The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 218 เหยียนลิ่วหยวน
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 218 เหยียนลิ่วหยวน
หลี่ชิงเจิ้งขับมาตามทางที่เหยียนลิ่วหยวนชี้ไปด้วยความสับสนเล็กน้อย กลุ่มผู้อพยพจากเมืองน้อยอื่นไฉนถึงหยั่งเท้าตั้งรกรากที่นี่ได้เร็วขนาดนี้ล่ะ ถึงกับซื้อบ้านอิฐใกล้ประตูป้อมปราการได้ด้วย?
แถมซื้อตั้งสองหลัง!
แต่พอเขานึกถึงตอนที่หวังฟู่กุ้ยติดสินบนเขาแล้ว ก็จำได้ว่าตนถูกเสนอยาปฏิชีวนะร้อยเม็ดกับนาฬิกาข้อมืออีกหลายเรือนรวดในคราวเดียว ของพวกนั้นยังอยู่ในกระเป๋าของหลี่ชิงเจิ้งอยู่เลย ยังไม่ได้ขายเป็นเงินสด คนธรรมดาที่ไหนจะเสนอสินบนมูลค่าขนาดนั้นได้หน้าตาเฉย
หลี่ชิงเจิ้งกำลังคิดว่าไหนๆ ตนกับเริ่นเสี่ยวซู่ก็เป็นเพื่อนกันแล้ว แถมยังมีชีวิตดีๆ ร่วมกันที่ป้อมสังเกตการณ์ด้วย เขาควรจะคืนสินบนที่ได้มาตอนแรกให้เริ่นเสี่ยวซู่ไหมนะ แต่ต้องคืนเงินขนาดนั้นก็ทำเอาหลี่ชิงเจิ้งรู้สึกตัดใจไม่ลงอยู่บ้าง…
ระหว่างเดินทางนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งเห็นเหยียนลิ่วหยวนผ่านหน้าต่างรถบรรทุก จึงกล่าวอย่างยินดี “ลิ่วหยวน เด็กหนุ่มด้านข้างคือพี่ชายที่พูดถึงตลอดๆ เหรอ ที่เธอไปนั่งรอหน้าเมืองน้อยตั้งหลายวันไม่เสียเปล่าแล้ว ในที่สุดเขาก็กลับมา อะนี้ไข่สามฟอง ตอนเย็นไว้ไปทำอาหารให้พี่ชายเธอนะ”
เหยียนลิ่วหยวนรับไข่ไก่มาด้วยรอยยิ้ม แต่เขากลับส่งคืนเธอไปหนึ่งฟอง และเก็บไว้กับตัวแค่สองฟองเท่านั้น “ใช่ครับ นี่พี่ผมเอง แต่คนขับไม่ใช่ ไม่ต้องเอาไข่ให้เขาหรอก”
หลี่ชิงเจิ้ง “…”
ฉันไม่ใช่คนเหรอไง ทำไมฉันถึงไม่ได้ไข่ล่ะ!
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “มีชื่อเสียงไม่น้อยเลยนะนายน่ะ”
ที่จริงเหยียนลิ่วหยวนมีชื่อเสียงในหมู่ผู้หญิงตั้งแต่อยู่เมืองน้อยของป้อมปราการ 113 แล้ว ยิ่งเวลานี้ใบหน้าขาวสะอาด จึงดูฉลาดหล่อเหลา ธรรมดาที่จะผู้มิตรกับสตรีเพศได้
เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม “ที่ผ่านมาผมตีสนิทกับชาวเมืองไปทั่ว ได้ข่าวสารมาไม่น้อย พอมาถึงที่นี่ ลุงฟู่กุ้ยก็ช่วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้คนในเมืองจนหยั่งเท้าได้เลยเป็นที่รู้จักอยู่ แต่ก็นั่นแหละพี่ พวกอกตัญญูก็มีไม่น้อยจริงๆ”
‘ช่วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ’ ที่ว่าก็อย่างเช่นซ่อมเครื่องเรือน แจกขนม และให้เงินเพิ่มนิดหน่อยตอนซื้อของ หวังฟู่กุ้ยทำแต่พอเหมาะ ไม่เคยช่วยเรื่องใหญ่ๆ
ในความคิดของหวังฟู่กุ้ย การช่วยเรื่องใหญ่ๆ นอกจากจะสร้างเพื่อนยากแล้ว ก็มีสิทธิ์จะไปขัดใจผู้อื่นได้ง่ายด้วย แถมช่วยเรื่องใหญ่ๆ คนอื่นไปก็เท่านั้น ถ้าเขาเกิดต้องประสบอันตรายขึ้นมา คนส่วนใหญ่คงไม่เหลียวแลอยู่ดี มีแต่จะคนล้มเหยียบซ้ำ
