The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 248 กองสืบสวนพิเศษต้านการจารกรรม
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 248 กองสืบสวนพิเศษต้านการจารกรรม
“หิมะตกหนักกว่าเดิมอีก” เริ่นเสี่ยวซู่มองสภาพอากาศแล้วถอนหายใจ
“เห็นเค้าว่ากันว่า ช่วงหลังภัยพิบัติไม่นานอากาศหนาวกว่านี้อีก” หลี่ชิงเจิ้งหอบหายใจเดินฝ่าหิมะอย่างยากลำบาก “คนแก่ๆ บอกว่าพวกเขาต้องเก็บอาหารไว้ให้พอรอดตลอดหน้าหนาว ถ้าอาหารไม่พอ ก็ต้องเตรียมรากไม้ไว้ ฤดูหนาวออกไปข้างนอกไม่ได้เลย”
หิมะบนเขาถมทับเท้า จากนั้นก็ข้อเท้า และในที่สุดก็มาถึงเข่า
พายุหิมะตกมาอย่างรวดเร็วและทันควันเกินจนนายทหารกองพันเทพยนต์เริ่มคิดแล้วว่าพวกเขาควรหยุดเดินทัพก่อนดีไหม แต่พอมองจีพีเอส ก็เห็นว่ามันยังทำงานได้ปกติ จึงรู้สึกวางใจได้เปราะหนึ่ง
แต่บนเขามีแค่ถนนดินคับแคบสายหนึ่ง และตอนนี้มีแต่หิมะปกคลุม ถ้ามีคนเผลอเหยียบหินล่ะก็อาจจะพลั้งทำข้อเท้าพลิกเอาได้ โชคดีที่อาการเคล็ดพวกนี้ไม่หนักนักเพราะว่าหิมะค่อนข้างนิ่ม
เริ่นเสี่ยวซู่เดินฝ่าพายุหิมะไปจนถึงหน้าขบวน แล้วตะโกนใส่กองพันเทพยนต์ “พวกเราเดินต่อไม่ได้แล้ว หิมะหนาเกินกว่าทุกคนจะเดินทางไหว”
แต่นายทหารจากกองพันเทพยนต์ไม่สนใจ ตอนนี้นาโนแมชชีนในร่างพวกเขาคอยเสริมพลังให้อยู่ จึงเดินผ่านหิมะอย่างไม่ยากลำบากอะไร แถมถ้าเดินต่อช้าๆ ไปแบบนี้ พลังงานของนาโนมแชชีนก็พอให้ใช้ตลอดการเดินทาง อีกอย่างพวกเขาแบกที่ชาร์จไร้สายไว้อยู่ข้างหลังด้วย
ที่ชาร์จไร้สายนี้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับกองพันเทพยนต์ และจำเป็นต้องแบกไว้ตลอดการรบ
ก่อนหน้าที่นายทหารกองพันเทพยนต์ยังยืนกรานอย่างไรก็จะเดินทัพต่อแม้จะมีหิมะตกหนัก ถ้าจู่ๆ เขาเปลี่ยนใจ ก็เสียหน้าแย่สิ
หนึ่งในนายทหารพูดเสียงเย็น “ถ้าพวกเราไม่ถึงจุดหมายไม่ทัน นายจะรับผิดชอบเหรอไง”
เริ่นเสี่ยวซู่คร้านจะมีปากเสียงด้วย จึงพูด “เคยเห็นฝูงหมาป่าเดินทางกลางหิมะหรือเปล่า พวกเราต้องเวียนให้คนไปข้างหน้าทำทางเผื่อ คนข้างหลังจะได้เดินง่ายขึ้น ทุกหน่วยวนรอบกันสร้างทางฝ่าหิมะ จะเคลื่อนตัวไปง่ายกว่า!”
ได้ยินแบบนี้ พวกนายทหารกองพันเทพยนต์ก็หันไปมองทหารกองกำลังส่วนตัวที่อ่อนล้าข้างหลัง
นายทหารมองหน้ากันเอง มีคนหนึ่งกล่าว “พวกเราจะทำตามที่นายว่า ทุกหน่วยผลัดกันเดินนำหน้าสิบห้านาที ห้ามอิดออดเด็ดขาด!”
