The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 287 โลกที่ไม่มีฉีเทียนต้าเซิ่ง (ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า)
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 287 โลกที่ไม่มีฉีเทียนต้าเซิ่ง (ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า)
เฉินอู๋ตี๋เห็นเริ่นเสี่ยวซู่หมดสติก็รีบพุ่งไปหาเขาอย่างบ้าคลั่ง เขาตรวจลมหายใจและพบอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ดูแล้วเกราะคงรับความความเสียหายส่วนใหญ่ไปแล้ว ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ไม่น่ามีอาการบาดเจ็บร้ายแรงอะไร แต่กระนั้นการต้านรับอาร์พีจีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แรงระเบิดรุนแรงมากจนเขาหมดสติไป
อาวุธปืนเป็นหนึ่งในแก่นปัญญามนุษยชาติที่พัฒนามาตลอดระยะหลายพันปีของอารยธรรม เป็นสิ่งทรงพลังที่มากพอจะสังหารเทพเจ้า
ทว่าหลี่ชิงเจิ้งกลับพูดอย่างขมขื่น “เครื่องยนต์ส่วนหน้าของรถบรรทุกโดนกระสุนลูกหลง ขับต่อไม่ได้แล้ว!”
เห็นว่าตัวทดลองเข้ามาใกล้แบบนี้ พวกเขายิ่งลำบากกว่าเดิมอีก เหยียนลิ่วหยวนโพล่ง “ทุกคนรีบช่วยพยุงนักเรียนที่บาดเจ็บ ครูเจียง ครูกับผมจะผลัดกันแบกพี่ผม”
ถึงตอนนี้เหยียนลิ่วหยวนจะมีนาโนแมชชีนอยู่ในร่าง แต่ว่าพลังงานก็ไม่พอจะใช้ได้เป็นระยะเวลานาน เขาไม่อาจแบกเริ่นเสี่ยวซู่ได้นานนัก ต้องให้เจียงอู๋ช่วยด้วย
เขาพูดจบ หวังฟู่กุ้ยก็เป็นคนแรกที่ลงมือแบกนักเรียนที่บาดเจ็บลงจากรถบรรทุก หวังอวี่ฉือและอาการบาดเจ็บของนักเรียนบางคนยังไม่หายดี มีนักเรียนที่บาดเจ็บทั้งหมดห้าคน และตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ก็ถูกเพิ่มเข้าไปด้วย
นักเรียนหญิงอีกสิบกว่าคนกำลังช่วยอยู่ด้านข้าง พวกเธอกำลังแบกนักเรียนบาดเจ็บนำไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้ทุกคนกำลังทำตัวไม่ถูก เริ่นเสี่ยวซู่หมดสติไปแล้ว พวกเขาควรทำอะไรต่อล่ะ
ในอดีต เมื่อมีเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ด้วย เขาก็จะเป็นกระดูกสันหลังของกลุ่ม แม้ท้องฟ้าถล่มลงมา เริ่นเสี่ยวซู่ก็จะยันไว้ได้
แต่ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่หมดสติไปแล้ว และเป็นตาของผู้อื่นต้องดูแลเขา!
นครป้อมปราการใหญ่นี้กำลังจะล้มสลายไปพร้อมกับผู้คนภายในเพราะสงคราม ความมั่งคั่งรุ่งเรืองที่มาถึงจุดจบ อารยธรรมของที่นี่จะกลายเป็นเพียงสิ่งหนึ่งในอดีตกาล
ขณะที่ฝูงคนหนีอพยพผ่านพวกเขาไป แสงไฟนีออนจากไกลๆ ก็ดับไปทีละดวง
กระทั่งท้องฟ้าก็ราวกำลังถล่มลงมา
พวกเขาไม่มีทางไป ไม่มีใครจะรอดพ้นการคลื่นตัวทดลองสีเทาที่ไล่ล่าล้างตามมา
ตัวทดลองเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่เหยียนลิ่วหยวนทำเป็นมองไม่เห็น ยังแบกเริ่นเสี่ยวซู่ขึ้นหลังต่อไป!