หวังฟู่กุ้ยทำเช่นนี้ก็เพื่อทำให้ตัวกลมกลืนไปกับชาวเมืองได้ ไม่ใช่คิดจะรับการช่วยเหลือยามเจอปัญหา พึ่งพาตัวเองดีกว่าเอาแต่พึ่งคนอื่น…ไม่สิ พึ่งเริ่นเสี่ยวซู่ดีกว่าพึ่งคนอื่น
พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินว่าเหยียนลิ่วหยวนรวบรวมข่าวสารมาไม่น้อย ก็สงสัย “ไปรู้อะไรมาล่ะ”
ตอนนี้นอกเมืองนอกมีค่ายทหารมาตั้งอยู่เต็มไปหมด กองทหารต่างๆ จะเวียนกันเข้ากะเฝ้ายาม
เหยียนลิ่วหยวนพูดขึ้น “ได้ยินมาว่ากองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่ที่ส่งไปกำจัดตัวทดลองที่ป้อม 109 ทำภารกิจล้มเหลวแล้ว ทหารชุดแรกที่ส่งไปถูกเรียกตัวกลับมา คนตายไปกว่าครึ่ง”
“ไปรู้มาได้ไง” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว
“พวกทหารที่มาประจำการณ์ใกล้เมืองน้อยอดหาความสนุกไม่น่ะสิ และพวกหญิงโสดก็พร้อมใจจะมีทหารจากสมาคมมาเป็นผู้สนับสนุนด้วย” เหยียนลิ่วหยวนว่า “บางทีพวกเขาก็เล่าเรื่องนี้ให้ผู้หญิงของตัวเองฟัง เห็นว่าตอนแรกก็บุกได้ราบรื่นดี แต่พอตัวทดลองใช้ยุทธวิถีการรบในเมือง พวกเขาก็แพ้ทันทีเลย แถมฐานปฏิบัติการหน้าก็โดนพวกตัวทดลองทำลายอีก ตอนนี้ทางสมาคมมีแผนจะส่งทหารไปเพิ่มพร้อมกับขนอาวุธหนักไปใช้ในการรบด้วย ยังไงก็จะกำจัดพวกตัวทดลองให้ได้ ต่อให้ต้องถล่มป้อมปราการทิ้งก็ตาม”
ผลลัพธ์นี้ออกมาคล้ายกับที่เริ่นเสี่ยวซู่คาดการณ์ไว้ ตอนที่เห็นทหารรีบร้อนมุ่งไปทางป้อมปราการ 109 โดยไม่ได้พกอาวุธหนักไปด้วย อย่างกับพวกเขาคิดจะรักษาสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในป้อมปราการให้ได้มากที่สุด จะได้ไม่ต้องเสียเงินสร้างใหม่อย่างไรอย่างนั้น
แต่ถ้าคิดจะรบในเมืองกับพวกตัวทดลอง ก็ไม่ต่างจากขุดหลุมฝังตัวเองหรอก ทั้งพละกำลังและความเร็วพวกมันสูงกว่าคนธรรมดาหลายเท่า สู้ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างนั้นได้เปรียบสุดๆ นอกเสียจากว่ากองทัพมีผู้มีพลังพิเศษช่วยสู้ตัวทดลองด้วย การใช้ปืนไรเฟิลอัตโนมัติในระยะประชิดนั้นก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไร ผลคือกองทัพที่มีแต่คนธรรมดาจึงพ่ายแพ้ไป
แต่ตอนนี้สมาคมตระกูลหลี่คิดตั้งใจจะกำจัดตัวทดลองเป็นมั่นเหมาะ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าอีกไม่นานพวกนั้นคงได้เจอศึกหนักแน่นอน ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมหวังว่าสมาคมตระกูลหลี่จะล้างบางมะเร็งร้ายอย่างพวกตัวทดลองได้
ไม่ว่าคนจะชั่วร้ายแค่ไหน ก็ยังมิวายมีความเป็นมนุษย์อยู่สายหนึ่ง ส่วนตัวทดลองไม่มีเลย
“เล่าจบละ” เหยียนลิ่วหยวนพูด “ตอนที่โรงเรียนในเมืองน้อยรู้ที่มาของครูเจียง พวกเขาก็ขอให้เธอไปเป็นอาจารย์ช่วยสอนในเมือง แต่เธอไม่รับงาน ครูเจียงบอกว่าในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษคนเดียวของบ้าน เธอมีหน้าที่ต้องปกป้องครอบครัว”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า ดูจากจุดนี้ เจียงอู๋ยังคงถือว่าคู่ควรแก่การไว้วางใจ “มีข่าวอื่นอีกไหม”
