The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 229 คำถามจากเฉินอู๋ตี๋
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 229 คำถามจากเฉินอู๋ตี๋
เริ่นเสี่ยวซู่มองราชาหมาป่าแล้วกล่าวว่า “อย่าเพิ่งตามล่าต่อ นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากป้อมสังเกตการณ์เท่าไรแล้ว แถมพวกเขายังมีระเบิดลูกปรายเหลืออีก ฉันเห็นเขาหยิบออกมาแปดลูก แต่โยนจริงแค่สาม”
ราชาหมาป่าพยักหน้าสื่อว่าจะไม่ไล่ตามต่อ
เริ่นเสี่ยวซู่นำยาดำออกมาเก้าขวดให้ราชาหมาป่า จากนั้นก็พูดเสียงเข้ม “อย่าใช้บ่อยนักล่ะ”
ราชาหมาป่า “…”
“ถึงเวลาต้องแยกกันแล้ว รอบนี้เข้าไปในเขาลึกๆ เลยนะ หลังจากคนพวกนั้นหนีไปได้ ต้องกลับมาพร้อมกับกองกำลังขนานใหญ่แน่ พอถึงเวลานั้น มันจะเป็นอันตรายของจริงแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
ถึงเขาจะสนใจนาโนแมชชีนเป็นหลัก แต่ก็เชื่อว่ายังมีโอกาสอีกมากให้เข้าถึง
นอกจากทหารนาโนแมชชีนที่ถูกฆ่าไปก่อนหน้านี้แล้ว รอบนี้มีตายไปอีกสิบนาย เริ่นเสี่ยวซู่หยิบดาบของพวกเขาขึ้นมาเก็บไว้ในช่องเก็บของ ตอนนี้ยังไม่รีบส่องของเพราะต้องรีบวิ่งกลับไปที่ป้อมสังเกตการณ์ก่อน
เริ่นเสี่ยวซู่ใช้ทางอ้อมกลับมาถึงป้อมสังเกตการณ์ ทุกคนกำลังผวากับเสียงระเบิดลูกปราย พวกเขาออกมายืนคุยหน้าป้อมสังเกตการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เริ่นเสี่ยวซู่ฉวยโอกาสในความวุ่นวายแทรกเข้ามาคุยกับคนอื่น
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่มาถึงป้อมสังเกตการณ์แล้วนั้น หลินชีกับนายทหารคนอื่นๆ ยังกลับมาไม่ถึงป้อมสังเกตการณ์เลย รถออฟโรดของพวกเขายังจอดอยู่เฉยๆ
แต่ไม่นานนักทหารนาโนแมชชีนที่เดิมทีดูสูงส่งก็วิ่งออกมาจากทางภูเขาด้วยสภาพน่าสังเวชเวทนา
พวกเขาเห็นทหารของป้อมสังเกตการณ์กำลังคุยกันอยู่ เริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้รุดหน้าออกไปคนแรกแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้นในภูเขาน่ะ ทุกคนเป็นอะไรไหม”
ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะดูจริงใจมาก แต่พวกหลินชีก็คร้านจะเปิดปากกับผู้อพยพแบบเขา
“หลบทาง” หลินชีแค่นเสียงใส่เริ่นเสี่ยวซู่ที่หลบตัวให้
คนของป้อมสังเกตการณ์มองพวกพวกทหารนาโนแมชชีนกลับขึ้นรถและขับลงภูเขาไป ต่อให้สีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าคนอย่างหลี่ชิงเจิ้งก็มองเห็นความกลัวบนใบหน้านั้น
“ตอนแรกมีคนเข้าเขาไปเยอะกว่านี้นี่” หวังอวี่ฉือว่า “จำได้ว่าก่อนหน้าที่เข้าป่าไปสี่สิบแปดคน ตอนนี้เหลือแค่สามสิบแปดคนแล้ว”
หลี่ชิงเจิ้งพยักหน้า “ดูเหมือนพอเข้าไปแล้วก็เกิดการต่อสู้ขึ้นล่ะมั้ง ไปเจอหมาป่าเข้าเหรอไงนะ ทุกคนจำไว้เลยนะ พวกเราไม่รู้เรื่องฝูงหมาป่าว่าอยู่แถวนี้อะไรทั้งนั้น พวกเราต่างกินเนื้อที่หมาป่าให้มากันหมด ถ้าเรื่องนี้หลุดเข้าหูคนอื่นได้เป็นเรื่องแน่”