ถ้ายังต้องแบกคนบาดเจ็บไปอยู่แบบนี้ พวกเขาไม่มีทางหนีตัวทดลองรอดแน่ ไม่ต้องสงสัยเลย
แต่พวกเขาก็ไม่อาจปราบตัวทดลองหลายพันตัวได้เช่นกัน
ขณะมองฝูงตัวทดลองดุร้ายที่โหมมา ทุกคนมีทางเลือกอยู่สองทาง หนีไป หรือ อยู่ด้วยกันและตายด้วยกัน
เหยียนลิ่วหยวนเห็นความลังเลใจในสายตาของผู้อื่น จึงพูดเสียงเย็น “ถ้าอยากจะไปตอนนี้ก็ไปได้เลย”
แต่เหยียนลิ่วหยวนจะอยู่กับเริ่นเสี่ยวซู่แม้ตัวต้องตัวตายก็ตาม
พอเห็นว่าตัวทดลองเข้ามาใกล้ในระยะร้อยเมตรแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งก็กรีดร้องและโค้งตัวให้เจียงอู๋ “ครูคะ หนูขอโทษ”
จากนั้นเธอก็วิ่งหนีทิ้งทุกคนไว้
เฉินอู๋ตี๋มองเธอวิ่งลับตาไปอย่างเงียบๆ เขาเปิดปากพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเปร่งเสียงออกมาได้สักคำ
ไม่มีใครโทษเด็กสาว ต่อหน้าความตาย มันไม่มีทางเลือกอื่น
เจียงอู๋รับเริ่นเสี่ยวซู่มาจากหลังเหยียนลิ่วหยวนต่ออย่างเงียบงัน “พวกเราเคยทดสอบมาก่อน นาโนแมชชีนของเธออยู่ได้ไม่นาน ตอนนี้ฉันมีแรงมากว่าเธอ ให้ฉันแบกเขาเถอะ”
จากนั้นก็มีเด็กสาวอีกคนเข้ามาขอโทษเจียงอู๋และหนีไป แต่เจียงอู๋ไม่กล่าวโทษพวกเธอ เพราะตอนนี้เธอได้แต่ต้องตอบคำถามตัวเอง
หวังอวี่ฉือล้มลงกับพื้นเพราะไม่มีใครคอยช่วยพยุง เขายิ้มกระอักกระอ่วน “ทุกคนไปเถอะ พาหัวหน้าห้องไปด้วย ยังไงฉันก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว เหลาหลี่ ขอระเบิดมือให้ฉันหน่อย ฉันรู้ว่านายมีเหลืออีกสองลูก”
นักเรียกอีกคนยิ้ม ผละออกจากเพื่อนที่พยุงเขาอยู่ “ก็คงต้องงั้น เอาลูกหนึ่งให้ฉันสิ ส่วนพวกนายไปกันก่อนใด้เลย”
นักเรียนที่สมควรนั่งเรียนในห้องเรียนที่มีหน้าต่างใส มีครูบาอาจารย์คอยสอนอยู่หน้าชั้น พวกเขาสมควรลอบส่งโพยกันใต้โต๊ะ หลังเลิกเรียนก็ควรไปเล่นบาสเก็ตบอลในสนามโรงเรียน จากนั้นสะพายเป้เดินทอดน่องกลางอาทิตย์อัสดงออกโรงเรียนไป
ถ้าเรียนเก่งพอจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็คงได้ไปเรียนรู้อะไรมากขึ้น จากนั้นก็ควรหาเด็กสาวในฝันเจอ และได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป
แต่ชีวิตที่พวกเขาสมควรมีพลันถูกพัดหายไปในวัยสิบแปดปี ไม่มีอนาคตอะไรให้พวกเขาอีก
