The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 263 สนามรบแรกของเริ่นเสี่ยวซู่!
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 263 สนามรบแรกของเริ่นเสี่ยวซู่!
ภายใต้การนำของเริ่นเสี่ยวซู่ ทหารกองกำลังส่วนตัวกลุ่มใหญ่บุกป่าฝ่าดงราวฝูงตั๊กแตน มีอะไรกินได้ก็คว้าหมด
เริ่นเสี่ยวซู่เจอรังงูแล้วสามแห่ง จับงูจำศีลได้มากกว่าสองร้อยตัว แถมงูบางตัวก็อ้วนท้วน เริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกลงมือสังหารก่อนที่มันจะหลุดจำศีล
ตอนนี้ทุกคนเชื่อแล้วว่าตราบใดที่ตามบัญชาการกองพันเหล็กที่สองก็จะมีกิน และมันได้กลายเป็นความเชื่อฝังลึกในหัวใจไปแล้ว
หลี่ชิงเจิ้งหัวเราะ “เสี่ยวซู่นี่ทรัพยากรเต็มมือแท้ ไปไหนก็ไม่เคยขาดอาหาร”
ในแดนรกร้างนี้ ความสามารถที่ไปไหนก็มีอาหารให้รับประทานนั้นเป็นทักษะสุดยอดมาก
ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปหากองร้อยคุ้มกัน เขาผงะ “เอ๋ หลิวไท่อวี่ล่ะ”
ทหารของกองร้อยคุ้มกันจะผลัดกันแบกหลิวไท่อวี่ แต่เดินไปเดินมา หลิวไท่อวี่ก็หายไปเสียแล้ว
หลี่ชิงเจิ้งกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่เสียงค่อย “ฉันเห็นพวกเขาแอบทิ้งหลิวไท่อวี่ไว้ข้างทาง พวกเขาคงคิดว่านายน่าเชื่อถือกว่าหลิวไท่อวี่แหละเลยสวามิภักดิ์ต่อนายแทน”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเรื่องนี้มันน่าเศร้าแท้ หลิวไท่อวี่ผู้เป็นอดีตผู้บัญชาการกองพันถูก ‘ทิ้ง’ ง่ายๆ แบบนั้นเลย ถ้าวันนี้กองร้อยคุ้มกันสามารถทิ้งหลิวไท่อวี่ได้ วันหน้าพวกเขาก็ย่อมทิ้งเริ่นเสี่ยวซู่ได้แบบเดียวกัน ใครเล่าจะอยากได้รับการ ‘สวามิภักดิ์’ เช่นนี้
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการย้ำเตือนว่าในกองพันเหล็กมีแต่คนแบบนี้ เขาไม่ควรจริงจังกับบทบาทผู้บัญชาการกองพันนี้มากนัก
ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันเดินยิ้มพูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ “ผู้บัญชาการกองพันครับ ทำไมคืนนี้เราไม่ตั้งค่ายที่นี่ล่ะ ผมว่าพวกเรามีอาหารพอกันแล้วนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มตอบ “ทุกคนลำบากกันมากแล้ว แต่พวกเรายังต้องเดินทางต่อกันอีกหน่อย ที่นี่ยังไม่ปลอดภัย”
“ได้ครับ ผมจะให้ทุกคนทนกันอีกหน่อย” ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม ตราบใดที่พวกเขามีอะไรกิน ก็คุยกันได้หมด
เหตุผลที่ว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากตั้งค่ายที่นี่ไม่ใช่เพราะมันไม่ปลอดภัย แต่เพราะเขายังนำกองกำลังส่วนตัวไปยังจุดนัดหมายไม่สำเร็จต่างหาก
ทหารเดินทัพต่อ ถึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แต่ทุกคนก็ดูกระปรี้กระเปร่ากันมาก
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นควันลอยเป็นวงออกมาจากหุบเขาข้างหน้า เขาเรียกผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันมาแล้วถามว่า “ข้างหน้าเป็นกองกำลังฝ่ายเราหรือเปล่า ไปดูกันหน่อยดีกว่า พวกเราจะได้ถามพวกเขาด้วยว่าเราไปเขาเฟิ่งอี๋ถูกทางแล้วหรือเปล่า”
“ครับ” ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันตอบ
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ลอบสั่งหลี่ชิงเจิ้นและคนในหน่วยของตน “ฉันอยากให้ทุกคนกลับไปท้ายขบวน ตั้งใจให้ดีห้ามให้มีคนหนี ถ้ามีคนคิดจะหนีล่ะก็ ให้ปฏิบัติเช่นทหารหนีทัพ ยิงทิ้งได้เลย และหากเกิดการต่อสู้กัน ฉันอยากให้ทุกคนไปหาที่กำบังไว้ก่อน ไม่งั้นจะโดนกระสุนลูกหลงเอาได้”
หลี่ชิงเจิ้งนิ่งไป เริ่นเสี่ยวซู่พูดเช่นนี้ หมายความว่าเขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝั่งของภูเขาเป็นใครน่ะสิ เขาตั้งใจพาพวกทหารกองกำลังส่วนตัวมาที่นี่! แถมเริ่นเสี่ยวซู่ยังรู้ด้วยว่าอีกเดี๋ยวจะมีการต่อสู้กัน!