“รับทราบ!” ทุกคนในป้อมสังเกตการณ์พูดอย่างพร้อมเพรียง พวกเขากลับกลายเป็นกลุ่มคนที่มีความลับร่วมกันเสียแล้ว
ที่จริงเมื่อนานมาแล้วมีนักจิตวิทยาศึกษาวิจัยและได้ผลสรุปว่าถ้าคนอยู่ใกล้ชิดกัน พวกเขาจะมีความลับรวมกันอยู่
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็สังเกตเห็นว่าหูชัวไม่ได้ออกนอกบ้านมาพักใหญ่แล้ว อย่างกับว่าเขาไม่สนใจความเป็นไปของโลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้น
แต่ก็แน่ล่ะ บางทีอาจจะมีความเป็นไปได้อีกอย่าง คือเขาไม่อยากทำให้สภาวะการณ์ในป้อมสังเกตการณ์แตกออก
ที่จริงคนฉลาดคนไหนมาอยู่ที่นี่สักสองสามวันก็ดูออกหมดล่ะว่าป้อมสังเกตการณ์นี้มีอะไรแปลกๆ แค่เรื่องหมาป่ามาส่งอาหารให้จะอธิบายอย่างไรดีล่ะ
‘อะไรนะ ฝูงหมาป่าต้องส่งบรรณาการให้ป้อมสังเกตการณ์งั้นเหรอ’
น่าเชื่อตายล่ะ!
แต่หูชัวดูจะไม่สนใจอะไรเรื่องนี้แม้แต่นิด ดูเหมือนอยากจะฉลองตรุษจีนแบบสงบๆ อย่างเดียว
…
หลังจากหลินชีและนายทหารคนอื่นๆ จากไปแล้ว สองวันต่อมาก็ไม่มีใครมาที่ป้อมสังเกตการณ์อีก ถ้าเป็นอย่างที่หูชัวว่าไว้ สมาคมตระกูลหลี่กำลังรวบรวมข้อมูลต่อสู้ในสนามรบจริงอยู่จริงๆ ล่ะก็ ห้องแล็บวิจัยของสมาคมตระกูลหลี่คงทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยของหัวหน้าโจว…
เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะมาถึงนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันเป็นเรื่องของเวลาแล้ว เขาได้แต่หวังว่าพวกหมาป่าจะพาลูกฝูงที่เหลืออพยพไปไกลจากที่นี่เรียบร้อย
สองวันนี้หูชัวยังเปิดชั้นเรียนตามปกติให้เริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ ทุกอย่างสงบนิ่งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แถมเริ่นเสี่ยวซู่ยังรักษาสัญญาด้วยการไม่ถามอะไรสามวันด้วย นี่ทำให้หูชัวรู้สึกถึงบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองจริงๆ…
ส่วนบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองที่ว่าคืออะไร ก็คงอาจจะเป็นความสบายทั้งกายใจ อารมณ์แบบนี้ไม่ต้องทำงานแล้วน่ะสิ…
มื้อเย็นวันนั้น หูชัวย้ำเตือนเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ตอนเธอบอกว่าจะไม่ถามคำถามฉันสามวันนั้น ไม่ใช่ว่าจะเก็บคำถามสามวันมาถามทีเดียววันที่สี่ได้นะ อย่าคิดเล่นแง่ ไม่ได้ผลหรอก!”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ ไม่คิดเลยว่าหูชัวจะคาดการณ์ไว้แล้ว ทำแผนเขาล่มหมด ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ
ทันใดนั้นเฉินอู๋ตี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเขาก็ถาม “ข้ามีข้อสงสัยอยากให้ชี้แนะ”
หูชัวมองเฉินอู๋ตี๋แล้วพูดอย่างเมตตา “เธอไม่เหมือนเริ่นเสี่ยวซู่ ถามมาได้เลย”
