The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 273 สืบสวนหาการหายไปของนาโนแมชชีนอย่างละเอียด
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 273 สืบสวนหาการหายไปของนาโนแมชชีนอย่างละเอียด
การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่และเฉินอู๋ตี๋กลับมาจากแนวหลังแล้ว สงครามที่แนวหน้าก็ยังดุเดือดเหมือนเดิม พอทหารของสมาคมตระกูลชิ่งยึดพื้นที่สูงได้ สงครามก็แล่นมาถึงทางชะงักงัน
ขณะที่ที่มั่นอื่นๆ กำลังสู้เพื่อชีวิตตัวเอง แต่เริ่นเสี่ยวซู่พอกลับมาถึงที่มั่นบนพื้นที่สูงของตัวเองแล้วก็จุดไฟเตรียมหุงหาอาหาร ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เขายังเตรียมหม้อกระทะไว้แล้วด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าแม้ยามสู้ศึกก็ไม่อาจละเว้นมื้ออาหารได้ แถมเฉินอู๋ตี๋ยังอยากกินข้าวผัดเนื้อแดดเดียวอีก
ยังได้ยินเสียงปืนใหญ่ระเบิดตู้มใส่พื้นที่สูงข้างๆ อยู่เลย หลี่ชิงเจิ้งลังเลก่อนจะถาม “กินตอนนี้ไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ”
“มีอะไรผิดล่ะ” หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่จุดไฟใส่ฟืนเสร็จก็ยกหม้อเหล็กไว้ข้างบน “ไม่ใช่ว่าเราทำภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ แถมเราก็ยังสู้อยู่นี่ไง เรากำลังตรึงกรมทหารราบไว้อยู่กลางเขาเลยนะ”
ต่อให้ผู้บัญชาการกรมยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็หมดความตั้งใจจะเข้าตีพื้นที่สูงแล้ว ที่สำคัญคือพวกเขาพรวดขึ้นมาถึงกลางเขาในหนึ่งลมหายใจเพราะกะจะใช้เลเซอร์นำวิถีให้ขีปนาวุธจากแนวหลังยิงมา ทว่าสุดท้ายชิ่งเจิ่นก็ปล่อยเกาะพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาต้องเงยหน้าทีไรก็เห็นกระสุนบินว่อนผ่านหัว พอไม่มีการยิงสนับสนุนจากแนวหลัง ต่อให้พวกเขาอยากหนีก็ไม่อาจหนี!
ศึกนี้ผู้บัญชาการกรมยอมแพ้ไปแล้ว
ตอนนั้นเอง หลี่ชิงเจิ้งก็แนะ “ทหารราบกรมนั้นมีทหารไม่ค่อยมากแล้ว ทำไมพวกเราไม่โถมลงเข้าปะทะเลยล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ปฏิเสธคำแนะนำนี้อย่างทันที “ภารกิจเราคือป้องกันพื้นที่สูงให้ดี พวกเราก็ทำแค่นั้นพอ!”
ไหนจะโถมลงเข้าปะทะศัตรูแล้วจะมีผู้เสียชีวิตด้วยหรือเปล่าอีก เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากเสี่ยงเลย แค่ถูกส่งมายังที่มั่นที่อันตรายที่สุดเช่นนี้เขาก็หงุดหงิดไม่พอใจอยู่แล้ว
ตอนที่เฉินอู๋ตี๋ถูกตะคอกด่าที่ศูนย์รักษาพยาบาลนั้น พวกเขาไม่คิดบ้างเหรอว่ากองพันวีรบุรุษไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจจะมาแนวหน้าเสียหน่อย!
ต่อให้ไม่มีเริ่นเสี่ยวซู่ สมาคมตระกูลชิ่งก็ยังโจมตีหลอกที่มั่น 313 อยู่ดี แม้เป็นการโจมตีหลอกก็ใช้กระสุนจริง แม้จะบางเบาไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังต้องมีคนตายอยู่ดีนี่
ใช่ว่าจะโจมตีหลอกมาแล้วทุกคนจะได้ยืนเฉยๆ เยาะเย้ยกันไปมาเสียหน่อย!
