เจียงอู๋ กลีบเหมยรับรู้ได้ถึงตัวฟืนจึงเข้ามาขยี้มันจนแหลกเป็นชิ้นๆ
เป็นคราวนี้เริ่นเสี่ยวซู่ต้องตะลึงบ้างแล้ว ไม่นึกเลยว่าแค่เจียงอู๋ยิงปืนไปหนึ่งนัด ก็ตื่นรู้กลายเป็นผู้มีพลังพิเศษแล้ว
นักเรียนของเธอเข้ามาเข้าเจียงอู๋อย่างยินดี ตอนที่พวกเขาเข้าหา กลีบดอกเหมยรวมกลับเป็นช่อเตรียมบานสะพรั่ง
“ครู ต่อไปครูกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษแล้วนะ” นักเรียนคนหนึ่งพูดอย่างยินดี
หวังฟู่กุ้ยหยิบปืนพกที่เริ่นเสี่ยวซู่ให้นานแล้วขึ้นมา เขามองปืนพกที มองฝูงคนที่กำลังหลบหนีที จิตใจดูสับสน…
เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปืนหรือฆ่าคนหรอกลุง เป็นแบบนี้เพราะจิตตานุภาพเธอถึงจุดแปรเปลี่ยนสภาพต่างหาก”
“พลังจิตของฉันก็ถึงจุดแปรเปลี่ยนได้เหมือนกันใช่ไหม” หวังฟู่กุ้ยพูดอย่างคาดหวัง เห็นว่าหวังต้าหลงยังข้องใจกับสายเลือดตัวเองเช่นนี้ เขายิ่งอยากพิสูจน์ตัวเอง
เริ่นเสี่ยวซู่ขำขันอากัปกริยาของหวังฟู่กุ้ย “อย่าเพิ่งคิดเยอะหน่าลุง ใช่ว่าทุกคนจะกลายเป็นยอดมนุษย์ได้สักหน่อย แต่ต่อให้ลุงไม่มีพลัง ลุงก็ยังมีชีวิตที่ดีได้อยู่นะ”
ตอนนี้กลุ่มผู้ลี้ภัยถอยออกมาไกล ด้วยกลัวว่าจะถูกเริ่นเสี่ยวซู่คิดบัญชีกับพวกตนต่อ ตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าการบีบบังคับทางศีลธรรมและความคิดเห็นของสาธารณชนที่มีในป้อมปราการนั้นไม่อาจใช้การได้ในที่แห่งนี้
ที่นี่คือแดนรกร้าง ไม่ใช่ป้อมปราการ
เมื่อก่อน พวกเขาเชื่อว่าเพียงตนมีพวกมาก ก็สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้ตามใจ และได้ของที่ต้องการมา พวกเขาเชื่อเพียงตนอยู่ฝั่งคุณธรรมอันสูงส่ง ผู้อื่นได้แต่ก้มหน้าปฏิบัติตาม ทว่าในแดนรกร้างหาเป็นเช่นนั้นไม่ การยิงปืนของเริ่นเสี่ยวซู่ได้สั่งสอนพวกเขาแล้ว
ตอนนี้ทุกคนตื่นหมดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่จึงจัดการนำกระต่ายมาย่างให้ทุกคนกินเสียเลย
ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวอวี้เข้าป้อมปราการมาแรกๆ เธอเห็นว่าเนื้อในป้อมปราการราคาแพงหูฉี่ ขนาดเนื้อเทียมราคายังแพงบรมไม่ต่างกัน สุดท้ายกลายเป็นว่าอยู่ในป้อมปราการแล้วกินเนื้อได้น้อยกว่าเดิมอีก
เริ่นเสี่ยวซู่ล่าสัตว์เป็น เขาเลยจับพวกสัตว์ป่ามาทำเป็นอาหารจานเนื้อได้
ในช่วงแรกแม้เริ่นเสี่ยวซู่จะล่าสัตว์เป็น แต่ว่าเป้าหมายในการล่าก็มีไม่มากนักเพราะร่างกายกับทักษะไม่อำนวย แต่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องล่าแต่นกกระจอกอีกต่อไปแล้ว
กระต่ายตัวอวบอ้วนโดนย่างบนกองไฟ เริ่นเสี่ยวซู่หยิบน้ำผึ้งออกมาจากช่องเก็บของ กรีดเนื้อเป็นร่องเล็กน้อยแล้วทาน้ำผึ้งลงไป พริบตาเดียวไขมันในเนื้อก็ละลายหยดลงไปในกองไฟ
ภาพนี้ทำให้เหล่านักเรียกอีกฝั่งน้ำลายไหล แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พูดว่าให้พวกเขาร่วมรับประทานด้วย พวกนักเรียนจึงได้แต่มองดูเจ้ากระต่ายจนสุก
ตอนที่หนีกัน เจียงอู๋เตือนพวกนักเรียนอยู่ตลอดว่าห้ามไปพึ่งผู้อื่น ต้องพึ่งพาตัวเองทุกอย่าง
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยิ้มพูด “พวกนายก็เข้ามากินสิ”
นักเรียนหันไปหาเจียงอู๋สายตาละห้อย “ครูครับ/คะ พวกเราไปได้ไหม”
เจียงอู๋ยิ้ม พยักหน้า “ไปเถอะ แต่อย่าลืมพูดขอบคุณล่ะ”
แค่ให้เนื้อย่างไปหน่อย เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้เหรียญคำขอบคุณมามากว่าสี่สิบเหรียญโดยไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรมาก นักเรียนบางคนขอบคุณเขาปลกๆ ในลมหายใจเดียว แถมแต่ละครั้งยังจริงใจมากด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่านักเรียนที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีพวกนี้จะมากมารยาทเกินไปแล้ว “ฮ่าๆๆ กินเยอะๆ เลย”
กลุ่มนักเรียนมามุงรอบกองไฟอย่างคาดหวังสุดๆ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกเขาคุกเข่านั่งด้วยกัน กลืนน้ำลายยกใหญ่
พอเห็นว่าเนื้อเป็นสีน้ำตาลแล้ว ก็ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้ทุกคน แต่นักเรียนทุกคนนั้นรู้ธรรมเนียมอย่างมาก ต่างแบ่งสันปันส่วนไปเล็กๆ และส่งต่อไปให้คนต่อไป
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าเจียงอู๋สอนนักเรียนพวกนี้ได้มาอย่างดีมาก
กลิ่นเนื้อโดนลมพัดไปทางกลุ่มผู้หลบหนี พวกเขาได้แต่นั่งเหม่อลอยมองหิมะ สูดกลิ่นหอมของเนื้อแต่ไม่อาจสวาปาม
พวกเขาไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่า คนเยอะขนาดนี้ถ้าร่วมแรงร่วมใจกัน จะจับแพะป่า ไก่ป่า หรือเป็ดป่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย สัตว์ในแดนรกร้างไม่ถูกมนุษย์รบกวนจนจำนวนเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่กระนั้นความคิดจะใช้แรงตัวเองเพื่อให้ได้อะไรบางอย่างมากลับไม่ปรากฏในสมองเสียได้
นักเรียนของเจียงอู๋คนหนึ่งที่กำลังกินอยู่พลันถามเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “นายสอนพวกเราล่าสัตว์หน่อยได้ไหม หรือไม่ก็สอนวิธีใช้ปืนก็ได้ พวกเราอยากหาอาหารเองเป็น ต่อไปในอนาคตพวกเราจะได้ปกป้องครูเจียงได้ด้วย”