‘ถนนเส้นยาว’ ที่ยืดตรงไปยังอนาคตราวดับสิ้นไร้จุดหมายปลายทาง
‘สนามโรงเรียน’ ที่เหล่าเด็กหนุ่มควรเสียเหงื่อให้พลันพังทลายสิ้นสู่หุบเหว
เจตจำนงพร้อมจะตายก่อร่างในใจของหวังอวี่ฉือ เขายิ้มพูด “อย่าลืมมีชีวิตกันให้ดีนะทุกคน”
เฉินอู๋ตี๋หันมองตัวทดลองที่กำลังไล่ตามมา จากนั้นก็มองหวังอวี่ฉือแล้วว่า “พวกเจ้าไม่ตายหรอก ข้าจะคุ้มกันให้ทุกคนหนีเอง”
“หา?” หลี่ชิงเจิ้งพูดอย่างวิตก “หนีไปด้วยกันสิ”
“ไม่ต้องหรอก” เฉินอู๋ตี๋ยิ้มกล่าว “ลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือฉีเทียนต้าเซิ่งกลับชาติมาเกิดน่ะ”
ทุกคนเงียบไป แต่ต่อให้ฉีเทียนต้าเซิ่งอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่น่าปราบตัวทดลองจำนวนมหาศาลได้หมดมิใช่หรือ
เฉินอู๋ตี๋ว่า “ลูกศิษย์คนอื่นๆ ล้วนปกป้องอาจารย์ตนตลอด แต่ตั้งแต่ข้าเข้าร่วมกับท่านอาจารย์ ก็มีแต่ท่านอาจารย์ที่คอยปกป้องข้า”
อาจารย์ ท่านโกหกข้าตลอด ยอมแสร้งเป็นคนเลวเพื่อปกป้องข้า ดังนั้นนี่เป็นคราวที่ข้าปกป้องท่านบ้าง อย่างไรข้าก็เป็นฉีเทียนต้าเซิ่ง มีหรือผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าจะหวาดกลัวปีศาจ ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะลากพวกมันไปกับข้าด้วย!
เฉินอู๋ตี๋ค่อยๆ ก้าวไปยังตัวทดลองจำนวนมาก ร่างเล็กจ้อยกลางคลื่นสีเทา ทำให้เขาไม่ต่างจากเกาะโดดเดี่ยวที่กำลังเผชิญกับคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า!
แสงอาทิตย์อัสดงพลันฉายทะลุหมู่เมฆ สาดส่องทาทับลงบนตัวเฉินอู๋ตี๋
อาจารย์เคยพูดว่าเขาคือประกายแสง!
เขาคือแสงที่สว่างที่สุด! เจิดจรัสที่สุด! และไร้เทียมทาน[1] ที่สุดในโลก!
และทันใดนั้น เฉินอู๋ตี๋ก็วิ่งไปหาตัวทดลอง ลูกปัดสีเลือดจำรัสปรากฏขึ้นทั่วร่าง มันคือพลังชีวิตที่ถูกเผาไหม้
เกราะทองคำพลุบโผล่บนร่างเฉินอู๋ตี๋ แต่เขาไม่สามารถทำให้มันคงรูปอย่างสมบูรณ์ได้
เฉินอู๋ตี๋คำราม “ไม่พอ! มาอีก!”
“ข้าบอกว่ามาอีก!”
พลังชีวิตเขาลุกโหมเผาไหม้ ชีวิตกำลังถูกแผดเผาให้ดับไป!
วิญญาณเขาที่มุ่งหวังจะครอบครองโลกตกอยู่ในคลื่นโหมซัดสาด ถูกพัดพาอยู่ท่ามกลางอดีตและปัจจุบัน!
ข้าในอดีตคือผู้ใด
คือพญาวานรผู้หล่อเหลาแห่งเขาฮัวกั่วซาน[2]?