เหยียนลิ่วหยวนคิดพักหนึ่ง “อ้อใช่ เห็นว่าที่นี่มีคนของบริษัทหัวจ่งซ่อนตัวอยู่ด้วย ถึงไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน แต่มีใบปลิวว่อนอยู่ทั่วเมืองน้อยในชั่วข้ามคืน แบบเดียวกับที่พวกเราเคยเห็นที่ป้อม 109 เลย”
บริษัทหัวจ่ง? เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น แต่พวกเขาคุยกันมากไม่ได้เพราะหลี่ชิงเจิ้งอยู่ด้วย
ถึงอย่างนั้นเขาเคยเห็นพฤติกรรมของบริษัทหัวจ่งมาก่อน ถ้าพวกเขารู้ว่าแถวนี้มีผู้มีพลังพิเศษล่ะก็ คงได้ทุ่มสุดตัวตามล่าแน่
แต่เขาก็ไม่หวั่นเกรงอะไรนัก เพราะหลังจากประมือกับคนของบริษัทหัวจ่งไปรอบหนึ่ง ก็รู้สึกว่าพวกเขาอ่อนด้อยไม่น้อย…แต่ถ้าตัวตนของเจียงอู๋ถูกปล่อยออกไปอาจจะเป็นอันตรายก็ได้
“ถึงแล้ว” เหยียนลิ่วหยวนร้องอย่างยินดี และชี้ไปที่ลานบ้านหินสองแห่ง “ที่นี่แหละ”
เมื่อรถบรรทุกหยุดลง เหยียนลิ่วหยวนก็กระโดดพุ่งลงมาจากรถ “พี่เสี่ยวอวี้ ครูเจียง ดูสิใครกลับมา”
พอได้ยินเสียงตะโกนของเหยียนลิ่วหยวน ทุกคนก็รีบออกมาหน้าบ้าน ทั้งเสี่ยวอวี้ เจียงอู๋ และพวกนักเรียนหญิง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทันลงรถด้วยซ้ำ
หลี่ชิงเจิ้งเหม่อมองภาพนี้ รู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ช่างเป็นคนสวรรค์โปรด เป็นแบบอย่างแก่ชายอื่นจริงๆ!
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มกล่าวกับหวังฟู่กุ้ย “พวกเราขนเนื้อจากบนเขามาหน่อยด้วย อยู่ท้ายรถบรรทุกน่ะ ลองคำนวณราคาดู และส่งใบราคาให้หัวหน้าหน่วยหลี่นะ เนื้อส่วนหนึ่งฟรี ฉันขนลงมาเป็นของขวัญฉลองตรุษจีนให้ทุกคน”
หวังฟู่กุ้ยและคนอื่นนิ่งค้างไปชั่วครู่ อย่างที่คาดไว้เลย ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่จะไปอยู่ป้อมสังเกตการณ์ห่างไกล ตอนกลับมาก็ยังมิวายขนเนื้อมาฝากด้วย
หวังฟู่กุ้ยยิ้ม “ทหารตั้งค่ายกันแถวนี้เยอะมาก พวกเขากำลังขาดเนื้อเลย เนื้อพวกนี้ฉันขายได้ราคางามแน่นอน” จากนั้นเขาก็เดินไปดูที่หลังท้ายรถบรรทุกทหาร พอเห็นทุกอย่างแล้ว เขาก็ตาค้าง “มีเนื้อเยอะขนาดนี้เลย?”
เริ่นเสี่ยวซู่ส่งใบรายการให้เขา “นี่เป็นของที่พวกเราต้องการ ช่วยหามาให้ที ทั้งเกลือ เครื่องปรุงรส และก็เสื้อผ้า!”
“ได้ เชื่อมือฉันได้เลย เข้าไปพักในบ้านก่อน” หวังฟู่กุ้ยยิ้มพูด “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้เธอมากังวลหรอก”
หลี่ชิงเจิ้งที่อยู่ด้านข้างฟังหมดครบถ้วนกระบวนความ เขานึกว่าหวังฟู่กุ้ยเป็นกระดูกสันหลังของกลุ่มเสียอีก ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะอยู่ภายใต้การบัญชาของเริ่นเสี่ยวซู่มากกว่า
เด็กหนุ่มคนนี้อายุเท่าไรกันเชียว ทำไมพ่อค้าหัวใสอย่างหวังฟู่กุ้ยถึงยอมรับคำสั่งจากเขาได้?