เฉินอู๋ตี๋พยักหน้า “หากกรวยมีความสูงและเส้นผ่าศูนย์กลางของฐาน SC เท่ากัน และรัศมีของฐานทรงกระบอกของ SC และทรงกระบอก OM…” เฉินอู๋ตี๋หันมามองเริ่นเสี่ยวซู่ “ท่านอาจารย์ ข้าจำคำถามที่เหลือไม่ได้แล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดให้ฟังใหม่อย่างใจเย็น “และรัศมีฐานของ SC และทรงกระบอก OM เท่ากัน แล้วอัตราส่วนพื้นที่ด้านข้างของกรวย SC และของทรงกระบอก OM คือเท่าใด“
หูชัวแหงนหน้ามองฟ้าดารดาษ พูดอย่างทอดถอนใจ “เธอนี่มันดีจริงๆ…”
เริ่นเสี่ยวซู่โพล่ง “ถ้าท่านไม่อยากตอบคำถามนี้ก็ไม่เป็นไร ผมถามคำถามอื่นก็ได้”
หูชัวเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ดูจริงจรัง ก็หันมามองเขา “ขอฟังก่อนแล้วกันว่าจะถามอะไร”
“ท่านเป็นใครกันแน่” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
หูชัวผงะไปเล็กน้อย เขาพลันนึกได้ว่าคำถามนี้ตอบง่ายกว่าคำถามอื่นๆ ของเริ่นเสี่ยวซู่มาก แถมเขาก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรด้วย ใช่ว่าตนเองจะพูดไม่ได้เสียหน่อย
“ฉัน หูชัว ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกองสืบสวนคดีพิเศษแห่งกองพลที่หนึ่งของสมาคมตระกูลหลี่ ฉันยศพลโท และตอนนี้เป็นผู้รักษาการณ์ปกครองป้อมปราการ 108 ด้วย” หูชัวตอบ
ตั้งแต่เกิดเรื่องกับป้อมปราการ 109 สมาคมตระกูลหลี่ก็จัดการรวบอำนาจในทุกป้อมปราการให้เข้ามาอยู่ภายใต้สมาคมทันที อย่างไรผู้ปกครองป้อมปราการนอกสมาคมแต่เดิมยังอยู่ในตำแหน่งได้เพราะสมาคมต่างๆ มีข้อตกลงร่วมกันอยู่แล้ว
ตอนนั้นสมาคมต่างๆ เพิ่งเริ่มตั้งไข่ ยังไม่ได้แข็งแกร่งเท่าตอนนี้ พวกเขาใช้ทุกวิธีทางแทรกซึมเข้าไปในป้อมปราการ ทั้งค่อยๆ ก่อร่างสร้างกองทัพเป็นของตน หลายสิบปีให้หลัง สมาคมต่างๆ จึงกลายมาเป็นผู้ปกครองป้อมปราการที่แท้จริงในหลายป้อม และนับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครคิดจะทำลายสภาพการณ์ที่เป็นอยู่
ตอนนี้สมาคมตระกูลหลี่ยึดป้อมปราการทั้งหมดให้มาอยู่ภายใต้พวกเขาหมดแล้ว ตอนนี้จึงเป็นผู้ปกครองอย่างเป็นทางการทั้งหมดสิบเอ็ดแห่ง แถมธนาคารในป้อมปราการเหล่านี้ก็เริ่มปฏิเสธเงินสกุลอื่นจากต่างสมาคมอย่างสิ้นเชิงแล้วด้วย เงินของสมาคมอื่นไร้ค่าไปหมดสิ้นในชั่วพริบตา
เริ่นเสี่ยวซู่พลันเข้าใจแล้วว่าทำไมหูชัวถึงเป็นกลางไม่เป็นเข้ากับฝ่ายใดมาตลอด อาจจะเป็นไปได้ว่าในฐานะผู้ปกครองป้อม 108 คนปัจจุบัน หูชัวอาจคิดใช้อำนาจฝ่ายอื่นมาลดทอนอำนาจของสมาคมตระกูลหลี่ และใช้โอกาสนี้คว้าอำนาจที่แท้จริงมาสู่ตัว
แต่หูชัวมองแล้วส่งยิ้มให้เขา “ฉันพอเดาออกว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่ความจริงที่กำลังมองอยู่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น วันหนึ่งเธออาจจะเข้าใจก็ได้ พอถึงเวลานั้นฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเธอจะทำหน้ายังไง”