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ไปรู้เรื่องนั้นมาได้อย่างไร
หลี่ชิงเจิ้งพลันจำได้ว่าไม่กี่วันมานี้เริ่นเสี่ยวซู่ออกไปข้างนอกทุกคืน หรือว่ามันเกิดอะไรขึ้นช่วงนั้นนะ
หลังจากเดินไปอีกครึ่งชั่วโมง กองกำลังส่วนตัวก็มาถึงปากทางเข้าหุบเขา ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันยิ้มพูดขณะเดินเข้าไป “สงสัยจริงว่ากองกำลังไหนมาตั้งค่ายในหุบเขาแบบนี้ หรือว่าจะเป็นกองกำลังส่วนตัวเหมือนพวกเรานะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม พูด “คิดว่างั้นแหละ”
ที่จริงทหารคนสนิทของชิ่งอวิ่นจะใช้ทางภูเขาหลักเดินทางมาที่นี่ง่ายๆ เลยก็ได้ ตราบใดที่พวกเขายอมวางอาวุธลงเจรจากับสมาคมตระกูลหลี่พวกเขาย่อมไม่ถูกฆ่า แต่ชิ่งอวิ่นกลับสั่งการให้พวกเขาลอบเดินทาง กันไม่ให้สายลับของฝ่ายอื่นรู้เรื่องการเจรจานี้
อีกอย่างมันคงดูไม่ดีเท่าไรนักถ้าอีกสองสมาคมรู้ว่าสมาคมตระกูลชิ่งกำลังเจรจาสองฝ่ายพร้อมกัน
ดังนั้นทหารที่ถูกส่งมาเจรจาจึงได้แต่ลอบเดินทางมา ถ้าพวกเขาไปถึงจุดที่กำหนดเมื่อไร ชิ่งเจิ่นก็จะติดต่อกับเบื้องบนของสมาคมตระกูลหลี่ และนัดหมายให้พวกเขาลงมาเจรจากันเป็นการลับ
แต่ชิ่งเจิ่นไม่มีแผนจะเจรจากับสมาคมตระกูลหลี่ ตั้งแต่แรกเริ่มชิ่งเจิ่นก็ตั้งใจจะปล่อยให้ทหารคนสนิทของชิ่งอวิ่นตายในเขตแดนของสมาคมตระกูลหลี่อยู่แล้ว
พอกองกำลังส่วนตัวเข้าไปในหุบเขา ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันนิ่งอึ้ง เขาเห็นอีกฝ่ายอยู่ในเครื่องแบบทหารสีดำของสมาคมตระกูลชิ่ง และก็นึกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่กองกำลังส่วนตัวของสมาคมตระกูลหลี่ ทหารสมาคมตระกูลชิ่งเจาะเข้ามาพื้นที่ของสมาคมพวกตนแล้ว!
ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งเห็นทหารกองพันเทพยนต์เข้ามา พวกเขาก็ยกมือตามสัญชาตญาณ “พวกเราเป็นตัวแทนเจรจาจากสมาคมตระกูลชิ่ง!”
ทหารอีกหลายร้อยนายเดินออกมาจากค่ายของสมาคมตระกูลชิ่ง เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าพวกเขายกปืนขึ้นมาเตรียมยิงได้ทุกขณะ
พวกเขายังคงไม่ไว้วางใจ ตรงหน้าพวกตนนั้นเป็นหทารกองพันเทพยนต์จริงหรือ ทำไมพวกเขาถึงมาเจอทัพหลักของกองพันเทพยนต์ที่นี่ได้ล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่ถามอย่างระแวง “เอาอะไรมาพิสูจน์ว่ามาเจรจาจริง ทำไมพวกเราไม่เห็นได้รับแจ้งอะไรเลย”
“ชิ่งเจิ่น ผู้บัญชาการแนวหน้าของเรากำลังคุยกับเบื้องบนของฝั่งนายอยู่ ถ้าไม่เชื่อก็ไปตรวจสอบกับพวกเขาได้” ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งคนหนึ่งว่า
เริ่นเสี่ยวซู่แค่นเสียง “วางอาวุธพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องห่วง กองพันเทพยนต์เราไม่ทำร้ายทหารไร้อาวุธ”
ทหารสมาคมตระกูลชิ่งมองหน้ากันเอง หัวหน้าของพวกเขากัดฟันกรอด กำลังพิจารณาข้อเสนอ พูดตามตรง พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะเจอกองพันเทพยนต์ที่นี่ และรู้ด้วยว่าด้วยกำลังแค่สี่ร้อยนายไม่คณามือของทหารนับพันหรอก
ไหนๆ พวกเขาก็มาเจรจาแล้ว มีแต่ต้องคุยอย่างราบรื่นถึงจะมีชีวิตรอดกลับไป ถึงสามารถปราบศัตรูและหนีไป แต่พวกเขาจะหลบออกไปจากพื้นที่ของสมาคมตระกูลหลี่ได้เหรอ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แค่ศัตรูเอ่ยไม่กี่คำหน่วยทหารอย่างถูกต้องเช่นพวกเขาจะวางอาวุธได้ในทันทีเลยหรือ!
บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นมา!
ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันกำลังผวา ไม่ใช่แค่เขา แต่ทหารกองกำลังส่วนตัวทุกคนต่างมีอารมณ์เดียวกัน
ใครจะไปคิดว่าผู้บัญชาการกองพันเหล็กที่สองของพวกเขาจะใจกล้าขนาดปลอมตัวเป็นกองพันเทพยนต์และบีบให้ศัตรูยอมจำนน! แค่ใส่เครื่องแบบของกองพันเทพยนต์ก็ใช่ว่าจะเป็นกองพันเทพยนต์จริงๆ เสียหน่อย!
ขณะกำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เริ่นเสี่ยวซู่ก็โพล่ง “งั้นถอยคนละก้าวไหม ฉันจะส่งผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันเป็นตัวประกันเพื่อแสดงความจริงใจของพวกเรา”
ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกัน “…”
ไหงถึงเสนอเขาเป็นตัวประกันแสดงความจริงในล่ะ! ใครอยากเสนอก็เป็นแทนไปเถอะ!
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้มีปฏิกิริยาอะไร เริ่นเสี่ยวซู่ก็ผลักเขาเข้าเขตค่ายของสมาคมตระกูลชิ่งไปแล้ว และพอโดนคนกลุ่มหนึ่งชี้ปืนใส่มา เขาก็แข็งค้างไป!
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเย็น “ถ้ายังคิดว่าแค่นี้ยังไม่พอ ฉันเดาว่าพวกนายคงไม่ได้จริงใจอะไรแน่ และที่มาก็ไม่ใช่มาเจรจาอะไรด้วย”
นายทหารของสมาคมตระกูลชิ่งพูดช้าๆ “ทุกคนรับคำสั่ง วางอาวุธลง!”
แต่ขณะที่ทหารสมาคมตระกูลชิ่งกำลังวางอาวุธอยู่นั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็ควักปืนพกยิงใส่นายทหารของตระกูลชิ่งจนตาย เสียงปืนดังสนั่นทั่วหุบเขา ทุกคนยืนนิ่งตะลึงลาน!
เขากล้ากลับคำอย่างนั้นเหรอ!
เริ่นเสี่ยวซู่คำราม “พวกเขาไม่มีอาวุธแล้ว! ใครที่ฆ่าทหารสมาคมตระกูลชิ่งได้ถือว่ามีผลงานใหญ่ ทุกคนตามฉันมา”
คนข้างหลังเขากำลังสับสนมึนงง บ้างก็พุ่งตามเริ่นเสี่ยวซู่ บ้างคิดจะวิ่งหนี แต่กลุ่มของหลี่ชิงเจิ้งถือปืนจับตาดูพวกเขาอยู่แล้ว หลี่ชิงเจิ้งยกปืนขึ้นยิ้มพูด “ไหนดูสิว่าใครกล้าหนี!”
ทุกคนทุกบีบให้ยกปืนรุดหน้าสู้ สนามรบวุ่นวาย ทหารบางนายยังคงทำตัวไม่ถูก
เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่นำไปอย่างไร้ความกลัวเกรง พวกเขาก็ติดตามไปตามสัญชาตญาณ ยกปืนเล็งยิงอย่างไร้ความปรานี!
ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งเห็นเช่นนี้ ก็ชักปืนพกที่ซ่อนไว้ ความจริงที่พวกเขากล้าวางอาวุธก่อนหน้านี้ เป็นเพราะยังมีปืนซ่อนไว้อยู่ พวกเขาไม่ได้ไร้อาวุธจริงๆ หรอก!
เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่หน้าสุดสะบัดมือ ทหารคุ้มกันนายหนึ่งก็พุ่งไปบังหน้ากันให้เขา
การสะบัดมือช่างเร้นลับราวกับว่าทหารนายนั้นตั้งใจออกไปบังกระสุนให้เริ่นเสี่ยวซู่เอง
เริ่นเสี่ยวซู่กรีดร้องอย่างเศร้าหมอง “ไม่นะ!”
ขณะนั้นเอง ผู้เดียวที่เห็นฝีมือของเริ่นเสี่ยวซู่เต็มสองตาคือผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันที่นอนกระอักเลือดอยู่บนพื้น
เขาพึมพำ “เชี่ย…”
ท่ามกลางเสียงปืนดังสนั่นนี้ ไม่มีใครได้ยินเสียงของผู้บังคับกองร้อย