หลังคำสั่งถูกส่งมา ทัพที่เดินทางเป็นกลุ่มก้อน ก็ขยับเป็นแถวยาวแคบเส้นหนึ่งกลางทุ่งหิมะ
เริ่นเสี่ยวซู่ลอบถอนหายใจอย่างแรง ทำแบบนี้อย่างน้อยก็เบาภาระไปได้บ้าง ช่วยให้การเคลื่อนทัพเป็นระเบียบมากขึ้น
ทันใดนั้นเองพระราชวังในห้วงจิตก็เอ่ยขึ้นมาว่า [ภารกิจ ช่วยเพื่อนทหารที่ถูกทิ้งท้ายตามขบวนทัพให้ทัน]
ภารกิจนี้ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่นิ่งอึ้งไป เขายังไม่เห็นใครถูกทิ้งท้ายเลย แถมเจ้าพวกเวรนี้เคยหักหลังเขามารอบหนึ่ง ทำไมเขาต้องช่วยด้วยล่ะ
พริบตานั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นคนผู้หนึ่งท้ายแถววิ่งเข้าป่าเขาไป เขารู้ทันทีว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องแล้ว มีคนทนไม่ไหวจนคิดหนีทัพ!
ก่อนหน้านี้ หลิวไท่อวี่มีกองกำลังคุ้มกันที่คอยช่วยจับตาไม่ให้ทหารคนไหนหนีทัพ ทว่าตอนนี้หลิวไท่อวี่ไม่ได้สติ กองกำลังคุ้มกันก็ไม่ได้สนใจความเรียบร้อยอะไรอีก แถมเขายังต้องผลัดกันแบกหลิวไท่อวี่อีก เริ่นเสี่ยวซู่มีลางว่าพวกเขาอาจจะทิ้งหลิวไท่อวี่กลางทางแล้วกลายเป็นทหารหนีทัพเองก็ได้
เริ่นเสี่ยวซู่มองชายผู้นั้นวิ่งไปยังเขาใกล้สุด เขาคิดเพียงอย่างหนึ่งว่า ทหารหนีทัพนี่นับเป็นคนที่ถูกทิ้งท้ายไหมนะ
แหงล่ะ นับสิวะ!
มีคนไม่น้อยเห็นทหารหนีทัพผู้นั้นเช่นกัน แต่ก่อนที่คนอื่นๆ จะทันเกิดความคิดอยากหนีตาม ก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่พุ่งตัวออกไป ความเร็วบนพื้นหิมะของเขาไหลลื่นรวดเร็วราวกับวิ่งบนพื้นราบ!
ครึ่งนาทีให้หลัง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตามจับทหารหนีทัพได้ แถมยังยึดอาวุธมาจากเขาด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่จับขาเขาลากถูกลับมาไปพลาง พูดปลอบอย่างจริงใจไปพลาง “บนเขาไม่ปลอดภัย ถ้าหนีไปแล้วเกิดเรื่องจะทำยังไง”
ทหารหนีทัพสิ้นหวังนัก “ผมไม่หนีแล้ว ปล่อยผมเถอะ ผมยืนเดินเองได้!”
เริ่นเสี่ยวซู่ลากขาเขากลับมาจนเกิดเป็นเส้นทางลึกกลางพื้นหิมะ ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะรุนแรงหรอก ถึงทหารหนีทัพจะขายเขาทิ้งเมื่อวาน แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรจนเริ่นเสี่ยวซู่อยากลงมือกับเขา
จะหนีทัพก็ไม่ผิด ทหารทุกนายต่างอยากมีชีวิตรอดอยู่แล้ว!
ดังนั้นพอเริ่นเสี่ยวซู่จับเขาได้ ก็เพียงยึดอาวุธไว้ ไม่ได้ทำอะไรอีก
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ผิดหรือเปล่าที่อยากทำภารกิจให้สำเร็จ แน่นอนย่อมไม่ผิดเช่นกัน!