ไม่ใช่
คือผู้เลี้ยงม้าสวรรค์?[3]
นั่นก็หาใช่ไม่
ใช่แล้ว ข้าคือฉีเทียนต้าเซิ่ง
ข้าเคยไปสวรรค์ประจิม
ข้าคือพุทธะผู้มีชัยในการยุทธ[4] ผู้ไร้เทียมทานแห่งโลกนี้!
ข้าเคยไปสวรรค์ประจิม!
ข้าเคยไปสวรรค์ประจิม!
ชั่วพริบตาให้หลังหมวกทองคำปีกหงส์ของเฉินอู๋ตี๋ก็โผล่สวมศีรษะจากความว่างเปล่า ปีกหงส์สองเส้นชี้ขึ้นฟ้าแตะต้องหมู่เมฆา
พริบตาต่อมาเกราะทองคำก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า รัศมีทองคำเฉิดฉายราวอาทิตย์แผดเผาทอแสงสู้สวรรค์
รองเท้าเหยียบเมฆาก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน ย่ำปฐพีใหญ่ใต้ฝ่าเท้า
เฉินอู๋ตี๋หัวเราะลั่นกลางประกายแสงสนธยา “ฉีเทียนต้าเซิ่งอยู่นี่ ใครกล้าต่อกร!”
คลื่นยักษ์สีเทาซัดโถมเข้าถึงตัวเขาแล้ว แต่เฉินอู๋ตี๋กระแทกกระบองทองสารพัดนึกลงกับพื้นและตีลังกาขึ้นไปบนอากาศ พลังของกระบองยกคลื่นดินสูงกว่าสามสิบเมตร ฝังกลบตัวทดลองเบื้องหน้าสุดทั้งเป็น!
คลื่นธรณีเกรียงไกรนี้ราวเทวะพิโรธ ตัวทดลองที่ถูกธรณีสูบดิ้นทุรนทุรายพยายามตะกุยออกมา แต่พื้นดินแข็งราวโลหะ พวกตัวทดลองขาดลมหายใจตายอยู่ใต้นั้น!
ตัวทดลองที่อยู่ด้านหลังยังคงโถมมาอย่างไร้ความหวาดกลัว!
เฉินอู๋ตี๋ดึงผมหลังหูมาหย่อมหนึ่ง จากนั้นก็เป่าเบาๆ ใส่พวกมัน “ลิงน้อยของข้า พวกเจ้าอยู่ที่ใดกัน!”
วานรหลายร้อยตัวโผล่มาในชั่วพริบตา “อยู่นี่!”
“กำราบมารกับข้า” เฉินอู๋ตี๋หัวเราะสุดเสียง พุ่งทะยานไปหาตัวทดลอง
บรรดาวานรกระโจนฟาดกระบองใส่ตัวทดลองดุร้าย!
ตัวทดลองที่เดิมทีแสนดุร้ายไม่อาจต้านทานเหล่าวานร ยามกระบองกระทบถึง เลือดเนื้อกระดูกก็แตกกระจายออก!
ก่อนหน้านี้เฉินอู๋ตี๋พูดว่าจะหยุดคลื่นสีเทานี้และเปิดทางให้ทุกคน
นี่แหละคือการเปิดทาง!
เฉินอู๋ตี๋ฉับพลันเห็นตัวทดลองตรงหน้าเป็นมารร้ายที่แห่โจมตีมาทั่วทิศทาง โลกที่เห็นปกคลุมด้วยหมอกดำ วิญญาณร้ายมีมากสูงท่วมฟ้า!
สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเบื้องหลังตัวทดลองยังคงซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ มันสั่งให้ตัวทดลองกลุ่มใหญ่ล้อมเฉินอู๋ตี๋ไว้อย่างสมบูรณ์ เขาเป็นศัตรูที่ทรงพลังที่สุดที่มันเคยเจอตั้งแต่ลงจากเขาจิ้งซานมา มันไม่เคยคิดเลยว่าในหมู่มนุษย์จะมีผู้ทรงพลังไร้เทียมทานเช่นนี้
ที่ตึกข้างถนนยังมีมนุษย์ซ่อนตัวอยู่ด้วย พอพวกเขาได้ยินเสียงโครมคราม ก็ลอบมองออกมาจากหน้าต่าง และเห็นเฉินอู๋ตี๋ในเกราะทองคำฉายประกาย สู้รบตบมือราววีรบุรุษผงาดฟ้า!