ระหว่างพูดคุยกัน เริ่นเสี่ยวซู่ก็หุงข้าวและหั่นเนื้อแดดเดียวไปด้วย
ทหารจากกองพันวีรบุรุษกลุ่มหนึ่งไปปกป้องพื้นที่สูง ส่วนอีกกลุ่มนั่งลงรอกินอาหารข้างหม้อใหญ่
เริ่นเสี่ยวซู่แบ่งสมาธิไปทำอาหารและก็ดูในพระราชวังไปด้วย เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้พระราชวังพยายามพูดอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นเฉินอู๋ตี๋กำลังถูกตะคอกใส่อยู่เขาเลยไม่ทันได้ฟัง
พออ่านคำบันทึกที่พิมพ์อยู่บนเครื่องพิมพ์ดีดทองเหลืองแล้วก็ต้องผงะไป ประโยคนั้นบอกกล่าวไว้ว่า ‘เนื่องด้วยค่าสถานะพละกำลังและความคล่องแคล่วผ่านเกณฑ์ สามารถเปิดใช้งานทักษะ ‘ทลายนคร’ หลังเปิดใช้งานทักษะจะทวีคูณพละกำลังและความคล่องแคล่วของร่างต้นเป็นระยะเวลาสามสิบวินาที มีระยะหน่วงหนึ่งวันก่อนจะใช้ได้อีกครั้ง’
อะไรกันล่ะเนี่ย
ทำไมจู่ๆ ทักษะแบบนี้ก็โผล่มาเฉยเลย ถึงระยะการใช้ง่ายจะสั้นไปหน่อย แต่ใช้งานแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็จะมีพละกำลัง 21.0 แต้มและความคล่องแคล่ว 20.2 แต้ม
ถ้าใช้ทักษะนี้ให้ดีก็จะมีประโยชน์อย่างถึงที่สุด สามารถฉวยโอกาสตอนศัตรูกำลังเผลอได้ด้วย
แต่เกณฑ์ที่พระราชวังบอกคืออะไรกันนะ มีค่าสถานะถึงสิบแต้มอย่างนั้นหรือ หมายความว่าทุกๆ สิบแต้มเขาจะได้ทักษะใหม่อย่างนั้นสิ
กลับกลายเป็นว่าหลังร่างกายเขาผ่านระดับหนึ่งไปก็จะได้รับรางวัลเพิ่มด้วย!
คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็โยนเนื้อเดียวเดียวลงหม้อและผัดสองสามที
หลี่ชิงเจิ้งมองอยู่จากด้างข้าง ข้าวผัดยังไม่เสร็จดี แต่พื้นที่สูงถัดจากที่มั่นของเขานั้นเปลี่ยนมือไปสองรอบแล้ว ที่นั่นสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
แต่มีเรื่องแปลกๆ อยู่ สมาคมตระกูลชิ่งไม่ส่งทหารกองอื่นๆ มาโจมตีที่มั่นของพวกเขาเพิ่ม…
พอข้าวผัดเนื้อแดดเดียวเสร็จเรียบร้อย เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตักให้เฉินอู๋ตี๋ชามหนึ่งทันที ข้าวผัดชามนี้ตักมาให้เฉินอู๋ตี๋เป็นพิเศษ หลังจากเขารับชามจากเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ก็พบว่าที่ก้นชามนั้นมีเนื้ออยู่เต็ม!
เริ่นเสี่ยวซู่ปล่อยตะหลิวไว้บนหม้อแล้วว่า “งั้นที่เหลือจัดการกันเองนะ ผู้บัญชาการกองพันไม่บริการให้ทุกคนหรอก!”
พูดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็เดินไปนั่งข้างเฉินอู๋ตี๋ “รสชาติเป็นไง”
“อร่อย” เฉินอู๋ตี๋ยิ้มอย่างสดใส ริมฝีปากมันวาว “อาจารย์ ทำไมท่านทำดีกับข้าจังเลยล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่พบว่ายิ่งเฉินอู๋ตี๋สัมผัสกับความชั่วร้ายของโลกใบนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งดูสติปัญญาแจ่มชัดขึ้นมากเท่านั้น
เฉินอู๋ตี๋ไม่เรียกหลัวหลานว่าเปินปัวเออร์ป้าเหมือนก่อนหน้าแล้ว ทั้งยังเงียบงันเป็นระยะเวลานานเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่พูดออกมาก็เริ่มฟังเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่าเรื่องนี้ดีหรือแย่ เขาถอนหายใจ “เมื่อก่อนตอนฟังคุณจางสอนก็คิดเรื่องเป็นคนดีอยู่หรอกนะ แต่พอได้รู้ว่าเป็นคนดีไม่ง่ายเลยก็ล้มเลิกไป”
เฉินอู๋ตี๋ได้ยินแบบนั้นก็กลับไปกิน ไม่พูดอะไรต่อ
เริ่นเสี่ยวซู่รำพึงรำพัน “บางทีฉันเห็นนายแล้วก็อดรู้สึกละอายใจไม่ได้ เป็นเพราะแสงสว่างในใจฉันมันดับไปแล้วแหละมั้ง ดังนั้นต่อให้ฉันจะไม่ใช่คนดี แต่ฉันก็ยังหวังให้นายเป็นคนดีอยู่นะ พูดแล้วฉันอาจจะดูเหมือนพวกปากว่าตาขยิบ แต่ฉันจะหลงผิดแบบนี้ก็ต่อเมื่อพยายามปกป้องนายแหละ อย่างกับว่าแสงสว่างในใจฉันยังไม่ดับสิ้นไปแล้วยังไงยังงั้น”
…
สถานที่แห่งหนึ่งในป้อมปราการ 108 ชั้นใต้ดินของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ามีฐานลับขนาดใหญ่อยู่ หูชัวเคยตั้งใจพยายามสืบสวนที่นี่ แต่คนของเขายังไม่สามารถเจาะเข้าไปได้
ที่แห่งนี้อยู่ภายใต้อำนาจสภาบริหารของสมาคมตระกูลหลี่โดยตรง และใช้งานเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับนาโนแมชชีน
มีคนเพียงหยิบมือที่รู้ว่าในชั้นใต้ดินของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้านี้มีกองกำลังติดอาวุธขนาดเล็กอยู่
หลอดไฟสีขาวสว่างจ้าแขวนอยู่เหนือเพดานชั้นใต้ดิน ชายวัยกลายคนนั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่หน้ากระดานดำ ในมือถือเอกสารรายงานล่าสุดเกี่ยวกับโจรขโมยนาโนแมชชีน
ชายวัยกลางคนผู้นี้ชื่อหลี่ติ้งติ่ง มีคนไม่มากที่รู้ตัวตนของเขา เขาเป็นเงาของสมาคมตระกูลหลี่เหมือนอย่างชิ่งเจิ่น ทำหน้าที่ดำเนินกิจการในเงามืดของสมาคม
แต่ไม่เหมือนชิ่งเจิ่นที่มักจะเปิดเผยตัวตนและคุมอำนาจในกองทัพ หลี่ติ้งติ่งซ่อนตัวอยู่ในเงาตลอด
ตอนนี้หลี่ติ้งติ่งกำลังอ่านเอกสารอยู่ มีหลักฐานมากมายชี้ตัวไปยังผู้มีพลังพิเศษที่ชื่อสูเสี่ยนฉู่ ผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นจารชนจากสมาคมตระกูลหยางและกำลังรวบรวมเก็บตัวอย่างนาโนแมชชีนไปให้ทางสมาคม
แต่หลี่ติ้งติ่งอ่านเอกสารแล้วก็พบว่ามีเรื่องผิดปกติ ถ้าจะเก็บแค่ตัวอย่างนาโนแมชชีน ทำไมต้องเอาไปมากขนาดนั้น
ที่สำคัญคือมีหลายสิบศพที่สมาคมกู้กลับนั้นถูกขโมยนาโนแมชชีนไป นี่มันไม่ใช่แค่การขโมยตัวอย่างแล้ว! เขาล่ะงงจริงว่าผู้สืบสวนคนล่าสุดทำอะไรอยู่
หลี่ติ้งติ่งแค่นเสียง “เจ้าพวกโง่”
เอกสารในมือเขานั้นละเอียดยิบ มีข้อมูลเส้นเวลาทั้งหมดตั้งแต่หลินชีและพรรคพวกเข้าไปในเขา ปฏิบัติการโจมตีสมาคมตระกูลชิ่งของกองพันเทพยนต์ รวมไปถึงข้อมูลรายงานที่กองพันเทพยนต์คอยแจ้งเป็นประจำ และข้อมูลอื่นๆ อีก
หลังจากค้นเอกสารอยู่นานก็ยังมองอะไรไม่ออก
ตอนนั้นเองก็มีคนเคาะประตู หลี่ติ้งติ่งว่า “เข้ามา”
คนผู้นั้นส่งเอกสารชุดใหม่มาใหม่ “ท่านครับ ทางเบื้องบนส่งคดีใหม่มาให้ ดูเหมือนว่านาโนแมชชีนชุดหนึ่งเสียหาย ดูเหมือนจะเกิดจากผู้ที่มีอัตราซิงโครไนซ์ที่ศูนย์เปอร์เซ็นต์ครับ”