มีเรื่องหนึ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้โกหก ถ้ามีคนเข้าป่าเขาไปกลางพายุหิมะหนักแบบนี้ คนผู้นั้นได้ตายแน่นอน เพราะตัวเขาเอง อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีทางขึ้นเขาในช่วงพายุหิมะถล่มแบบนี้แน่
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปกล่าวกับคนอื่นๆ “ทุกคนเดินต่อ อย่าคิดหนีทัพ ได้ยินฉันไหม!”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เดินไปหาทหารคุ้มกันแล้วว่า “ถึงผู้บัญชาการกองพันเหล็กที่สองยังอยู่ในอาการไม่ได้สติ พวกนายยังต้องทำหน้าที่อยู่ เข้าใจไหม”
ทหารหน่วยคุ้มกันที่แบกหลิวไท่อวี่มึนงงเล็กน้อย ทำไมเจ้าอพยพผู้นี้ถึงสั่งการพวกตนได้ล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่มองนายทหารกองพันเทพยนต์พูด “ถ้ามีคนหนีตอนนี้แล้วทัพศัตรูมาเจอเข้าล่ะก็ ทุกอย่างที่ทำมาได้จบแน่”
นายทหารกองพันเทพยนต์ก็คิดว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นไม่ผิดเลย เขาหันไปหาทหารคุ้มกันว่า “ไปจับตามองพวกทหารไว้ ถ้ามีคนคิดหนีทัพ ก็ยิงทิ้งได้เลย”
หลี่ชิงเจิ้งมองหลังเริ่นเสี่ยวซู่ พูดอย่างเปี่ยมอารมณ์ว่า “ถึงไม่รู้ว่าหัวหน้าหน่วยคิดอะไรอยู่ แต่ทักษะการโน้มน้าวคนเขาโคตรเจ๋งแน่ะ…”
แต่ตอนนั้นเอง ก็มีคนในทัพล้มลงกับพื้นด้วยท่าทางอ่อนแรงอย่างที่สุด คนที่เดินผ่านไม่สนแม้แต่จะเหลือบมองด้วยซ้ำ เพื่อนร่วมหน่วยเองก็ไม่คิดจะช่วยเขาเลย
เริ่นเสี่ยวซู่ลอบถอนหายใจ เขานึกว่าจับทหารหนีทัพแล้วภารกิจจะสำเร็จเลยเสียอีก ไม่คิดเลยว่าภารกิจนี้จะยากลำบากกว่าที่ผ่านมา
ก่อนที่เขาจะทันรำพึงรำพันเสร็จ ก็มีทหารอีกนายล้มลง
พวกเขาไม่ได้แสร้งทำ เพราะอย่างไรกองพันเทพยนต์ก็สั่งไว้แล้วว่าถ้ามีคนตั้งใจทำภารกิจล่าช้าจะถูกยิง
เริ่นเสี่ยวซู่เดินไปหาผู้ที่ล้มลงหมดสติ จากนั้นก็แบกเขาขึ้นไหล่ และหันไปกล่าวกับเฉินอู๋ตี๋ “ฉันว่าเราคงต้องช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือแล้วล่ะ นายไปแบกอีกคนขึ้นหลังและเดินนำไปก่อนเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่รอพระราชวังแจ้งภารกิจสำเร็จ แต่รอไปพักใหญ่ก็ยังไม่มา…
แต่เฉินอู๋ตี๋ดูมีความสุขไม่เลว ทำความดีและทำตัวเป็นฮีโร่ร่วมกับท่านอาจารย์แบบนี้ทำให้เขารู้สึกสนุกไม่น้อย
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เฉินอู๋ตี๋ก็แบกทหารสองนายขึ้นไหล่ เริ่นเสี่ยวซู่เพียงกล่าวกับทุกคนว่าเพื่อนเขาคนนี้มีพละกำลังมากตั้งแต่เกิดอะไรเทือกนั้น
ถึงจะหาได้ยากกับการเห็นคนผู้หนึ่งแบกคนสองนายขึ้นไหล่ทีเดียว แต่ก็มีผู้อพยพที่ทำงานในเหมืองถ่านหินนอกป้อมปราการไม่น้อยก็ทำเช่นนี้ได้ จึงยังพออธิบายได้อยู่
แต่ถ้าเขาแบกมากกว่านั้น เริ่นเสี่ยวซู่อาจจะอธิบายอะไรไม่ออกแล้วก็ได้
พอนายทหารผู้นำของกองพันเทพยนต์เห็นแบบนี้ ก็พูดอย่างประหลาดใจว่า “กองสืบสวนพิเศษยอมทำทุกอย่างเพื่อต้านการจารกรรมจริงๆ ถึงว่าทำไมกองกำลังอื่นๆ ในกองทัพถึงได้หวาดกลัวพวกเขานัก!”