ทว่าตัวทดลองได้ล้อมเขาไว้แล้ว!
เฉินอู๋ตี๋กระอักเลือดออกมา แต่เขาอยากยิ้มถามอาจารย์นัก “อาจารย์ ท่านคิดว่าข้าทรงพลังมากไหม อาจารย์ ท่านควรจับแสงประกายนั้นของท่านและคอยปกป้องมันไว้นะ แสงนั้นมันยังไม่ได้ดับไปหรอก”
และทันใดนั้น เขาก็ยกกระบองทองสารพัดนึกขึ้นชี้ใส่ท้องนภา “ทลายฟ้า!”
จากนั้นเขาก็คำรามลั่นและกระแทกกระบองทองสารพัดนึกลงกับพื้น รัศมีทองคำปราดวูบเป็นวงออกจากกระบอง
รัศมีทองคำราวระรอกคลื่น พื้นพสุธาราวทะเลสาบ ตัวทดลองดั่งเช่นฝูงยุง และชั่วพริบตานั้น ยุงที่อยู่ใกล้ใจกลางทะเลสาบก็แหลกกลายเป็นจุณ!
จากนั้นก็ไม่มีตัวทดลองตัวใดกล้าโจมตีเฉินอู๋ตี๋อีก ตัวทดลองที่เป็นคลื่นยักษ์สีเทาหนีเอาชีวิตรอดจากป้อมปราการอย่างบ้าคลั่ง!
ตั้งแต่ลงจากเขาจิ้งซานมา นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวทดลองพ่ายแพ้!
เฉินอู๋ตี๋ที่เผาพลังชีวิตทิ้ง ได้พลิกสถานการณ์เป็นต่ออย่างที่สุดให้กลับตาลปัตร ไม่ต่างไปจากป้องกันไม่ให้อภิมหาอาคารถล่มในเสี้ยววินาทีสุดท้าย!
ทว่าชีวิตของเฉินอู๋ตี๋ก็มาสุดทางแล้วเช่นกัน เขาล้มนั่งลงกับพื้นพร้อมรอยยิ้มอันโง่งม ในดวงตาไร้ซึ่งความเศร้าเสียใจ
ใจคิดเพียงว่าถ้าอาจารย์อยู่ด้วย ท่านคงชื่นชมตนใหญ่กระมัง คิดแล้วเฉินอู๋ตี๋ก็มีความสุขกว่าเดิม ท่านอาจารย์ถึงกับจะเตรียมข้าวผัดเนื้อแดดเดียวให้ตนชามหนึ่งเลยก็ได้ แบบที่มีเนื้อเต็มก้นชามไปหมด
ตอนนี้เอง ชาวป้อมปราการที่ซ่อนตัวอยู่ในอาคารข้างเคียงก็วิ่งออกมา “คุณวีรบุรุษ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เฉินอู๋ตี๋ไม่ตอบรับ ตอนนี้เขาอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว และกำลังนึกย้อนความทรงจำที่มีกับอาจารย์ตน
เขาถูกส่งไปอยู่โรงพยาบาลจิตเวชตั้งแต่เด็ก เขาได้ยินว่ามารดาหนีไปกับคนอื่นเพราะมีลูกวิกลจริต ทั้งบิดาเขาก็หายตัวไปด้วย
เขาไม่มีมิตรสหาย และช่วงเวลาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไร รู้สึกเพียงว่าชีวิตช่างมืดมนนัก
ที่จริงความทรงจำของเฉินอู๋ตี๋นั้นชะงักอยู่ในช่วงฤดูร้อนตอนเขาอายุแปดขวบตลอดมา ในฤดูร้อนปีนั้น เขาสถาปนาตนเป็นฉีเทียนต้าเซิ่ง
ตั้งแต่พบท่านอาจารย์ ชีวิตเขาก็มีเรื่องน่าสนุกๆ หลายอย่างเกิดขึ้น ได้กินอาหารอร่อยๆ ทั้งทุกคนคอยปกป้องเขา ไม่มีใครเรียกเขาว่าเป็นไอ้ปัญญาอ่อนอีก
เขาล่ะอยากบอกอาจารย์จริงๆ ว่าท่านช่างขับรถได้แย่นัก อย่าขับรถอีกได้ไหม
ท่านอาจารย์ ท่านตอนอยู่ในชุดเกราะ หน้าตาอย่างกับโคกระบือแน่ะ ทำรูปลักษณ์ให้มันดีกว่านั้นได้ไหม
ท่านอาจารย์ แม่นางน้อยสวมหมวกที่อยู่ตึกสูงนั่นเป็นสตรีที่ท่านชอบใช่ไหม เธอต้องดีกว่าจื่อเสียมากแน่เลย
ท่านอาจารย์ อาหารที่ท่านทำอร่อยมาก
ท่านอาจารย์ ท่านคือแสงประกายนั้น
เฉินอู๋ตี๋ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ทว่าพอเขาหันศีรษะไปมองด้านข้าง ก็เห็นชายวัยกลางคนลอบเก็บดินที่เปื้อนเลือดของเฉินอู๋ตี๋ไป
เฉินอู๋ตี๋ถามอย่างเลื่อนลอยว่า “เจ้ากำลังทำอะไร”
ชายวัยกลางคนอ้าปากพะงาบ ผวาจนไม่กล้าพูด เฉินอู๋ตี๋พูดเสียงดัง “ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไร”
ชายวัยกลางคนหวาดกลัวจนแทบร้องไห้ พอเห็นว่าเฉินอู๋ตี๋สังเกตพบตนแล้วก็คุกเข่า “บริษัทหัวจ่งกำลังซื้อตัวอย่างเลือดของผู้มีพลังพิเศษ…”
การโฆษณาอย่างมืดฟ้ามัวดินของบริษัทหัวจ่งนั้นได้ผลดียิ่ง เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้มีพลังพิเศษ จึงไม่อาจเอาเลือดตัวเองไปขาย เขาเพียงแต่ต้องหาเลือดของผู้มีพลังพิเศษไปขายเท่านั้น
ถ้าเขาสามารถขายเลือดได้ครั้งหนึ่งก็จะกลายเป็นเศรษฐีแล้ว จากนั้นเขาก็จะมีชีวิตที่สุขสบาย
เฉินอู๋ตี๋หัวเราะอย่างเงียบงัน นี่สินะโลกใบนี้
เขานึกไปถึงชายวัยกลางคนที่ปลุกระดมผู้อื่นให้มาขโมยอาหารของเขา ทั้งๆ ที่ตนเป็นคนช่วยชายวัยกลางคนระหว่างหนีออกมาจากป้อมปราการ 109 แท้ๆ
เขานึกไปถึงหลิวเจาเจียวที่ขโมยเสบียงอาหารของทุกคนหนีไป ทั้งๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันอยู่ในป้อมสังเกตการณ์ คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอด
เขานึกไปถึงทหารที่พูดว่าถ้าแสร้งเป็นลมแล้วไอ้ปัญญาอ่อนจะมาช่วยแบกเขาไป
เขานึกไปถึงพวกทหารที่แบกไปถึงศูนย์รักษาพยาบาลให้ก็ยังสบถด่าว่ากล่าวเขา
เฉินอู๋ตี๋พลันนึกย้อนไปถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้และหัวเราะอย่างเงียบงัน
เขากำกระบองทองสารพัดนึกอีกครา ระรอกคลื่นสีทองสะเทือนออกไปอีกครั้ง คราวนี้เขาผลาญชาวป้อมปราการที่พยายามขโมยเลือดเขาให้กลายเป็นจุณไป
แม้ชายวัยกลางคนจะค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นผงไป เขาก็ยังกุมก้อนดินเปื้อนเลือดแน่นไม่ยอมปล่อย
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินอู๋ตี๋ตั้งใจเริ่มฆ่าคนก่อน และมันก็จะเป็นครั้งสุดท้าย
เขาจำคำของอาจารย์ได้ ‘ถ้านายรู้สึกว่าตัวเองคอยถูกความมืดกลืนกินแบบนี้ แสดงว่านายคือแสงประกายนั้นหรือเปล่า’
แต่ท่านอาจารย์ โลกนี้เต็มไปด้วยความมืดมิด และตอนนี้แสงของข้ากำลังดับไปแล้ว
เฉินอู๋ตี๋นั่งขัดสมาธิ วางกระบองทองสารพัดนึกบนเข่าอย่างแผ่วเบา หมวกทองคำปีกหงส์ยังคงฉายประกายเหมือนใหม่ เกราะทองคำบนร่างยังเจิดจรัสเช่นก่อนหน้า
จากนั้นเฉินอู๋ตี๋ก็ค่อยๆ กลายเป็นหินศิลาไล่จากเท้าขึ้นมา การกลายเป็นศิลานี้ลามขึ้นมาจากขาไปจนถึงลำคอราวมังกรสองตัวปีนป่าย และสุดท้ายทั้งร่างก็กลายเป็นรูปปั้นไป
ตอนที่เฉินอู๋ตี๋มาถึงโรงพยาบาลจิตเวชครั้งแรก อาการทางจิตเขายังไม่หนักอะไรนัก เขามักจะถามนางพยาบาลตลอด “พี่สาว พ่อแม่ผมอยู่ไหนเหรอ”
นางพยาบาลพูดเสียงเย็น มือถือถาดยาไว้ “เธอไม่มีพ่อแม่เพราะเกิดมาจากก้อนหิน”
เพราะเกิดมาจากก้อนหิน ตนก็ควรกลับไปเป็นก้อนหิน
วานรทั้งหลายรอบตัวโค้งตัวให้เขาและสลายหายไป หมู่เมฆบนฟ้าเปิดออก สายรุ้งโผล่พ้นมา
เป็นประกายแสงอันงดงามที่เห็นชัดจากนับสิบกิโลเมตร มันราวกับสายรุ้งใหญ่ที่ก่อตัวหลังฝนซา
มุมปากเฉินอู๋ตี๋ยกยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย
“ท่านอาจารย์ ข้าขอตัว”
“โลกนี้ไม่ต้องการฉีเทียนต้าเซิ่งแล้ว”
[1] เฉินอู๋ตี๋ (陈无敌) อู๋ตี๋แปลว่า ไร้เทียมทาน ไร้ผู้เทียม
[2] ฮัวกั่วซาน (花果山) หรือเขามาลาผล ซุนหงอคงเป็นจ่าฝูงลิงบนเขานี้
[3] หลังซุนหงอคงปั่นป่วนสวรรค์ เพราะต้องการให้อยู่ในโอวาทก็ต้องให้ตำแหน่งบนสวรรค์ ตำแหน่งแรกเริ่มคือผู้เลี้ยงม้า ทว่าเพราะเป็นตำแหน่งเล็กจึงโดนเทพองค์อื่นดูถูก ซุนหงอคงโกรธอาละวาด เทพต่างๆ ไม่อาจปราบ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงต้องประทานตำแหน่งฉีเทียนต้าเซิ่ง (ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า) ให้
[4] ต่าวเจียนเชียงฮุด หรือ โต้วจ้านเซิ่งฝู (鬥戰勝佛) แปลว่าพุทธะผู้มีชัยในการยุทธ เป็นนามหนึ่งของซุนหงอคง